รายงานด้านสิทธิมนุษยชนประจำปี พ.ศ. 2564 – ประเทศไทย

รายงานสรุป

ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ปัจจุบันมีพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 10) ทรงดำรงตำแหน่งองค์พระประมุข เมื่อปี 2562 ประเทศไทยได้จัดการเลือกตั้งทั่วประเทศขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งนำโดยคณะรัฐประหารเข้ามาบริหารประเทศเป็นเวลา 5 ปี พรรคพลังประชารัฐซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก คสช. และพรรคร่วมสนับสนุนอีก 18 พรรคชนะเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร และได้เลือกให้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นหัวหน้า คสช. ผู้นำคณะรัฐประหาร พ.ศ. 2557 และนายทหารชั้นยศนายพลที่เกษียณอายุแล้วดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อ การเลือกตั้งโดยทั่วไปเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย แทบจะไม่มีรายงานความผิดปกติ แม้จะมีการตั้งข้อสังเกตว่า กรอบกฎหมายการหาเสียงการเลือกตั้งที่มีข้อจำกัด และการบังคับใช้ระเบียบเพียงบางส่วนโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง เอื้อประโยชน์ให้กับพรรคที่สนับสนุนพรรคพลังประชารัฐก็ตาม

สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกองบัญชาการกองทัพไทยมีหน้าที่รับผิดชอบร่วมกันในการบังคับใช้กฎหมายและรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติขึ้นตรงต่อสำนักนายกรัฐมนตรี และกองบัญชาการกองทัพไทยขึ้นตรงต่อกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนมีอำนาจและหน้าที่รับผิดชอบพิเศษในพื้นที่ชายแดนเพื่อปราบปรามการก่อความไม่สงบ โดยทั่วไป เจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนกำกับดูแลหน่วยงานด้านความมั่นคง มีรายงานที่น่าเชื่อถือว่า เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานด้านความมั่นคงใช้อำนาจโดยมิชอบในหลากหลายรูปแบบ

ปัญหาสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ ได้แก่ รายงานที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับการทรมานและเหตุการณ์การปฏิบัติหรือลงโทษด้วยวิธีการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือทำลายศักดิ์ศรีโดยเจ้าหน้าที่ของทางการ, การจับกุมและคุมขังโดยพลการโดยเจ้าหน้าที่รัฐ, นักโทษการเมือง, การแทรกแซงทางการเมืองในกระบวนการพิจารณาคดี, การละเมิดสิทธิส่วนบุคคลโดยพลการหรือมิชอบด้วยกฎหมาย, การจำกัดเสรีภาพการแสดงออกและสื่ออย่างเคร่งครัด ซึ่งรวมไปถึงการจับกุมและดำเนินคดีกับผู้ที่วิจารณ์รัฐบาล การตรวจสอบเนื้อหาก่อนเผยแพร่ และกฎหมายหมิ่นประมาททางอาญา, การจำกัดเสรีภาพทางอินเทอร์เน็ตอย่างเคร่งครัด, การแทรกแซงเสรีภาพในการชุมนุมอย่างสงบและเสรีภาพในการสมาคม, การจำกัดเสรีภาพในการเดินทางอย่างเคร่งครัด, การส่งกลับผู้ลี้ภัยที่เผชิญภัยอันตรายต่อชีวิตหรือเสรีภาพ, การจำกัดการมีส่วนร่วมทางการเมือง, การกระทำทุจริตอย่างร้ายแรงในภาครัฐ, การคุกคามองค์กรสิทธิมนุษยชนภายในประเทศ, การค้ามนุษย์ และการจำกัดเสรีภาพในการสมาคมของผู้ใช้แรงงานอย่างมีนัยสำคัญ

ทางการได้ดำเนินขั้นตอนการสืบสวนและลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือกระทำการทุจริต อย่างไรก็ตาม การยกเว้นโทษให้เจ้าหน้าที่ยังคงเป็นปัญหาอยู่ โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่กฎอัยการศึกยังคงมีผลบังคับใช้ในจังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ซึ่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีผลบังคับใช้ในทุกอำเภอของจังหวัดดังกล่าวยกเว้น 7 อำเภอ โดยทั้ง 7 อำเภอนี้มีการยกเลิกพระราชกำหนดฉุกเฉินดังกล่าวตั้งแต่ปี 2554 และใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงแทน

ผู้ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงละเมิดสิทธิมนุษยชนและโจมตีฝ่ายความมั่นคงของรัฐและเป้าหมายที่เป็นพลเรือน

หมวดที่ 1. การเคารพบูรณภาพแห่งบุคคล

ก. การสังหารตามอำเภอใจหรือการสังหารที่ผิดกฎหมายหรือมีเหตุจูงใจทางการเมือง

ไม่มีรายงานว่า รัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐสังหารตามอำเภอใจหรือผิดกฎหมาย ซึ่งต่างจากปีที่ผ่าน ๆ มา

มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายบุคคลที่ถูกคุมขังจำนวนมาก เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม มีคลิปวิดีโอแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ 7 นายจากสถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์กระทำทารุณผู้ต้องสงสัยที่ถูกคลุมศีรษะจนเป็นเหตุให้ขาดอากาศหายใจและเสียชีวิต ต่อมาภายหลังทราบว่า ผู้ต้องสงสัยชื่อ นายจิระพงศ์ ธนะพัฒน์ อายุ 24 ปี มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านั้นสอบสวนผู้เสียหายเพื่อขู่กรรโชกเรียกสินบนจำนวน 2 ล้านบาท (61,000 เหรียญสหรัฐ) ประธานสภาทนายความจังหวัดนครสวรรค์รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกักตัวผู้เสียหายเพื่อสอบสวนเบื้องต้นทันทีที่จับกุม ซึ่งขณะนั้นผู้เสียหายยังไม่ได้รับสิทธิที่จะปรึกษาทนายความตามกฎหมาย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์เป็นผู้สั่งให้ดำเนินการสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 7 นายที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้ถูกคุมขัง ณ เดือนสิงหาคม (ดูหมวดที่ 4)

คดีสังหารตามอำเภอใจหรือผิดกฎหมายหลายคดีก่อนหน้านี้ยังคงไม่ได้รับการคลี่คลาย ตัวอย่างเช่น ณ เดือนพฤศจิกายน เหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยิงนายเจริญศักดิ์ รัชพูมาด ผู้ต้องหาค้ายาเสพติดและอาวุธจนเสียชีวิตที่อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อปี 2563 ยังคงอยู่ระหว่างการสอบสวน ผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่า นายเจริญศักดิ์ยกมือขึ้นยอมแพ้ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 10 นายล้อมจับ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยิงยืนยันว่า นายเจริญศักดิ์ใช้มีดจะแทงเขา

มีรายงานการสังหารที่กระทำโดยทั้งรัฐบาลและฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ดูหมวดที่ 1.ช.)

ข. การหายสาบสูญ

ไม่มีรายงานอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการหายสาบสูญโดยหรือในนามของเจ้าหน้าที่รัฐตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนพฤศจิกายน (ดูหมวดที่ 1.จ. หัวข้อ “การแก้แค้นบุคคลซึ่งมีถิ่นที่อยู่นอกประเทศโดยมีเหตุจูงใจทางการเมือง”)

คดีส่วนใหญ่จากปีก่อน ๆ ยังคงไม่ได้รับการคลี่คลาย ในเดือนสิงหาคม กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เรียกร้องให้สำนักงานอัยการสูงสุดยกเลิกคำสั่งไม่ฟ้องเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน 4 คนในข้อหาฆาตกรรมนายพอละจี “บิลลี่” รักจงเจริญ นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยงเมื่อปี 2557 ภายหลัง สำนักงานอัยการสูงสุดสั่งให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการสืบสวนต่อไปเพื่อพิสูจน์ข้อกล่าวหาฆาตกรรมและลักพาตัว ณ เดือนธันวาคม การสืบสวนคดียังคงดำเนินอยู่

ค. การทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษด้วยวิธีการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือทำลายศักดิ์ศรีอื่น ๆ

รัฐธรรมนูญระบุว่า “การทรมาน ทารุณกรรม หรือการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรมจะกระทำมิได้” อย่างไรก็ดี พระราชกำหนดฉุกเฉินที่มีผลบังคับในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่ปี 2548 ให้ความคุ้มครองเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงให้ไม่ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายจากการกระทำในระหว่างปฏิบัติตามหน้าที่ นับจนถึงเดือนสิงหาคม คณะรัฐมนตรีได้ขยายเวลาการบังคับใช้พระราชกำหนดฉุกเฉินในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทุก ๆ 3 เดือนต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2548 ทั้งนี้ มี 7 อำเภอใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ได้รับการยกเว้นจากพระราชกำหนดดังกล่าว ได้แก่ อำเภอศรีสาคร อำเภอสุไหงโกลก และอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส อำเภอเบตงและอำเภอกาบัง จังหวัดยะลา และอำเภอไม้แก่นและอำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี

มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายและขู่กรรโชกนักโทษและผู้ต้องขัง และโดยส่วนใหญ่ไม่ต้องถูกลงโทษ คำร้องเรียนแทบจะไม่นำไปสู่การลงโทษผู้ถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิด และมีตัวอย่างให้เห็นจำนวนมากที่การสอบสวนเกี่ยวกับข้อกล่าวหาการใช้อำนาจโดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงใช้เวลานานหลายปีโดยที่ยังไม่มีข้อสรุป

ตัวแทนจากองค์กรนอกภาครัฐและองค์กรด้านกฎหมายรายงานว่า บางครั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารทรมานและซ้อมผู้ต้องสงสัยเพื่อให้รับสารภาพ และหนังสือพิมพ์รายงานคดีหลายคดีที่ประชาชนกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอื่น ๆ ใช้ความรุนแรง เมื่อวันที่ 13 มกราคม เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งในอำเภอเกาะสมุยถูกกล่าวหาว่านำตัวแรงงานอพยพชาวพม่าออกจากห้องควบคุมและกระทำชำเราเธอในห้องทำงานของเขา หลังจากที่ครอบครัวของผู้เสียหายยื่นเรื่องร้องทุกข์ เจ้าหน้าที่ตำรวจนายนั้นซึ่งมีชื่อว่า วัชรินทร์ สินสโมสร ถูกจับและถูกตั้งข้อหาว่าข่มขืนกระทำชำเรา

ณ เดือนพฤศจิกายน เจ้าหน้าที่ทหาร 7 นายที่รับสารภาพว่าลงมือทำร้ายชายสองคนพี่น้องในจังหวัดนครพนมเมื่อปี 2563 ขณะสอบสวนข้อกล่าวหาฐานค้ายาเสพติดนั้นไม่ถูกชี้มูลความผิด หนึ่งในสองพี่น้องภายหลังถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตที่นั่น ขณะที่อีกคนถูกพบว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสในสถานที่อื่น

มีรายงานระบุว่า มีการกระทำเหยียดหยามให้อับอายและทารุณทางกายในหน่วยทหาร เมื่อเดือนมกราคม ทหารเกณฑ์ห้านายรายงานว่าถูกผู้บังคับบัญชาทุบตีและทรมาน หลังจากที่ผู้บังคับบัญชาพบว่าพวกเขามีกัญชาในครอบครอง ทหารเกณฑ์สองนายหนีออกนอกค่ายทหารและยื่นเรื่องร้องทุกข์ ทางการปิดคดีนี้หลังจากที่ผู้เสียหายและครอบครัวของผู้เสียหายตกลงยอมความนอกศาลโดยได้รับค่าสินไหมทดแทน

การยกเว้นโทษให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงยังคงเป็นปัญหา โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่กฎอัยการศึกยังคงมีผลบังคับใช้ กระทรวงกลาโหมกำหนดให้ข้าราชการทหารเข้ารับการอบรมเรื่องสิทธิมนุษยชน มีการจัดฝึกอบรมข้าราชการในหลายระดับเป็นประจำ รวมทั้งข้าราชการสัญญาบัตร ข้าราชการชั้นประทวน และทหารเกณฑ์ นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังกำหนดให้นักเรียนนายร้อยตำรวจทุกคนที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจต้องลงเรียนวิชากฎหมายสิทธิมนุษยชน

สภาพของเรือนจำและสถานกักกัน

เรือนจำและสถานกักกันต่าง ๆ อันได้แก่ สถานบำบัดผู้ติดยาเสพติดและศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่กักกันผู้อพยพ ผู้ลี้ภัย ผู้แสวงหาที่พักพิงที่ไม่มีเอกสารประจำตัว และชาวต่างชาติที่ละเมิดกฎหมายว่าด้วยการเข้าเมือง มีสภาพไม่ดีและส่วนใหญ่แออัดมาก เป็นผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 พุ่งสูงในหมู่ผู้ถูกกักกัน ผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงที่เป็นเด็กถูกกักอยู่ที่ศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองหรืออยู่ที่สถานีตำรวจในท้องถิ่นเป็นการชั่วคราว แม้ว่ารัฐบาลจะขอให้ยุติการกักกันหรือแสวงหาหนทางอื่นนอกเหนือจากการกักกันก็ตาม กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลสภาพเรือนจำ ในขณะที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงมหาดไทย รับผิดชอบดูแลสภาพของศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

รัฐบาลยังคงกักขังผู้ต้องสงสัยที่เป็นพลเรือนบางรายที่สถานกักกันของทหาร แม้ว่าคำสั่งในปี 2562 ได้กำหนดให้โอนคดีพลเรือนทุกคดีจากศาลทหารไปยังศาลพลเรือนแล้วก็ตาม กรมราชทัณฑ์ระบุว่า ณ เดือนพฤศจิกายน มีพลเรือนอย่างน้อย 2 รายถูกกักกันอยู่ที่เรือนจำชั่วคราวแขวงทุ่งสองห้องทางตอนเหนือของกรุงเทพมหานคร

สภาพเรือนจำและสถานกักกัน: จำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำและสถานกักกันสูงกว่าความสามารถรองรับได้ประมาณร้อยละ 50 ณ เดือนพฤศจิกายน มีผู้ต้องขังในเรือนจำและสถานกักกัน 285,182 คน แต่สถานที่ถูกออกแบบให้รองรับจำนวนผู้ต้องขังได้สูงสุดเพียง 210,000 ถึง 220,000 คน

เรือนจำและสถานกักกันบางแห่งมีสถานที่นอนไม่เพียงพอ และยังคงมีรายงานว่ามีสภาพแออัดมากและอากาศถ่ายเทไม่ดี และปัญหาที่ร้ายแรงคือการขาดบริการทางการแพทย์ บางครั้งทางการจะส่งตัวนักโทษหรือผู้ต้องขังที่ป่วยหนักไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดหรือโรงพยาบาลของรัฐ

เมื่อถึงเดือนพฤษภาคม ผู้ต้องขังมากกว่า 2,000 คนในกรุงเทพติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งรวมถึงผู้นำการชุมนุมประท้วงที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายจำนวนหลายคนที่ถูกปฏิเสธคำร้องขอประกันตัวระหว่างรอพิจารณาคดี ในเดือนเมษายน นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” และนางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” ถูกควบคุมตัวเป็นเวลา 93 วันและ 60 วันตามลำดับ ในระหว่างถูกควบคุมตัว ทั้งสองคนอดอาหารประท้วงที่ศาลยืนคำปฏิเสธคำร้องขอประกันตัว พริษฐ์ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเนื่องจากสงสัยว่ามีภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารก่อนได้รับการปล่อยตัวในที่สุด ในเดือนสิงหาคม พริษฐ์ถูกจับอีกครั้ง โดยภายหลังตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 กรมราชทัณฑ์ปฏิเสธคำร้องของมารดาพริษฐ์ที่ขอให้ย้ายลูกชายของเธอไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชน โดยระบุว่านายพริษฐ์อาการดีขึ้นแล้ว

สภาพของศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบหลายข้อที่กำกับระบบราชทัณฑ์ตามปกติทั่วไป องค์กรนอกภาครัฐ องค์กรระหว่างประเทศและผู้ต้องขังที่ศูนย์กักกันบางแห่งร้องเรียนถึงสภาพที่แออัดและผิดหลักอนามัย เช่น ห้องมีอากาศถ่ายเทไม่ดี ไม่มีเวลาให้อยู่กลางแจ้ง ไม่สามารถใช้โทรศัพท์หรือเครื่องมือสื่อสารอื่น ๆ  และมีบริการทางการแพทย์ไม่เพียงพอ ในการรับมือการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเกิดขึ้นหลายครั้ง ในช่วงปีที่ผ่านมา สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้ผ่อนผันเงื่อนไขการประกันตัวอย่างไม่เป็นทางการ โดยอนุญาตให้ผู้ถูกกักกันที่เป็นผู้อพยพและผู้ลี้ภัยหลายสิบคนจากศูนย์กักกันในกรุงเทพมหานครจ่ายเงินประกันตัวและออกนอกศูนย์กักกันได้ชั่วคราว

องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า บางครั้งทางการควบคุมผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กรวมกันในห้องขังของสถานีตำรวจเพื่อรอคำสั่งฟ้องหรือดำเนินการตามขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง โดยเฉพาะในสถานีตำรวจขนาดเล็กหรือที่อยู่ห่างไกล สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ระบุว่า จนถึงเดือนสิงหาคม มีบุคคลที่ถือสถานะผู้ลี้ภัยหรือผู้แสวงหาที่พักพิงของ UNHCR อย่างถูกต้องถูกกักขังอยู่ 21 คน ในช่วงปีที่ผ่านมา รายงานจำนวนมากระบุว่า เจ้าหน้าที่ศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองควบคุมตัวเยาวชนอายุเกิน 14 ปีรวมกับผู้ใหญ่

