
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกอาจมีขั้นตอนที่น่าสับสน แต่ที่นี่เรามีคำตอบสำหรับคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเลือกตั้งและกระบวนการการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ทำไมการเลือกตั้งจึงสำคัญ
การเลือกตั้งอย่างเสรีและเป็นธรรมคือหัวใจของประชาธิปไตย และให้โอกาสประชาชนได้มีสิทธิ์มีเสียงในการปกครองตนเองด้วยวิธีที่พื้นฐานที่สุด นั่นคือการตัดสินใจเลือกผู้ที่จะมาทำหน้าที่ปกครอง
การเลือกตั้งช่วยให้เรามั่นใจว่า การถ่ายโอนอำนาจจะเป็นไปอย่างสันติและเป็นระเบียบเรียบร้อย ทั้งจากพลเมืองไปสู่ผู้แทนที่พลเมืองเลือก และจากเจ้าหน้าที่รัฐที่ได้รับเลือกไปสู่ผู้สืบทอดตำแหน่งคนต่อไป
ระบบการปกครองของสหรัฐฯ อาจดูเหมือนซับซ้อน แต่ก็รับรองว่าผู้ลงคะแนนเสียงจะมีสิทธิ์มีเสียงในการปกครองทุกระดับ
รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ให้อำนาจบางประการแก่รัฐบาลระดับประเทศ (หรือ “รัฐบาลกลาง”) และสงวนสิทธิแห่งอำนาจอื่น ๆ สำหรับรัฐแต่ละรัฐและประชาชน รัฐธรรมนูญกำหนดให้แต่ละรัฐมีรัฐบาลปกครองในรูปแบบสาธารณรัฐ และให้ประชาชนใช้อำนาจของตนผ่านผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้ง รวมถึงห้ามรัฐละเมิดสิทธิบางประการ แต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว รัฐต่าง ๆ ยังคงมีอำนาจค่อนข้างมาก
ทำไมสหรัฐอเมริกาจึงมีพรรคการเมืองใหญ่แค่สองพรรค
ผู้ร่างรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ไม่ได้คาดคิดว่าจะมีพรรคการเมืองแต่อย่างใด ทว่าเมื่อผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมีจำนวนเพิ่มขึ้นและประเทศขยายอาณาเขตไปทางทิศตะวันตก พรรคการเมืองจึงถือกำเนิดขึ้น ในปัจจุบัน พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตมีบทบาทมากที่สุดในกระบวนการทางการเมือง โดยต่างพัฒนามาจากพรรคการเมืองที่ก่อตั้งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19
โดยทั่วไป สมาชิกพรรคการเมืองทั้งสองจะคุมเก้าอี้ประธานาธิบดี สภาคองเกรส ผู้ว่าการรัฐ และสภานิติบัญญัติของรัฐ โดยตั้งแต่ปี 2395 เป็นต้นมา ประธานาธิบดีทุกคนมาจากพรรครีพับลิกันหรือพรรคเดโมแครตเท่านั้น
ลาและช้างเป็นสัญลักษณ์ของพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19
ทำไมจึงไม่มีพรรคเล็กมากกว่านี้
ระบบการเลือกตั้งสหรัฐฯ ใช้หลัก “first past the post” ซึ่งหมายความว่า ผู้สมัครคนใดได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนสูงที่สุดจะถือว่าเป็นผู้ชนะ แม้จะไม่ได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่ก็ตาม ดังนั้น พรรคการเมืองขนาดเล็กจึงชนะการเลือกตั้งได้ยาก
ใครเป็นผู้ลงคะแนนเสียง
รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ รับรองว่า พลเมืองสหรัฐฯ ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนในการเลือกตั้งระดับรัฐบาลกลาง (ระดับประเทศ) ระดับรัฐ และระดับท้องถิ่น
To register, voters must meet the residency requirements of their states, which vary, and comply with voter-registration deadlines.
