ชาวอุยกูร์คือใคร?

ชายชาวอุยกูร์ที่เมืองโฮตัน (Hotan) ในซินเจียงของจีน โฮตันอยู่ภายใต้การสังเกตการณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างใกล้ชิด เหมือนเช่นเมืองอื่นๆ อีกมากมายที่มีชาวอุยกูร์อาศัยอยู่ (© Elizabeth Dalziel/AP Images)

โดย ลีห์ ฮาร์ทแมน
29 มกราคม 2562

ชาวอุยกูร์เป็นกลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมที่อาศัยอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีนมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ ชาวอุยกูร์ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในซินเจียงซึ่งเป็นมณฑลที่มีพื้นที่มากที่สุดของจีน แต่เป็นภูมิภาคที่ห่างไกลมากที่สุดและมีประชากรน้อยที่สุดภูมิภาคหนึ่งของประเทศ

ในช่วงปีหลังๆ มานี้ รัฐบาลจีนดำเนินมาตรการเด็ดขาดกับวัฒนธรรมและศาสนาของชาวอุยกูร์ โดยลงโทษชาวอุยกูร์ที่พูดภาษาอุยกูร์ ดำรงรักษาวัฒนธรรม หรือปฏิบัติตามหลักศาสนาของตน เช่น การอดอาหารระหว่างเดือนถือศีลอด หรือการงดเว้นจากการรับประทานหมูและดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

ชาวอุยกูร์มีวัฒนธรรมและศาสนาที่คล้ายคลึงกับกลุ่มชาติพันธุ์เอเชียกลางอื่นๆ เช่น กลุ่มอุซเบกและกลุ่มคาซัก ทั้งยังใช้ภาษาที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับภาษาอุซเบก และมีความคล้ายคลึงกับภาษาคาซัก ภาษาคีร์กีซ และภาษาเตอร์กิก

ศาสนาอิสลามเป็นส่วนสำคัญในเอกลักษณ์ของกลุ่มอุยกูร์ ชาวอุยกูร์ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามนิกายสุหนี่

ชาวอุยกูร์ประมาณ 10 ล้านคนอาศัยอยู่ในซินเจียง และมีหลายแสนคนอาศัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน และอุซเบกิสถาน

ซินเจียงเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ ทั้งยังมีระบบเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรรมและการค้าขายมาเป็นเวลายาวนาน เมืองต่างๆ ในซินเจียงเคยเป็นจุดพักที่สำคัญๆ ตามเส้นทางสายไหมที่มีชื่อเสียง

เขตแดนซินเจียงปัจจุบัน ซึ่งในภาษาจีนมีความหมายว่า “แนวพรมแดนใหม่” อยู่ภายใต้การปกครองของจีนหลังจากราชวงศ์ชิงเข้ามาถือสิทธิ์ในภูมิภาคระหว่างสงครามช่วงศตวรรษที่ 18 ในช่วงทศวรรษที่ 1930 และ 1940 ภูมิภาคนี้ได้ประกาศตัวเป็นรัฐเอกราชช่วงสั้นๆ สองครั้ง แต่ประเทศจีนกลับเข้ามามีอำนาจอีกครั้งหลังจากพรรคคอมมิวนิสต์ยึดครองประเทศในปี พ.ศ. 2492

การข่มเหงจากจีน

ชาวอุยกูร์ถูกรัฐบาลคอมมิวนิสต์เลือกปฏิบัติในวงกว้างเป็นเวลาหลายปี ทำให้ชาวอุยกูร์มีข้อจำกัดอย่างมากในการปฏิบัติตามวัฒนธรรมและศาสนาของตน นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีนโยบายสนับสนุนให้ชาวจีนฮั่นหลายล้านคน (กลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในจีน) ย้ายเข้าไปอยู่ในซินเจียงเพื่อกลืนกลุ่มชาติพันธุ์อุยกูร์ส่วนใหญ่ และพัฒนาแหล่งทรัพยากรธรรมชาติของภูมิภาคนี้ การเลือกปฏิบัติทางสังคมที่แพร่หลายและการเลือกปฏิบัติจากทางการที่มีต่อชาวอุยกูร์และชาวมุสลิมกลุ่มน้อยอื่นๆ นำไปสู่การประท้วงการปกครองของรัฐบาลจีนและก่อให้เกิดความรุนแรงเป็นครั้งคราว