ตามกฎหมาย ทางการสามารถกักกันบุคคลต่างด้าวที่ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายให้อยู่ในประเทศได้ รวมทั้งผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิง หรือผู้ที่ละเมิดกฎหมายว่าด้วยการเข้าเมือง ในศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเป็นเวลาหลายปีได้ เว้นแต่ว่าพวกเขาจะได้รับการประกันตัวหรือจ่ายค่าปรับและค่าเดินทางกลับประเทศของตนเอง ส่วนใหญ่แล้ว สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะแยกผู้เป็นแม่และลูกออกมาอยู่ในสถานกักกันที่มีพื้นที่กว้างกว่า แต่ยังคงจำกัดเสรีภาพในการเดินทางของพวกเขา เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมักควบคุมเยาวชนชายที่มีอายุมากรวมกับผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่แทนที่จะแยกไว้ในสถานที่ที่จัดไว้สำหรับครอบครัว องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า มีการร้องทุกข์โดยเฉพาะจากชาวมุสลิมในศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองว่ามีอาหารฮาลาลไม่เพียงพอ

การดำเนินการของเรือนจำ: ทางการอนุญาตให้นักโทษหรือผู้แทนสามารถยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินได้ แต่ไม่สามารถยื่นคำร้องต่อฝ่ายตุลาการได้โดยตรง กฎหมายอนุญาตให้เจ้าหน้าที่เรือนจำตรวจสอบข้อความคำร้องเรียนและคำร้องทุกข์ต่าง ๆ ก่อนส่งเอกสารดังกล่าวไปยังองค์กรภายนอก ผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถดำเนินการพิจารณาและตรวจสอบคำร้องเรียนและคำร้องทุกข์ที่ได้รับจากนักโทษและให้คำแนะนำแก่กรมราชทัณฑ์ แต่ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจดำเนินการในนามของนักโทษ และไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในคดี ยกเว้นแต่จะได้รับคำร้องเรียนอย่างเป็นทางการ ไม่มีกลไกเกี่ยวกับการร้องเรียนและการควบคุมดูแลสำหรับผู้ถูกกักกันในศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

การตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ: รัฐบาลอำนวยความสะดวกให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เข้าเยี่ยมสังเกตการณ์เรือนจำได้ รวมถึงการเข้าเยี่ยมนักโทษโดยไม่ต้องมีบุคคลที่สามอยู่ด้วย และสามารถเข้าเยี่ยมได้อีกหลายครั้ง กลุ่มสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ไม่มีการตรวจสอบระบบทัณฑสถาน รวมถึงเรือนจำทหาร เช่น เรือนจำในมณฑลทหารบกที่ 11 ในกรุงเทพมหานคร จากหน่วยงานภายนอกหรือระหว่างประเทศ

ผู้แทนขององค์กรระหว่างประเทศได้รับอนุญาตอย่างจำกัดในการเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังที่ศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศเพื่อให้บริการและดำเนินการโยกย้ายถิ่นฐาน ส่วนหนึ่งเนื่องจากข้อจำกัดเกี่ยวกับโรคโควิด-19 การเข้าถึงศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแต่ละแห่งแตกต่างกันไปในแต่ละจังหวัด

ง. การจับกุมหรือการกักกันตามอำเภอใจ

พระราชกำหนดฉุกเฉินในจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งให้อำนาจรัฐบาลในการควบคุมตัวบุคคลในสถานที่กักกันอย่างไม่เป็นทางการโดยไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหาได้นานสูงสุด 30 วัน ยังมีผลบังคับใช้อยู่ (ดูหมวดที่ 1.ช.)

บทบัญญัติในพระราชกำหนดฉุกเฉินในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทำให้ยากแก่การร้องขอต่อศาลเพื่อโต้แย้งการกักขัง พระราชกำหนดฉุกเฉินระบุว่า ผู้ถูกกักขังมีสิทธิที่จะมีทนายได้ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ไม่มีหลักประกันว่าผู้ถูกกักขังจะได้พบทนายหรือญาติพี่น้องทันที และไม่มีมาตรการที่โปร่งใสเพื่อป้องกันการทารุณผู้ถูกกักขัง นอกจากนี้ พระราชกำหนดฉุกเฉินระบุว่า เจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้พระราชกำหนดนี้ไม่ต้องรับโทษทางอาญา ทางแพ่ง และทางวินัย

นายกรัฐมนตรีประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกี่ยวกับโรคโควิด-19 ทั่วประเทศในเดือนมีนาคม 2563 ซึ่งมีการต่ออายุทุก ๆ เดือนนับจนถึงเดือนพฤศจิกายน ผู้วิจารณ์อ้างว่า พระราชกำหนดดังกล่าวถูกใช้เป็นข้ออ้างในการจับกุมผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล

ขั้นตอนการจับกุมและการปฏิบัติต่อบุคคลขณะถูกคุมขัง

กฎหมายกำหนดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารต้องได้รับหมายจากศาลก่อนเข้าทำการจับกุม และศาลมีแนวโน้มที่จะอนุมัติออกหมายจับตามที่ยื่นขอมาทั้งหมด อย่างไรก็ตาม กฎอัยการศึกยังคงมีผลบังคับใช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งอนุญาตให้คุมขังบุคคลได้นานสูงสุด 7 วันโดยไม่ต้องมีหมายจับ ทั้งนี้ กฎหมายกำหนดว่า เจ้าหน้าที่ต้องแจ้งข้อหาให้บุคคลที่ถูกจับกุมทราบทันทีที่เข้าจับกุม และต้องอนุญาตให้บุคคลผู้นั้นสามารถแจ้งผู้ใดผู้หนึ่งถึงเรื่องที่ตนถูกจับกุม

กฎหมายกำหนดให้ผู้ถูกคุมขังคดีอาญาทั้งในศาลพลเรือนและศาลทหารสามารถติดต่อทนายได้ แต่นักกฎหมายและกลุ่มสิทธิมนุษยชนกล่าวอ้างว่า บางครั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนผู้ถูกคุมขังโดยไม่ให้โอกาสติดต่อทนายความ

กฎหมายให้สิทธิแก่จำเลยในการขอประกันตัว และโดยทั่วไปแล้ว รัฐบาลก็เคารพในสิทธิดังกล่าว

การจับกุมตามอำเภอใจ: พระราชกำหนดฉุกเฉินในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้อำนาจทางการในการคุมขังบุคคลได้นานสูงสุด 30 วันโดยไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหา (ดูหมวดที่ 1.ช.)

ในเดือนมีนาคมและเมษายน นักเคลื่อนไหวหลายสิบคนถูกจับกุมและคุมขังเพื่อรอการพิจารณาคดีในศาลเป็นเวลาสูงสุดถึง 2 เดือนเนื่องจากเข้าร่วมการชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาล โดยบางคนถูกจับกุมในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นักเคลื่อนไหวเหล่านี้ได้รับการประกันตัวเมื่อเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน แต่มีบางคน ซึ่งรวมถึงนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” ถูกจับกุมอีกครั้งในเดือนสิงหาคม (ดูหมวดที่ 2.ข. “เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ” การจับกุมผู้นำการชุมนุมประท้วงในเดือนสิงหาคม)

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า เมื่อเดือนธันวาคม 2563 เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านพักของนักเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่รู้จักในนามว่า นัท พร้อมยึดโทรศัพท์มือถือและปฏิทินรูปเป็ดสีเหลือง ซึ่งเจ้าหน้าที่อ้างว่า มีภาพหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ หลังจากนั้น นักเคลื่อนไหวคนนี้ถูกนำตัวไปยังสถานีตำรวจแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครและถูกตั้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมนักเคลื่อนไหวคนนี้โดยไม่มีหมายศาลหรือไม่ได้แจ้งถึงสิทธิใด ๆ ของเขา ในชั้นแรก นายนัทถูกควบคุมตัวที่สถานีตำรวจหนองแขม โดยผู้กำกับการสถานีตำรวจปฏิเสธคำขอประกันตัวจากทนายความของผู้ต้องสงสัย เมื่อวันที่ 2 มกราคม นายนัทถูกส่งตัวไปคุมขังที่ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลได้ปล่อยตัวนายนัทหลังจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกลสองคนยื่นขอประกันตัว

การคุมขังเพื่อรอการพิจารณาคดี: ในกรณีปกติทั่วไป กฎหมายอนุญาตให้ตำรวจคุมขังผู้ต้องสงสัยคดีอาญาเพื่อสอบสวนคดีได้เป็นเวลา 48 ชั่วโมงหลังการจับกุม ทนายความรายงานว่า โดยส่วนใหญ่ ตำรวจส่งสำนวนคดีต่อศาลภายในระยะเวลา 48 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม พวกเขาแสดงความกังวลว่า มีการใช้กฎหมายที่บังคับใช้กับคดีความมั่นคงของประเทศหลายฉบับควบคู่กันไป ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ต้องสงสัยในคดีการก่อความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ถูกกักขังนานขึ้น กฎหมายอื่น ๆ อนุญาตให้เจ้าหน้าที่พลเรือนจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงยุติธรรม ดำเนินการกักขังบุคคลที่ต้องสงสัยว่าก่ออาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดโดยไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหาได้นานสูงสุด 3 วันก่อนส่งตัวให้กับตำรวจ