ผู้สมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งทางการเมืองต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง
ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต้อง
- เป็นพลเมืองอเมริกันโดยกำเนิด
- มีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี และ
- มีถิ่นที่อยู่ในสหรัฐฯ โดยถูกต้องตามกฎหมายไม่ต่ำกว่า 14 ปี
- ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีก็ต้องมีคุณสมบัติเดียวกัน และจะต้องไม่เคยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมาแล้ว 2 วาระ
ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี เป็นพลเมืองสหรัฐฯ มาแล้ว 7 ปี และมีถิ่นที่อยู่ในรัฐที่ลงสมัครเป็นผู้แทนในสภาคองเกรส
ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปี เป็นพลเมืองสหรัฐฯ มาแล้ว 9 ปี และมีถิ่นที่อยู่ในรัฐที่ลงสมัครเป็นผู้แทน
เจ้าหน้าที่รัฐตำแหน่งใดบ้างที่มาจากการเลือกตั้ง
รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ระบุข้อกำหนดสำหรับผู้ที่จะดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลาง ทว่าทั้ง 50 รัฐก็มีรัฐธรรมนูญและกฎระเบียบว่าด้วยเจ้าหน้าที่รัฐของตนเอง
ระดับประเทศ
เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางที่มาจากการเลือกตั้งมีเพียงประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี และสมาชิกสภาคองเกรส ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีสิทธิออกเสียง 435 คน และวุฒิสมาชิก 100 คน
ระดับรัฐและท้องถิ่น
ผู้ว่าการรัฐส่วนใหญ่ดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี ยกเว้นบางรัฐที่เลือกผู้ว่าการรัฐใหม่ทุก ๆ 2 ปี ผู้ลงคะแนนเสียงในบางรัฐมีสิทธิเลือกผู้พิพากษา ในขณะที่รัฐอื่น ๆ ผู้พิพากษามาจากการแต่งตั้ง บรรดารัฐและท้องที่ต่างก็เลือกเจ้าหน้าที่รัฐหลายพันคนเข้ามาดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่ผู้ว่าการรัฐ สมาชิกสภานิติบัญญัติของรัฐ คณะกรรมการสถานศึกษา ไปจนถึงพนักงานจับสุนัขจรจัด
การเลือกตั้งในสหรัฐฯ แบ่งออกเป็นกี่ประเภท
การเลือกตั้งในสหรัฐฯ หลัก ๆ แล้ว แบ่งออกเป็นการเลือกขั้นต้น (primary) และการเลือกตั้งทั่วไป (general) ซึ่งจัดขึ้นในปีที่เป็นเลขคู่ และรวมไปถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภาคองเกรส นอกจากนั้น บางรัฐและท้องถิ่นบางแห่งก็อาจจัดการเลือกตั้ง “พิเศษ” (ทั้งการเลือกตั้งขั้นต้นและการเลือกตั้งทั่วไป) ในปีที่เป็นเลขคี่ด้วย
การเลือกตั้งขั้นต้นเป็นการเลือกผู้สมัครสำหรับการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งโดยปกติแล้ว ผู้ชนะการเลือกตั้งขั้นต้นจะได้เป็นผู้สมัครที่พรรคการเมืองเสนอชื่อหรือรับรองให้ลงแข่งขันในการเลือกตั้งทั่วไป
การเลือกตั้งทั่วไปเป็นการเลือกตั้งที่จัดขึ้นเพื่อเลือกผู้สมัครที่ได้รับการเสนอชื่อจากการเลือกตั้งขั้นต้น (หรือการประชุมระดับประเทศ การประชุมคอคัส หรือการเสนอชื่อ) เพื่อดำรงตำแหน่งในรัฐบาลกลาง ระดับรัฐ และ/หรือท้องถิ่น การเลือกตั้งทั่วไปมีวัตถุประสงค์เพื่อเลือกผู้สมัครที่ได้รับการเสนอชื่อจากพรรค หรือผู้สมัครที่ลงสมัครรับเลือกตั้งแบบอิสระ (ไม่สังกัดพรรคการเมืองหลัก) หรือ (ในบางกรณี) ผู้สมัครที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อ นอกจากนี้ ยังสามารถระบุมาตรการต่าง ๆ บนบัตรลงคะแนนได้ เช่น การเสนอกฎหมาย (การลงประชามติ) การเห็นชอบงบประมาณ (การเห็นชอบการกู้ยืมเงินสำหรับโครงการสาธารณะ) และหน้าที่อื่น ๆ ของรัฐบาล
