จาก ShareAmerica
การประชุมใหญ่ระดับประเทศของพรรคการเมืองสหรัฐฯ เป็นรายการแสดงที่มีสีสันมาก เริ่มจากตัวแทนหลายพันคน บวกกับผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ อินเทอร์เน็ต วิทยุและโทรทัศน์อีกกว่า 15,000 คน แล้วก็อย่าลืมคำปราศรัยต่างๆ ด้วยนะคะ นักกฎหมายจากรัฐอิลลินอยส์ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักคนหนึ่งที่ชื่อ บารัค โอบามา ได้รับความสนใจจากคนทั้งประเทศเป็นครั้งแรกก็จากคำปราศรัยของเขาในการประชุมใหญ่ระดับประเทศของพรรคเดโมแครตเมื่อปี พ.ศ. 2547
สำหรับชาวอเมริกันที่ชอบการเมือง การประชุมใหญ่ระดับประเทศของพรรคการเมืองก็ไม่ต่างจากการแข่งขัน Super Bowl เพราะสนุกมาก มีคนแพ้ คนชนะ และยังดูทางโทรทัศน์ได้ด้วย
ไม่ใช่แค่เพื่อความสนุก
แม้ว่าการประชุมใหญ่ระดับประเทศของพรรคการเมืองจะดูเหมือนการแสดงที่หรูหรา แต่การประชุมก็มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญมาก ในช่วงเวลาสี่วัน (18-21 กรกฎาคมสำหรับพรรครีพับลิกัน และ 25-28 กรกฎาคมสำหรับพรรคเดโมแครต) ที่ประชุมจะต้อง
- เลือกผู้สมัครลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีในนามของพรรค
- ช่วยส่งเสริมให้ประชาชนกระตือรือร้นเลือกสิ่งที่พรรคนำเสนอ
- เห็นชอบหลักการระบุจุดยืนของพรรคเกี่ยวกับประเด็นที่สำคัญๆ ในช่วงเวลานั้นๆ
- เปิดโอกาสให้บุคคลอื่นๆ ในพรรคได้ปรากฏตัวต่อประชาชนทั่วประเทศ
ในการประชุมของพรรคการเมืองใหญ่ทั้งสองพรรค ผู้ที่จะได้รับเสนอชื่อเป็นผู้สมัครลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในนามของพรรคคือคนที่ได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่ของตัวแทน (ตัวแทนมักจะเห็นชอบกับการเลือกผู้สมัครเป็นรองประธานาธิบดีของผู้ที่ได้รับเสนอชื่อเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีผู้สมัครเพียงคนเดียวเสมอที่ได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่จากตัวแทนอันเป็นผลจากการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งขั้นต้นภายในพรรค (primary) และการประชุมพรรคเพื่อคัดเลือกตัวแทนหรือการประชุมคอคัส (caucus) ก่อนที่การประชุมใหญ่ระดับประเทศของพรรคจะเริ่มต้นเสียอีก ซึ่งหมายความว่า ในการประชุมใหญ่ การเสนอชื่อเป็นผู้สมัครลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจึงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ดังนั้น การประชุมจึงเน้นวัตถุประสงค์อื่นๆ ของการประชุมแทน
หากไม่มีผู้สมัครคนใดได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่ ตัวแทนจะลงคะแนนเสียงใหม่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสามารถเลือกผู้ชนะได้ เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้พบเห็นกันเลยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2495 แต่ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ถือเป็นเรื่องปกติมาก ในปี พ.ศ. 2567 พรรคเดโมแครตต้องมี 103 คะแนนเพื่อเสนอชื่อ John W. Davis เป็นผู้สมัครลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดี (Davis แพ้ไม่ได้รับเลือก)
พรรคการเมืองระดับรัฐจะเป็นผู้กำหนดว่าตัวแทนจะออกเสียงอย่างไร ซึ่งโดยทั่วไป ตัวแทนต้องเลือกผู้สมัครที่ตน “ให้คำมั่น” ว่าจะเลือกในการลงคะแนนเสียงครั้งแรก แต่หลังจากนั้น ตัวแทนสามารถเปลี่ยนไปเลือกคนอื่นได้
การลงคะแนนเสียงถือเป็นจุดเด่นของงาน รัฐต่างๆ จะอ่านรายชื่อตามลำดับตัวอักษร ตัวแทนหนึ่งคนจะรายงานจำนวนตัวแทนทั้งหมดของรัฐนั้นๆ หลายๆ คนถือโอกาสนี้ประชาสัมพันธ์เรื่องเด่นๆ ที่รัฐของตนมีส่วนร่วมในภาพรวมระดับประเทศให้แก่ประชาชนทั่วประเทศได้ทราบ ดังนั้น เราอาจจะได้ยินตัวแทนบางคนกล่าวในทำนองนี้
“ท่านประธานที่เคารพ ผม/ดิฉันมีความภูมิใจมากที่เป็นผู้นำตัวแทนจากรัฐแอละแบมา ขณะนี้ รัฐแอละแบมามีความก้าวหน้ามาก เราเป็นแชมป์ฟุตบอลสามปีซ้อน [มีเสียงโห่จากตัวแทนของรัฐอื่นๆ) เราเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการคมนาคม เรามีโรงงานผลิตมาตรฐานโลกสามแห่ง และเราเพิ่งประกาศเปิดโรงงานผลิตเครื่องยนต์เจ็ท…”
เนื่องจากแต่ละพรรคประกอบด้วยกลุ่มผลประโยชน์ที่แตกต่างหลากหลาย ความสำเร็จของการประชุมใหญ่ระดับประเทศคือ การที่สามารถประสานผลประโยชน์ของทุกกลุ่มให้เป็นเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีคนต่อไป!