กฎหมายและระเบียบข้อบังคับกำหนดให้ความผิดที่มีโทษจำคุกสูงสุดน้อยกว่า 3 ปีอยู่ภายใต้อำนาจรับผิดชอบของศาลแขวง ซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินคดีแตกต่างออกไปและกำหนดให้ตำรวจต้องส่งสำนวนคดีให้อัยการภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากการจับกุม

ก่อนการตั้งข้อกล่าวหาและการพิจารณาคดี เจ้าหน้าที่อาจคุมขังบุคคลได้นานสูงสุดถึง 84 วัน (สำหรับความผิดร้ายแรงที่สุด) โดยศาลจะพิจารณาทบทวนทุก 12 วัน หลังจากตั้งข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการและตลอดช่วงการพิจารณาคดี การคุมขังอาจกินเวลานานตั้งแต่ 3 เดือนไปจนถึง 2 ปีก่อนที่จะมีการตัดสินคดี และอาจนานถึง 6 ปีกว่าศาลฎีกาจะพิจารณาฎีกา ทั้งนี้ ระยะเวลาดังกล่าวขึ้นอยู่กับการดำเนินการฟ้องร้องและความพร้อมในการสู้คดี จำนวนคดีที่ศาลรับผิดชอบ และลักษณะของหลักฐาน

ประมาณร้อยละ 17 ของผู้ต้องขังทั้งหมดเป็นผู้ต้องขังที่รอการพิจารณาคดี ผู้ต้องขังเหล่านี้ไม่ได้ถูกคุมขังแยกจากนักโทษทั่วไป บ่อยครั้ง รัฐบาลคุมขังผู้ต้องขังที่รอการพิจารณาคดีภายใต้พระราชกำหนดฉุกเฉินในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในค่ายทหารหรือสถานีตำรวจมากกว่าเรือนจำ

จ. การปฏิเสธการพิจารณาคดีอย่างเปิดเผยและเป็นธรรม

รัฐธรรมนูญกำหนดให้ฝ่ายตุลาการมีความเป็นอิสระ อย่างไรก็ดี ยังมีเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 อยู่ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ซึ่งให้อำนาจกับรัฐบาลในการแทรกแซงเพื่อป้องกันประเทศจากภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ “ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ” แม้ว่าโดยทั่วไปแล้ว รัฐบาลเคารพความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการ กลุ่มสิทธิมนุษยชนแสดงความกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลของรัฐบาลที่มีต่อกระบวนการตุลาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้กระบวนการตุลาการเพื่อลงโทษบุคคลที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล

ขั้นตอนการพิจารณาคดี

รัฐธรรมนูญให้สิทธิแก่บุคคลในการได้รับการพิจารณาพิพากษาคดีอย่างเปิดเผยและเป็นธรรม และโดยทั่วไปแล้ว ฝ่ายตุลาการที่มีความเป็นอิสระเป็นฝ่ายบังคับการให้สิทธินี้ตามกฎหมาย ยกเว้นในบางคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ ซึ่งรวมถึงคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

กฎหมายให้ถือว่าบุคคลเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ความผิดได้ การพิจารณาความผิดลหุโทษใช้ผู้พิพากษาคนเดียวตัดสิน ส่วนความผิดในคดีที่ร้ายแรงกว่านั้นใช้ผู้พิพากษา 2 คนหรือมากกว่า ส่วนใหญ่แล้ว การพิจารณาคดีจะเปิดเผยต่อสาธารณชน แต่ทั้งนี้ ศาลอาจสั่งให้มีการพิจารณาคดีโดยลับได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ ราชวงศ์ เด็ก หรือการล่วงละเมิดทางเพศ

จำเลยที่ถูกพิจารณาคดีในศาลอาญาปกติจะได้รับสิทธิตามกฎหมายหลายประการ ซึ่งรวมถึงการเลือกทนายด้วยตนเอง การรับทราบรายละเอียดข้อกล่าวหาอย่างรวดเร็ว การใช้ล่ามโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ หากจำเป็น สิทธิในการปรากฏตัวต่อศาล รวมถึงสิทธิที่จะมีเวลาและสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างเพียงพอในการเตรียมต่อสู้คดี นอกจากนี้ จำเลยยังมีสิทธิที่จะไม่ให้การหรือสารภาพผิด เผชิญหน้ากับพยาน นำเสนอพยาน และขออุทธรณ์ อย่างไรก็ตาม ทางการไม่ได้จัดหาทนายให้แก่จำเลยที่มีฐานะยากจนโดยใช้งบประมาณของรัฐเสมอไป และมีการกล่าวหาว่า ทางการไม่ได้ให้สิทธิทั้งหลายที่กล่าวมาข้างต้นแก่จำเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเล็ก ๆ หรือจังหวัดที่อยู่ห่างไกล

นักโทษและผู้ต้องขังทางการเมือง

เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นักเคลื่อนไหว 3 คน (นายอานนท์ นำภา นางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” และนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ “ไมค์ ระยอง”) ซึ่งปราศรัยเรียกร้องให้มีการปฏิรูปทางการเมือง มีเจตนาล้มล้างการปกครองและทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ กรมราชทัณฑ์รายงานว่า ตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนตุลาคม มีผู้รอการพิจารณาคดีหรือจำคุกภายใต้กฎหมายที่ห้ามวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ (ดูหมวดที่ 2.ก.) อย่างน้อย 74 ราย กลุ่มสิทธิมนุษยชนอ้างว่า บุคคลหลายรายถูกดำเนินคดีและตัดสินลงโทษในความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเนื่องจากเหตุผลทางการเมือง ในเดือนพฤศจิกายน องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า มีผู้ถูกตั้งข้อหาละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ 161 คนซึ่งรวมถึงผู้เยาว์ 8 คน โดยส่วนใหญ่เนื่องจากการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองทางออนไลน์และมีส่วนร่วมในการชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลระหว่างเดือนสิงหาคม 2563 ถึงเดือนกันยายนที่ผ่านมา

การแก้แค้นบุคคลซึ่งมีถิ่นที่อยู่นอกประเทศโดยมีเหตุจูงใจทางการเมือง

การสังหารนอกอาณาเขต การลักพาตัว การบังคับให้เดินทางกลับ หรือความรุนแรงหรือการข่มขู่ใช้ความรุนแรงอื่น ๆ : ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ไม่มีรายงานว่า ทางการไทยดำเนินการแก้แค้นนักเคลื่อนไหวและผู้วิจารณ์ที่อยู่นอกประเทศโดยมีเหตุจูงใจทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการบังคับให้สูญหายจากปีที่ผ่าน ๆ มายังคงไม่ได้รับการคลี่คลาย และองค์กรนอกภาครัฐกล่าวหาว่า ผู้เห็นต่างชาวไทยที่ลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศจำนวนอย่างน้อย 8 คนเป็นเหยื่อของการสูญหายในลักษณะดังกล่าวนับตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2557

ไม่มีความคืบหน้าเกี่ยวกับกรณีการสูญหายของนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักเคลื่อนไหว ซึ่งมีรายงานว่าถูกมือปืนสวมหน้ากากลักพาตัวไปเมื่อปี 2563 ที่ประเทศกัมพูชา

ขั้นตอนและการเยียวยาคดีความแพ่ง

กฎหมายเปิดโอกาสให้มีการฟ้องร้องต่อศาลและหน่วยงานฝ่ายปกครองเพื่อเรียกค่าเสียหายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือเพื่อให้ยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ และโดยทั่วไปแล้ว รัฐบาลเคารพสิทธิดังกล่าว อย่างไรก็ตาม พระราชกำหนดฉุกเฉินที่บังคับใช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้กำหนดไว้ชัดเจนว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่อาจถูกตรวจสอบโดยศาลปกครองหรือถูกดำเนินการทางแพ่งหรือทางอาญาได้ แต่ผู้เสียหายอาจเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากหน่วยงานรัฐได้

ฉ. การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ครอบครัว บ้านพัก หรือเอกสารโต้ตอบโดยพลการหรือมิชอบด้วยกฎหมาย

ฝ่ายความมั่นคงยังคงใช้อำนาจตามพระราชกำหนดฉุกเฉินที่บังคับใช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในการตรวจค้นโดยไม่มีหมายศาลอย่างเป็นปกติในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กฎหมายอื่นที่อนุญาตให้ดำเนินการค้นหาและยึดคอมพิวเตอร์และข้อมูลคอมพิวเตอร์ในคดีที่จำเลยถูกกล่าวหาว่านำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูล “ที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” “เป็นเท็จ” หรือ “บิดเบือน” ยังคงถูกใช้อย่างกว้างขวาง (ดูหมวดที่ 2.ก.) กฎหมายดังกล่าวให้อำนาจกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในการขอและบังคับให้มีการลบข้อมูลที่เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตได้