นอกจากนี้ หลายรัฐยังสามารถจัดการเลือกตั้งพิเศษในเวลาใดก็ได้ โดยมีวัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง เช่น เพื่อหาบุคคลมาดำรงตำแหน่งที่ว่างอย่างกะทันหัน
การเลือกตั้งจัดเมื่อใดบ้าง
การเลือกตั้งตำแหน่งในรัฐบาลกลางจัดขึ้นในปีที่ลงท้ายด้วยเลขคู่ ในวันอังคารหลังวันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายน
การเลือกตั้งประธานาธิบดีจัดขึ้นทุก 4 ปี เพราะฉะนั้นการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2563 จะจัดขึ้นในวันที่ 3 พฤศจิกายน
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 435 คน จัดขึ้นทุก 2 ปี
สมาชิกวุฒิสภามีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละ 6 ปี โดยมีการจัดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งเพื่อให้มีการเลือกตั้งหนึ่งในสาม (หรืออาจเพิ่มอีก 1 ที่นั่ง) ของจำนวนที่นั่งในสภา 100 ที่นั่ง ทุก 2 ปี
หากวุฒิสมาชิกเสียชีวิตหรือกลายเป็นบุคคลผู้ไร้ความสามารถระหว่างดำรงตำแหน่ง บางรัฐอาจจัดการเลือกตั้งพิเศษเพื่อหาบุคคลมาดำรงตำแหน่งแทน วุฒิสมาชิกที่ได้รับเลือกตั้งใหม่จะอยู่ในตำแหน่งจนสิ้นวาระเดิมของวุฒิสมาชิกคนก่อน ในขณะที่บางรัฐมีกฎหมายระบุให้ผู้ว่าการรัฐสามารถแต่งตั้งบุคคลมาทำหน้าที่แทนจนสิ้นสุดวาระเดิม หรือจนกว่าจะสามารถจัดการเลือกตั้งพิเศษเพื่อหาวุฒิสมาชิกคนใหม่ได้
ผู้ว่าการรัฐส่วนใหญ่ดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี ยกเว้นผู้ว่าการรัฐนิวแฮมป์เชียร์และรัฐเวอร์มอนต์ที่ดำรงตำแหน่งคราวละ 2 ปี
การเลือกตั้งขั้นต้นจัดเมื่อใดบ้าง
รัฐบาลระดับรัฐและท้องถิ่นเป็นผู้กำหนดวันที่สำหรับการเลือกตั้งขั้นต้นและการประชุมคอคัส วันที่เหล่านี้ รวมทั้งระยะเวลาระหว่างการเลือกตั้งขั้นต้นและการเลือกตั้งทั่วไป มีผลเป็นอย่างยิ่งต่อการกำหนดวันหาเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ตลอดจนวิธีการและเวลาในการจัดสรรเงินทุนสำหรับการหาเสียงด้วย
ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี ชัยชนะจากการเลือกตั้งขั้นต้นที่จัดตั้งแต่ช่วงต้นปีเลือกตั้ง เช่น ที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ อาจมีอิทธิพลต่อผลการเลือกตั้งขั้นต้นในรัฐอื่น ๆ ที่จัดในภายหลัง
การเลือกตั้งกลางเทอมคืออะไร
การเลือกตั้งกลางเทอม หมายถึง การเลือกตั้งเพื่อชิงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสมาชิก และผู้ว่าการรัฐเมื่อประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งมาได้ครึ่งวาระ
ทำไมการเลือกตั้งทั่วไปจึงจัดขึ้นในวันอังคารหลังวันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายน
ในประวัติศาสตร์ชาติสหรัฐฯ อเมริกาเป็นสังคมที่ทำการเกษตรเป็นหลักมาเป็นระยะเวลานาน ฝ่ายนิติบัญญัติได้พิจารณาถึงความสะดวกของเกษตรกร จึงกำหนดให้วันเลือกตั้งอยู่ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งชาวไร่ชาวนาและแรงงานในชนบทสามารถไปเลือกตั้งได้ง่ายที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงเวลาหลังการเก็บเกี่ยว แต่อยู่ก่อนฤดูหนาวซึ่งการเดินทางยากลำบาก