นักข่าวรายงานว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้ รัฐบาลท้องถิ่นได้จัดให้มีพิธีการลงนามสำหรับประชาชนที่ชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ต้องปฏิญาณตนแสดงความจงรักภักดีต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีน นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังจำกัดสิทธิ์ของชาวอุยกูร์อย่างเคร่งครัดในการขอพาสปอร์ต จำกัดเสรีภาพในการเดินทาง และจำกัดการติดต่อกับชาวเตอร์กิกและชาวมุสลิมอื่นๆ ในต่างประเทศ

เมื่อเร็วๆ นี้ รัฐบาลจีนได้กักขังชาวอุยกูร์และสมาชิกชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่นๆ อย่างน้อย 800,000 คน และอาจจะมากกว่า 2 ล้านคนใน “ค่ายกักกัน” ตั้งแต่เดือนเมษายน 2560 โดยให้เหตุผลว่าคนเหล่านี้เป็น “กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง” และ “กลุ่มแบ่งแยก” สัญญาณบ่งบอกถึง “ความเป็นไปได้ที่จะเป็นกลุ่มหัวรุนแรง” ซึ่งอาจนำไปสู่การถูกกักกัน ได้แก่ การมีเครา “ต่างจากปกติ” การเดินทางไปยังประเทศที่มีคนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม การมีคัมภีร์อัลกุรอานไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และการปฏิเสธที่จะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือรับประทานเนื้อหมู

เจ้าหน้าที่ทางการจีนเรียกค่ายนี้ว่าโรงเรียน “ปรับทัศนคติ” หรือ “ฝึกอาชีพ” แต่ผู้ที่หนีรอดออกมาได้จะบอกเล่าเกี่ยวกับการช็อตไฟฟ้า การบังคับให้ปฏิญาณตน และการล้างสมอง คนเหล่านี้ถูกบังคับให้ร้องเพลงจีน ท่องจำกฎหมาย และคำกล่าวของพรรคคอมมิวนิสต์ สื่อและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศรายงานว่าเจ้าหน้าที่ความมั่นคงในศูนย์เหล่านี้กระทำทารุณ ทรมาน และสังหารผู้ถูกกักกันบางคน

ชาวอุยกูร์ที่ไม่ได้อยู่ในค่ายต้องอยู่ภายใต้บังคับของรัฐตำรวจที่แพร่ขยายไปในวงกว้างที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารจำนวนมากในเมืองและเขตต่างๆ มีกล้องรักษาความปลอดภัยอยู่ทุกมุมเมือง และชาวอุยกูร์ต้องติดตั้งแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์เพื่อให้รัฐบาลสามารถติดตามกิจกรรมของพวกเขาได้ นอกจากนี้ ชาวอุยกูร์ยังถูกบังคับให้ต้องให้ข้อมูล DNA และข้อมูลด้านชีวสถิติอื่นๆ ไว้ในฐานข้อมูลของรัฐบาล

ชาวอุยกูร์ไม่ได้อยู่เพียงลำพังแม้ว่าจะอยู่ในบ้านของตัวเอง โครงการ “ตรวจสอบใกล้ชิด” ทำให้สมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์จีนย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของครอบครัวชาวอุยกูร์ เพื่อ “เข้าใกล้กับประชาชนยิ่งขึ้น” และ “เข้าใจปัญหาที่พวกเขาเผชิญอยู่” รวมทั้งรายงานเกี่ยวกับกิจกรรมทางวัฒนธรรม การปฏิบัติทางศาสนา และการแสดงความภักดีต่อพรรคคอมมิวนิสต์

“ค่ายเหล่านี้เป็นความพยายามอย่างแท้จริงของจีนในการลดความสามารถของประชาชนชาวจีนในการใช้เสรีภาพทางศาสนาของตน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ไมเคิล ปอมเปโอ กล่าวในการให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนตุลาคม สหรัฐอเมริกาจะ “ต่อต้านการปฏิเสธสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่สุดเหล่านี้”

บทความนี้เขียนขึ้นจากข้อมูลรายงานของ Voice of America