รัฐบาลตรวจสอบสื่อสังคมออนไลน์และการสื่อสารส่วนบุคคลโดยมีการกำกับดูแลที่จำกัด หน่วยงานรัฐบาลใช้เทคโนโลยีเพื่อสอดส่องติดตาม รวมทั้งใช้ซอฟต์แวร์ตรวจสอบคอมพิวเตอร์ซึ่งนำเข้ามาจากต่างประเทศ ตลอดจนใบอนุญาตเพื่อนำเข้าอุปกรณ์ดักจับการสื่อสารทางไกล การสอดส่องโดยรัฐบาลขาดกลไกการตรวจสอบและความโปร่งใส บทบัญญัติบางข้อไม่ให้ความคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูลซึ่งตามจริงแล้วกำหนดไว้ในกฎหมาย อีกทั้งไม่ปกป้องความเป็นส่วนตัวของบุคคล และให้อำนาจอย่างมากแก่รัฐบาลในการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวโดยปราศจากการพิจารณาทบทวนโดยศาลหรือการควบคุมดูแลในรูปแบบอื่น ๆ

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการรับมือการระบาดของโรคโควิด-19 ด้วยการเปิดตัวแอปพลิเคชันสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ซึ่งติดตามและตรวจสอบบุคคลที่เดินทางกลับประเทศไทยจากประเทศที่มีความเสี่ยงสูง แอปนี้กำหนดให้ใส่ข้อมูลต่าง ๆ เช่น ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และหมายเลขหนังสือเดินทาง และผู้เดินทางมาจากต่างประเทศทุกคนต้องดาวน์โหลดแอปดังกล่าวมาใช้งาน

มีรายงานจำนวนมากระบุว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงคุกคามพลเมืองที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างเปิดเผย รวมทั้งไปพบหรือสอดส่องที่บ้านหรือสถานที่ทำงานของบุคคลนั้น เมื่อเดือนมีนาคม นายทิวากร วิถีตน ถูกจับข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและยุยงปลุกปั่น รวมถึงละเมิดกฎหมายว่าด้วยอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์จากข้อความที่เขาโพสต์ในเฟซบุ๊กเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ในปี 2563 เขาถูกจับหลังจากโพสต์รูปภาพตนเองสวมเสื้อยืดที่มีข้อความวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์

มูลนิธิผสานวัฒนธรรมออกรายงานในปี 2563 เกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ทหารบังคับเก็บสารพันธุกรรม (DNA) จากชายชาวมุสลิมในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ผู้วิจารณ์กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการเลือกปฏิบัติ

ช. การใช้อำนาจในทางมิชอบในการจัดการปัญหาความขัดแย้ง

ยังคงเกิดความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมเชื้อสายมลายู การโจมตีโดยผู้ต้องสงสัยว่าก่อความไม่สงบและการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่เกิดขึ้นเป็นประจำได้เพิ่มความตึงเครียดระหว่างชุมชนชาวมุสลิมเชื้อสายมลายูและชาวไทยพุทธในพื้นที่

พระราชกำหนดฉุกเฉินที่มีผลบังคับใช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งคือ ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส (โดยมี 7 อำเภอได้รับการยกเว้น) ให้อำนาจอย่างมีนัยสำคัญแก่เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือนบางส่วนในการจำกัดสิทธิพื้นฐานบางประการ ตลอดจนมอบหมายอำนาจด้านการรักษาความมั่นคงภายในบางประการแก่กองทัพ พระราชกำหนดฉุกเฉินยังคุ้มครองเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงให้ไม่ต้องถูกดำเนินคดี นอกจากนี้ กฎอัยการศึกที่ประกาศใช้ในปี 2549 ซึ่งยังมีผลบังคับใช้อยู่นั้นให้อำนาจอย่างมีนัยสำคัญแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้

การสังหาร: ไม่มีรายงานว่า กองกำลังของรัฐบาลกระทำการวิสามัญฆาตกรรมบุคคลที่ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบ ซึ่งต่างจากปีที่ผ่าน ๆ มา ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ ซึ่งเป็นองค์กรนอกภาครัฐ ระบุข้อมูล ณ เดือนกรกฎาคมว่า กองกำลังรักษาความมั่นคงดำเนินการตรวจค้น 72 ครั้ง ส่งผลให้มีผู้ต้องสงสัยว่าก่อความไม่สงบเสียชีวิต 8 ราย เจ้าหน้าที่รัฐยืนกรานว่า ผู้ต้องสงสัยในแต่ละคดีขัดขืนการจับกุม จึงมีความจำเป็นต้องใช้กำลังรุนแรงจนถึงแก่ความตาย ซึ่งครอบครัวของผู้ต้องสงสัยและกลุ่มสิทธิมนุษยชนออกมาโต้แย้งประเด็นข้ออ้างดังกล่าว

ข้อมูลของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ระบุว่า จนถึงเดือนตุลาคม มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น 388 ครั้ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 93 รายและได้รับบาดเจ็บ 151 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับปี 2563 เช่นเดียวกันกับปีที่ผ่าน ๆ มา กลุ่มผู้ต้องสงสัยก่อความไม่สงบมักมุ่งเป้าโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งรวมถึงข้าราชการอำเภอและเทศบาล ทหาร และตำรวจ โดยใช้ระเบิดและการซุ่มยิง

เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม หน่วยปฏิบัติการร่วมทหาร-ตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านหลังหนึ่งในอำเภอกรงปินัง จังหวัดยะลา หลังได้รับรายงานว่า มีกลุ่มผู้ต้องสงสัยก่อความไม่สงบหลบซ่อนอยู่ที่บ้านหลังนั้น ในระหว่างการตรวจค้น ผู้ต้องสงสัย 2 รายและทหารพราน 1 รายถูกสังหาร ผู้ต้องสงสัยอีกคนหนึ่งเข้ามอบตัวกับทางการ เจ้าหน้าที่ทางการเชื่อว่า กลุ่มนี้มีส่วนพัวพันกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 เมษายน ในอำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ซึ่งมีชาวพุทธครอบครัวหนึ่งเสียชีวิต 3 คน รวมถึงเหตุการณ์ซุ่มยิงขบวนรถไฟเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ในจังหวัดนราธิวาส

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม หน่วยปฏิบัติการร่วมทหาร-ตำรวจเข้าตรวจค้นสถานพักตากอากาศแห่งหนึ่งในอำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี หลังได้รับรายงานว่า มีกลุ่มผู้ต้องสงสัยก่อความไม่สงบหลบซ่อนอยู่ที่นั่น การปะทะที่เกิดขึ้นระหว่างการตรวจค้นเป็นเหตุให้ผู้ต้องสงสัย 2 คนเสียชีวิต และเจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 นายได้รับบาดเจ็บ ผู้ต้องสงสัยทั้งสองคนมีหมายจับในข้อกล่าวหามีส่วนร่วมในเหตุการณ์ความรุนแรงหลายครั้ง อีกทั้งเจ้าหน้าที่ทางการยังได้ตรวจยึดอาวุธปืนพกสั้น 2 กระบอกและระเบิดเอ็ม 67 อีก 1 ลูก

เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม หน่วยปฏิบัติการร่วมทหาร-ตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านหลังหนึ่งในจังหวัดปัตตานี หลังได้รับรายงานว่ามีกลุ่มผู้ต้องสงสัยก่อความไม่สงบหลบซ่อนอยู่ที่นั่น เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง 3 นายได้รับบาดเจ็บระหว่างเข้าตรวจค้น ส่วนผู้ต้องสงสัยสามารถหลบหนีไปได้ หลังการติดตามค้นหาเป็นเวลา 6 วัน เกิดการปะทะขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ส่งผลให้ผู้ต้องสงสัย 2 คนเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารระบุว่า ทั้งสองรายที่เสียชีวิตในการปะทะเป็นผู้ต้องสงสัยก่อความไม่สงบซึ่งมีหมายจับในข้อหามีส่วนร่วมในเหตุการณ์ที่ผ่านมาหลายครั้ง

อาสาสมัครป้องกันดินแดนที่เป็นพลเรือนบางส่วนได้รับการอบรมพื้นฐานและรับแจกอาวุธจากฝ่ายความมั่นคงของรัฐ องค์กรสิทธิมนุษยชนยังคงแสดงความกังวลว่า อาสาสมัครป้องกันดินแดนและพลเรือนอื่น ๆ จะลงโทษบุคคลโดยพลการ

เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม นายสมศักดิ์ อ่อนชื่นจิตร ทนายความและนักเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิที่ดิน ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตภายในสวนยางพาราที่อำเภอวังวิเศษ จังหวัดตรัง ต่อมาเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ตำรวจจับผู้ต้องสงสัย 3 คน ซึ่งรวมถึงนายชรินทร์รัฐฐ์ ครุฑธิราช นายกเทศมนตรีตำบลวังวิเศษ ซึ่งภายหลังได้รับการประกันตัว เมื่อถึงเดือนกันยายน คดีนี้ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการของสำนักงานอัยการ

การทารุณกรรมทางกาย การลงโทษ และการทรมาน: ศูนย์ทนายความมุสลิมซึ่งเป็นองค์กรนอกภาครัฐในท้องถิ่น ได้รับการร้องเรียนจากผู้ต้องสงสัยก่อความไม่สงบรายหนึ่งว่า ถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทรมานร่างกายในขณะถูกคุมขัง องค์กรเดียวกันนี้ระบุว่า การหาข้อเท็จจริงมาสนับสนุนการกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่รัฐในการสืบสวนหาข้อเท็จจริงและให้เข้าพบผู้ต้องหาในสถานที่ควบคุมตัว กลุ่มด้วยใจ ซึ่งเป็นองค์กรนอกภาครัฐ ระบุว่า จนถึงเดือนกรกฎาคม มีผู้ถูกคุมขังอย่างน้อย 86 คน องค์กรสิทธิมนุษยชนยืนยันว่า การควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยยังคงเป็นการกระทำตามอำเภอใจและเกินกว่าเหตุ องค์กรเหล่านั้นยังวิจารณ์สภาพแออัดของสถานที่ควบคุมตัวอีกด้วย

กฎอัยการศึกที่บังคับใช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้อนุญาตให้ควบคุมตัวบุคคลได้สูงสุด 7 วันโดยไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหาและไม่ต้องได้รับอนุมัติจากศาลหรือหน่วยงานของรัฐ พระราชกำหนดฉุกเฉินที่มีผลบังคับใช้ในพื้นที่เดียวกันอนุญาตให้เจ้าหน้าที่รัฐจับกุมและคุมขังผู้ต้องสงสัยเพิ่มได้นานสูงสุด 30 วันโดยไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหา หลังจากครบกำหนดระยะเวลานี้แล้ว เจ้าหน้าที่รัฐจะต้องเริ่มคุมขังผู้ต้องสงสัยได้ภายใต้กฎหมายอาญาปกติ ซึ่งจะแตกต่างจากการคุมขังภายใต้กฎอัยการศึกตรงที่ต้องให้ศาลอนุมัติ แต่ศาลไม่ได้ใช้อำนาจในการพิจารณาการคุมขังเสมอไป

ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนใต้รายงานว่า จนถึงเดือนสิงหาคม ทางการจับกุมตัวบุคคล 49 รายตามหมายศาลภายใต้พระราชกำหนดฉุกเฉิน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ในจำนวนนี้ มีผู้ได้รับการปล่อยตัว 18 ราย ถูกดำเนินคดี 31 ราย รัฐบาลมักแจกอาวุธแก่อาสาสมัครพลเรือนป้องกันดินแดนทั้งที่เป็นชาวไทยพุทธและชาวมุสลิมเชื้อสายมลายู รวมทั้งจัดกำลังป้องกันโรงเรียนและวัดพุทธ ตลอดจนจัดทหารคุ้มกันพระสงฆ์และครู

ข้าราชการทหารที่ออกปฏิบัติงานสนับสนุนการต่อต้านการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังได้รับการอบรมพิเศษเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งรวมถึงการอบรมรับมือกับเหตุการณ์เฉพาะที่อาจเกิดขึ้นได้โดยละเอียด

หมวดที่ 2. การเคารพสิทธิเสรีภาพของพลเมือง 

ก. เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งรวมถึงเสรีภาพของสื่อมวลชนและสื่ออื่น ๆ

รัฐธรรมนูญให้เสรีภาพประชาชนในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งรวมถึงเสรีภาพของสื่อมวลชนและสื่ออื่น ๆ อย่างไรก็ตาม สิทธินี้ถูกจำกัดโดยข้อกฎหมายและการดำเนินงานของรัฐบาล เช่น รัฐบาลกำหนดข้อจำกัดด้านกฎหมายเกี่ยวกับการวิจารณ์รัฐบาลและสถาบันพระมหากษัตริย์ ช่วยเหลือองค์กรสื่อที่สนับสนุนรัฐบาลในการดำเนินตามข้อบังคับต่าง ๆ ข่มขู่ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ตรวจสอบสื่อและอินเทอร์เน็ต ตลอดจนปิดกั้นเว็บไซต์

เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น: กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกำหนดว่า การหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นความผิดทางอาญาที่มีโทษจำคุกต่ำสุด 3 ปีและสูงสุด 15 ปีต่อความผิด 1 กระทง กฎหมายอนุญาตให้ประชาชนร้องเรียนพฤติกรรมหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้หากพบเห็นผู้ใดกระทำการดังกล่าว

จนถึงเดือนสิงหาคม มีผู้ถูกฟ้องร้องฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจำนวน 102 คน โดยผู้ที่ถูกฟ้องนั้นมักจะถูกฟ้องข้อหาอื่นประกอบด้วย เช่น ยุยงปลุกปั่นและละเมิดพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกี่ยวกับโรคโควิด-19

เมื่อวันที่ 19 มกราคม ศาลอาญากรุงเทพพิพากษาโทษจำคุก 43 ปีแก่อดีตข้าราชการพลเรือนคนหนึ่ง ฐานกระทำผิดตามกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพรวม 29 กรรมจากการนำคลิปเสียงที่นักเคลื่อนไหวคนหนึ่งทำขึ้นเข้าสู่ระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งคลิปเสียงดังกล่าวมีข้อความวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ตำรวจตั้งข้อกล่าวหานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นักการเมืองพรรคฝ่ายค้าน ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หลังจากที่นายธนาธรถ่ายทอดสดผ่านเฟซบุ๊กกล่าวหารัฐบาลว่าเอื้อประโยชน์แก่บริษัทที่สำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นผู้ถือหุ้นในการผลิตวัคซีนโควิด-19 ของประเทศ ศาลมีคำสั่งยกคำร้องของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมที่ขอให้ศาลสั่งระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งคลิปเหตุการณ์ออนไลน์ดังกล่าว โดยในคำพิพากษานั้น ศาลวินิจฉัยว่า ข้อความในคลิปวิจารณ์แผนการบริหารวัคซีนโควิด-19 ของรัฐบาล แต่มิได้วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์

เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของสื่อมวลชนและสื่ออื่น ๆ รวมทั้งสื่อออนไลน์: สื่ออิสระปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่องแต่ต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายประการในการทำหน้าที่อย่างเสรี

รัฐบาลเป็นเจ้าของคลื่นความถี่ทั้งหมดที่ใช้ในการแพร่ภาพกระจายเสียงและให้ผู้ดำเนินการสื่อเอกชนเช่า ซึ่งทำให้รัฐบาลมีอิทธิพลทางอ้อมกับสื่อได้ บริษัทสื่อตรวจสอบเนื้อหาของตนเองก่อนเผยแพร่เป็นบางครั้ง เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมประกาศว่า จะกำหนดให้ผู้ให้บริการและแพลตฟอร์มสื่อสังคม เช่น คลับเฮาส์ (Clubhouse) และเทเลแกรม (Telegram) เก็บรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้เพื่อให้รัฐบาลเข้าถึงได้หากมีการร้องขอ ได้แก่ อัตลักษณ์ของผู้ใช้ กิจกรรมของผู้ใช้ บันทึกความพยายามเข้าถึงระบบต่าง ๆ ไฟล์ที่เข้าถึง และบันทึกการทำธุรกรรม

การตรวจสอบสื่อก่อนเผยแพร่หรือการจำกัดเนื้อหา: กฎหมายให้อำนาจแก่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในการระงับชั่วคราวหรือเพิกถอนใบอนุญาตของผู้ดำเนินกิจการวิทยุหรือโทรทัศน์ที่เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ หรือวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลโดยใช่เหตุ จนถึงเดือนพฤศจิกายน ไม่มีข้อมูลว่าทางการได้เพิกถอนใบอนุญาตใด ๆ ทั้งนี้ ทางการเฝ้าตรวจสอบข้อมูลที่สื่อมวลชนทุกแขนงนำเสนอ รวมทั้งสื่อต่างชาติด้วย สื่อในประเทศมีแนวโน้มที่จะตรวจสอบข้อมูลของตนเองก่อนเผยแพร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อหาที่อาจวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์หรือสมาชิกราชวงศ์

พระราชกำหนดฉุกเฉินในจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งเป็นพื้นที่ประสบปัญหาความรุนแรงให้อำนาจกับรัฐบาลในการ “ห้ามการตีพิมพ์และเผยแพร่ข่าวและข้อมูลที่อาจสร้างความตื่นตระหนก หรือมีเจตนาที่จะบิดเบือนข้อมูล” และยังให้อำนาจในการตรวจกรองข่าวที่พิจารณาว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติอีกด้วย

กฎหมายว่าด้วยการหมิ่นประมาท: นอกเหนือจากกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้ว ความผิดฐานหมิ่นประมาทเป็นความผิดทางอาญา มีโทษปรับและจำคุก 2 ปี บุคคลในแวดวงทหารและนักธุรกิจฟ้องร้องนักเคลื่อนไหวทางการเมืองและสิ่งแวดล้อม นักปกป้องสิทธิมนุษยชน สื่อมวลชน และนักการเมือง ฐานหมิ่นประมาททางอาญาและโฆษณาหมิ่นประมาท

เมื่อเดือนกรกฎาคม องค์การเภสัชกรรมแจ้งความเอาผิดข้อหาหมิ่นประมาทกับนายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง และนายลอย ชุนพงษ์ทอง เนื่องจากวิจารณ์การจัดซื้อจัดหาวัคซีนโมเดอร์นาของรัฐบาล องค์การเภสัชกรรมกล่าวหาว่า นายแพทย์บุญและนายลอยเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จโดยอ้างว่า องค์การเภสัชกรรมในฐานะผู้ประสานงานจัดซื้อจัดหาวัคซีนโมเดอร์นาให้กับโรงพยาบาลเอกชน ดำเนินภารกิจนี้โดยมุ่งแสวงหาผลกำไร