เนื่องจากผู้อาศัยอยู่ในชนบทจำนวนมากอยู่ห่างไกลจากคูหาเลือกตั้ง จึงมีการเลือกให้วันอังคารเป็นวันเลือกตั้งแทนที่จะเป็นวันจันทร์ เพื่อให้ผู้ที่ไปโบสถ์ในวันอาทิตย์สามารถเดินทางหลังประชุมนมัสการเสร็จ และไปถึงคูหาทันเวลา
ฝ่ายนิติบัญญัติหลีกเลี่ยงไม่ให้วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นวันเลือกตั้ง ด้วยเหตุผล 2 ข้อ นั่นคือ 1) วันดังกล่าวตรงกับวันสมโภชนักบุญทั้งหลาย ซึ่งเป็นวันที่ชาวโรมันคาทอลิกต้องร่วมพิธีมิสซา และ 2) พ่อค้ามักจะทำงบดุลเดือนก่อนหน้าในวันแรกของแต่ละเดือน
เคยมีผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีทั้งที่ไม่ได้รับคะแนนเสียงส่วนใหญ่จากประชาชนหรือไม่
ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มี 18 ครั้งที่ผู้ชนะไม่ได้รับคะแนนเสียงส่วนใหญ่จากประชาชน โดยครั้งแรกคือนายจอห์น ควินซี แอดัมส์ ในการเลือกตั้งปี 2367 และล่าสุดคือนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้งปี 2559
ผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐฯ จัดตั้งระบบคณะผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีขึ้นเพื่อคานอำนาจระหว่างรัฐต่าง ๆ และรัฐบาลกลาง ภายใต้ระบบของรัฐบาลกลางตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ คะแนนเสียงของประชาชนทั่วประเทศไม่มีผลทางกฎหมาย ดังนั้น ผลคะแนนจากผู้เลือกตั้งในแต่ละรัฐจึงอาจแตกต่างจากผลคะแนนเสียงจากประชาชนทั่วประเทศได้ อย่างไรก็ดี คะแนนเสียงของพลเมืองแต่ละคนก็มีความสำคัญต่อผลการเลือกตั้งแต่ละครั้ง
บุคคลคนหนึ่งสามารถเป็นประธานาธิบดีได้กี่ครั้ง
ในปี 2494 มีการรับรองรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 22 ซึ่งห้ามไม่ให้บุคคลได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีเกินกว่า 2 สมัย
สำหรับตำแหน่งทางการเมืองอื่น ๆ นั้น ไม่มีการจำกัดจำนวนวาระการดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภาคองเกรส ในกรณีที่มีข้อกำหนดเกี่ยวกับวาระการดำรงตำแหน่งสำหรับเจ้าหน้าที่ระดับรัฐและระดับท้องถิ่น จะมีการระบุไว้ในรัฐธรรมนูญของรัฐต่าง ๆ และข้อบัญญัติขององค์การส่วนท้องถิ่น
ชาวอเมริกันลงคะแนนกันอย่างไร
สำหรับการเลือกตั้งส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจะต้องลงคะแนนเสียงด้วยตนเองที่คูหาเลือกตั้งของทางการ หรือส่งบัตรเลือกตั้งทางไปรษณีย์ เนื่องจากหน่วยงานที่ทำหน้าที่บริหารจัดการการเลือกตั้งคือหน่วยงานท้องถิ่นในพื้นที่ต่าง ๆ ไม่ใช่หน่วยงานระดับประเทศเพียงแห่งเดียว ดังนั้น แต่ละพื้นที่ก็อาจมีบัตรลงคะแนนและเทคโนโลยีการลงคะแนนต่างประเภทกันได้ แม้จะอยู่ในรัฐเดียวกัน
ปัจจุบัน ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งชาวอเมริกันน้อยคนจะลงคะแนนด้วยวิธีกาเครื่องหมาย “X” ข้างชื่อผู้สมัครบนบัตรเลือกตั้ง เนื่องจากหลายพื้นที่ใช้ระบบ Optical System ซึ่งผู้มีสิทธิออกเสียงจะลงคะแนนด้วยการระบายทึบวงกลมหรือลากเส้นโยงบนบัตรกระดาษ จากนั้นจึงใส่บัตรในเครื่องนับคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที่พื้นที่อื่น ๆ ใช้อุปกรณ์ลงคะแนนเลือกตั้งที่แตกต่างหลากหลาย
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ หลายรัฐได้เริ่มส่งบัตรเลือกตั้งให้ผู้มีสิทธิออกเสียงก่อนการเลือกตั้ง รัฐออริกอนและรัฐวอชิงตันดำเนินการเลือกตั้งทั้งหมดทางไปรษณีย์ โดยทั่วไป ผู้ลงคะแนนเสียงที่ไม่สามารถไปที่หน่วยเลือกตั้งจะส่งบัตรเลือกตั้งที่กรอกเรียบร้อยแล้วคืนทางไปรษณีย์