เมื่อเดือนสิงหาคม ศาลอาญากรุงเทพใต้รับฟ้องคดีจากปลายปี 2562 ที่บริษัทธรรมเกษตร ซึ่งประกอบธุรกิจฟาร์มเลี้ยงไก่ กล่าวหาว่านางอังคณา นีละไพจิตร ผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชน กระทำการหมิ่นประมาททำให้บริษัทเสียชื่อเสียงด้วยการเผยแพร่ข้อความในสื่อสังคมออนไลน์จำนวน 2 ข้อความในปี 2561 และ 2562 เพื่อให้กำลังใจผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชนคนอื่น ๆ ที่ถูกบริษัทธรรมเกษตรฟ้องร้อง เมื่อเดือนมีนาคม องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า ตั้งแต่ปี 2559 บริษัทธรรมเกษตรได้ยื่นฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาททางแพ่งและทางอาญาต่อผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชน ผู้สื่อข่าว และอดีตพนักงานรวม 23 คน (ดูหมวดที่ 7)

ความมั่นคงของชาติ: คำสั่ง คสช. หลายฉบับยังคงให้อำนาจรัฐในการจำกัดการเผยแพร่เนื้อหาที่พิจารณาว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ

เสรีภาพทางอินเทอร์เน็ต

รัฐบาลยังคงจำกัดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและลงโทษผู้ที่วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์หรือเผยแพร่ข้อมูลที่พิจารณาว่าเป็นเท็จเกี่ยวกับการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 นอกจากนี้ รัฐบาลยังเฝ้าสังเกตการณ์สื่อสังคมออนไลน์และการสื่อสารส่วนบุคคลเพื่อตรวจหาเนื้อหาที่เห็นว่าไม่ถูกต้องและเป็น “ข่าวปลอม” มีรายงานว่ารัฐบาลเฝ้าสังเกตการสื่อสารออนไลน์ส่วนบุคคลโดยไม่ได้มีอำนาจตามกฎหมายที่เหมาะสม

กฎหมายอนุญาตให้ทางการลงโทษจำคุกสูงสุด 5 ปีและปรับเงินจำนวนมากต่อผู้กระทำผิดฐานลงข้อมูลเท็จทางอินเทอร์เน็ตที่เป็นการคุกคามความมั่นคงของรัฐ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชน หรือทำให้บุคคลอื่นได้รับความเดือดร้อน ซึ่งอิงจากคำนิยามที่คลุมเครือ นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเก็บบันทึกข้อมูลผู้ใช้งานทุกรายเป็นเวลา 90 วันเพื่อใช้ในกรณีที่ทางการต้องการข้อมูลเหล่านั้น และหากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายใดเห็นชอบหรือจงใจสนับสนุนการเผยแพร่ข้อความผิดกฎหมายก็จะถูกลงโทษด้วย ทั้งนี้ กฎหมายกำหนดให้ทางการต้องขอคำสั่งศาลในการปิดกั้นเว็บไซต์ แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับนี้เสมอไป

แม้ว่าโดยทั่วไปแล้ว บุคคลและกลุ่มบุคคลสามารถแสดงความคิดเห็นได้โดยสันติทางอินเทอร์เน็ต แต่ยังคงมีข้อจำกัดด้านเนื้อหาหลายประการ ภาคประชาสังคมรายงานว่า รัฐบาลใช้การดำเนินคดีหรือการข่มขู่ว่าจะดำเนินคดีเป็นเครื่องมือในการปราบปรามการแสดงความคิดเห็นทางออนไลน์ ทางการตั้งเป้าดำเนินคดีกับบุคคลที่แสดงความคิดเห็นทางสื่อสังคมออนไลน์ในหลายหัวข้อ ตั้งแต่ข้อมูลใหม่ ๆ ของโรคโควิด-19 ไปจนถึงการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ การวิจารณ์การปฏิบัติงานของรัฐบาล การรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์อื้อฉาวของรัฐบาล และการเตือนเกี่ยวกับการสอดแนมของรัฐบาล

รัฐบาลดำเนินการสอดส่องอย่างใกล้ชิดและปิดกั้นเว็บไซต์ ตลอดจนโพสต์และบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ หนังสือพิมพ์จำกัดการเข้าถึงพื้นที่แสดงความคิดเห็นจากประชาชนเพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการถูกฟ้องข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือหมิ่นประมาท นอกจากนี้ กสทช. ยังชักจูงผู้ให้บริการเนื้อหาทางอินเทอร์เน็ตและผู้ให้บริการทางอินเทอร์เน็ตต่างชาติลบหรือตรวจสอบเนื้อหาของตนที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่มีการเผยแพร่ในประเทศ

เมื่อเดือนเมษายน เว็บไซต์ Change.org ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับการระดมรายชื่อเรียกร้อง กลับมาเปิดใช้ได้อีกครั้งหลังจากถูกระงับไปเป็นเวลา 6 เดือน เนื่องจากเป็นพื้นที่บนอินเทอร์เน็ตให้การรณรงค์ซึ่งเรียกร้องให้ทางการเยอรมนีประกาศให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็น “บุคคลที่ไม่พึงปรารถนา” มีผู้ลงนามสนับสนุนการรณรงค์ครั้งนี้ 130,000 ราย ก่อนที่เว็บไซต์จะถูกปิดกั้นในปี 2563

เมื่อเดือนกรกฎาคม นักศึกษาบัณฑิตวิทยาลัยรายหนึ่งถูกจับกุมเนื่องจากเข้าไปแก้ไขเพิ่มเติมข้อมูลของนายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก บนเว็บไซต์วิกิพีเดีย (Wikipedia) ว่า “เป็นเซลส์ขาย Sinovac ให้กับรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นักศึกษารายนี้ถูกฟ้องข้อหาหมิ่นประมาททางอาญาและกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

เสรีภาพทางวิชาการและการแสดงทางวัฒนธรรม

มหาวิทยาลัย กลุ่มประชาสังคม และสื่อมวลชนรายงานว่า มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเข้ามาในมหาวิทยาลัยเป็นประจำเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมหรือการรณรงค์ทางการเมืองของนิสิตนักศึกษา มีรายงานว่า ทางการจับกุมนิสิตนักศึกษาจากการใช้เสรีภาพในการพูดและการแสดงความคิดเห็น แม้ว่าการจับกุมเหล่านี้มักเกิดขึ้นนอกบริเวณมหาวิทยาลัย และมีจำนวนน้อยที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ มหาวิทยาลัยรายงานว่า ยังคงมีการตรวจสอบเนื้อหาของตนเองก่อนเผยแพร่ นักวิชาการหลายคนรายงานถึงความกังวลว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงจะสอดส่องการสอนของตน เนื่องจากมีการเรียนการสอนทางอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น จึงนำไปสู่การตรวจสอบเนื้อหาของตนเองก่อนเผยแพร่มากยิ่งขึ้น เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ช่วงเกิดเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงและการเดินขบวนภายในประเทศต่อต้านการรัฐประหารในเมียนมา สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียแจ้งเตือนว่า นักศึกษาชาวต่างชาติที่เข้าร่วมการชุมนุมประท้วงใด ๆ จะถูกพิจารณาเพิกถอนวีซ่าและถูกขึ้นบัญชีดำของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง รัฐบาลปฏิเสธว่ามีส่วนร่วมใด ๆ ในการดำเนินการดังกล่าว

เมื่อเดือนสิงหาคม โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ซึ่งเป็นองค์กรนอกภาครัฐ รายงานกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้บริหารโรงเรียนคุกคามนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาและนักศึกษามหาวิทยาลัยในสถานศึกษาทั่วประเทศ 79 คดี

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม รองประธานสำนักบริหารกิจการนิสิตส่งหนังสือขู่ดำเนินการทางวินัยกับ นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นายกองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อบจ.) หลังจากที่เขาเชิญนางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” และนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” นักเคลื่อนไหวที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาบรรยายเรื่องเสรีภาพในการแสดงออกเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ต่อมาภายหลัง สำนักบริหารกิจการนิสิตของมหาวิทยาลัยประกาศประณามคู่มือนิสิตใหม่ของ อบจ. ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเสรีภาพในการพูดและประเด็นทางสังคมอื่น ๆ

โดยทั่วไป มหาวิทยาลัยใหญ่ ๆ เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อนุญาตให้ใช้พื้นที่ของมหาวิทยาลัยจัดการชุมนุมประท้วงตราบเท่าที่นิสิตนักศึกษาได้รับอนุญาตก่อนดำเนินการ อย่างไรก็ตาม โรงเรียนมัธยมศึกษาและมหาวิทยาลัยหลายแห่งประกาศชัดแจ้งว่า ห้ามการชุมนุมเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์

ข. เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและการสมาคม

ประเทศไทยมีการชุมนุมประท้วงรัฐบาลขนาดใหญ่หลายครั้งตลอดปี รัฐบาลจับกุมและตั้งข้อหากับผู้ชุมนุมประท้วงหลายร้อยคนภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกี่ยวกับโรคโควิด-19 กฎหมายว่าด้วยการยุยงปลุกปั่นและการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ รวมถึงกฎหมายอื่น ๆ ผู้วิจารณ์กล่าวหาว่า การจับกุมเหล่านี้ถือเป็นการจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและการสมาคม

เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ

รัฐธรรมนูญให้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งต้องเป็นไปตามข้อจำกัดของบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่บังคับใช้เพื่อ “คุ้มครองประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น” ม็อบดาต้าไทยแลนด์ ซึ่งเป็นองค์กรนอกภาครัฐ รายงานว่า ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2563 ถึงเดือนกันยายน มีการประท้วงที่นำโดยนักเรียนนักศึกษา 1,852 ครั้งทั่วประเทศ ในเดือนกันยายน ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนบันทึกว่า มีบุคคลถูกจับกุมและดำเนินคดีฐานเข้าร่วมการชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลระหว่างเดือนกรกฎาคม 2563 ถึงเดือนสิงหาคมรวม 1,161 คน ซึ่งรวมถึงบุคคลอายุต่ำกว่า 18 ปี 143 คน โดยข้อหาส่วนใหญ่ คือ ละเมิดพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกี่ยวกับโรคโควิด-19 (893 คน) ฝ่าฝืนกฎหมายโดยร่วมกิจกรรมรวมกลุ่มเกินกว่า 10 คน (320 คน) และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (124 คน)

รัฐบาลยังคงดำเนินคดีกับนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ ที่ประท้วงโดยสงบ

ทางการคุมขังผู้นำการชุมนุมประท้วงที่มีชื่อเสียงหลายคนที่ถูกตั้งข้อหาหมิ่นประมาท ยุยงปลุกปั่น และความผิดทางอาญาอื่น ๆ ระหว่างรอการพิจารณาคดี ในเดือนพฤษภาคม หลังจากอดอาหารประท้วงเป็นเวลา 2 เดือน นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” นักศึกษาผู้นำการชุมนุมประท้วง ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจากการอุทธรณ์ครั้งที่ 10 หลังจากตกลงยินยอมสวมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว จะไม่เข้าร่วมการชุมนุมประท้วงที่วิพากษ์วิจารณ์พระมหากษัตริย์หรือที่อาจปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรง และจะไม่เดินทางออกนอกประเทศ ท่ามกลางการเรียกร้องให้ลดจำนวนผู้ถูกคุมขังในเรือนจำเนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19 ผู้ชุมนุมประท้วงประมาณ 17 คนจากทั้งหมด 26 คนที่ถูกคุมขังเพื่อรอการพิจารณาคดีได้รับการปล่อยตัวในช่วงระหว่างเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม หลังจากยอมรับเงื่อนไขที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งในจำนวนนี้มี 6 คนถูกคุมขังด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

นายเพนกวิน นายอานนท์ นำภา และอีกหลายคนถูกคุมขังอีกครั้งเมื่อต้นเดือนสิงหาคม ด้วยข้อหา “เป็นผู้นำการมั่วสุมผิดกฎหมายตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป” ตลอดจนละเมิดพระราชกำหนดฉุกเฉินและพระราชบัญญัติโรคติดต่อ เมื่อวันที่ 15 กันยายน ผู้นำชุมนุมการประท้วงที่ถูกจับ 4 คนได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวโดยมีเงื่อนไขตามคำสั่งศาลที่กำหนดให้ต้องสวมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว นายเพนกวินถูกควบคุมตัวอีกครั้งทันทีเมื่อศาลอาญายกเลิกการประกันตัว โดยมีสาเหตุมาจากอีกคดีหนึ่ง เมื่อถึงเดือนกันยายน นายอานนท์ยังคงถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำหลังจากที่คำร้องขอประกันตัวหลายครั้งถูกปฏิเสธ

มีการปะทะรุนแรงหลายครั้งระหว่างผู้ชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลกับทางการ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ผู้ชุมนุมประท้วง เคลื่อนย้ายเครื่องกีดขวางใกล้ค่ายพักทหารบกในกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีบ้านพักของนายกรัฐมนตรีตั้งอยู่ภายในบริเวณนี้ด้วย นอกจากนี้ ผู้ประท้วงยังขว้างประทัด ขวดน้ำ และก้อนหินใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตอบโต้ด้วยการฉีดน้ำแรงดันสูง แก๊สน้ำตา และกระสุนยาง มีบุคคลได้รับบาดเจ็บ 80 คนในการปะทะครั้งนี้ ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ 33 นาย องค์กรนอกภาครัฐแห่งหนึ่งรายงานว่า ตำรวจจับกุมผู้ชุมนุมประท้วง 18 คน ด้วยข้อหาต่าง ๆ เช่น การละเมิดพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกี่ยวกับโรคโควิด-19 และกฎหมายเกี่ยวกับโรคติดต่อ

การชุมนุมประท้วงเมื่อเดือนมีนาคมใกล้พระบรมมหาราชวังในกรุงเทพมหานครส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บต้องนำส่งโรงพยาบาล 33 คน ถูกจับกุม 32 คน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้การฉีดน้ำแรงดันสูง แก๊สน้ำตา และกระสุนยาง หลังจากที่ผู้ประท้วงลากตู้คอนเทนเนอร์ที่ตั้งเป็นเครื่องกีดขวางออกจากบริเวณ กลุ่มผู้สื่อข่าวออกแถลงการณ์ร่วมแสดงข้อกังวลหลังจากที่ผู้สื่อข่าว 3 คนถูกยิงด้วยกระสุนยางระหว่างการชุมนุมประท้วงครั้งนี้ เมื่อเดือนสิงหาคม เยาวชนในเขตดินแดนของกรุงเทพมหานครปะทะกับตำรวจปราบจลาจลเกือบทุกคืน หลังการประท้วงเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ป้อมตำรวจ 2 แห่งถูกเผาและเจ้าหน้าที่ตำรวจ 9 นายได้รับบาดเจ็บ รวมถึงเจ้าหน้าที่นายหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลังจากถูกยิงด้วยสิ่งที่ทางการตำรวจบรรยายว่าเป็น “ปืนไทยประดิษฐ์” ตำรวจรายงานว่า ได้จับกุมบุคคล 48 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้เยาว์ 15 คน พร้อมกับยึดจักรยานยนต์ 122 คัน ผู้ชุมนุมประท้วงอายุ 15 ปีรายหนึ่งซึ่งถูกยิงระหว่างเหตุปะทะเมื่อวันที่ 16 สิงหาคมในบริเวณเดียวกันนี้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม โดยไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ยิง

หลังการปะทะเมื่อวันที่ 22 สิงหาคมในเขตดินแดง เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมบุคคล 42 คน ซึ่งรวมถึงผู้เยาว์ 19 คน พร้อมกับยึดปืนพก ระเบิด อาวุธอื่น ๆ และจักรยานยนต์ 20 คัน ผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชนวิจารณ์ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้วิธีการที่รุนแรงเกินไป พร้อมทั้งโพสต์คลิปวิดีโอที่ตำรวจตีผู้ชุมนุมประท้วงรายหนึ่งที่ศีรษะ ลากตัวผู้ชุมนุมประท้วงอีกรายพร้อมทั้งเตะศีรษะของเขา และยิงลูกกระสุนยางใส่ผู้ขับขี่จักรยานยนต์ในระยะใกล้

เสรีภาพในการสมาคม

รัฐธรรมนูญให้บุคคลมีสิทธิในการสมาคมโดยมีข้อจำกัดบางประการเพื่อ “คุ้มครองประโยชน์สาธารณะ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน”

กฎหมายห้ามมิให้จดทะเบียนพรรคการเมืองในชื่อเดียวกันหรือใช้สัญลักษณ์เดียวกันกับพรรคการเมืองที่ถูกยุบตามกฎหมาย

เมื่อปี 2563 ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน โดยวินิจฉัยว่า พรรครับเงินกู้ผิดกฎหมายจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค และห้ามคณะกรรมการบริหารพรรค รวมทั้งนายธนาธร มีส่วนร่วมทางการเมืองจนถึงปี 2573 (ดูหมวดที่ 3)

ค. เสรีภาพในการนับถือศาสนา

สามารถอ่าน รายงานว่าด้วยเสรีภาพในการนับถือศาสนานานาชาติ ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ที่ https://www.state.gov/international-religious-freedom-reports/

ง. เสรีภาพในการเดินทางและสิทธิที่จะออกจากประเทศ

รัฐธรรมนูญให้เสรีภาพประชาชนในการเดินทางภายในประเทศ การเดินทางไปต่างประเทศ การโยกย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศ และการเดินทางกลับประเทศ รัฐบาลมีข้อยกเว้นบางกรณีโดยอ้างว่าเพื่อ “รักษาความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน การผังเมือง หรือเพื่อสวัสดิภาพของเยาวชน”

การเดินทางภายในประเทศ: รัฐบาลจำกัดเสรีภาพในการเดินทางภายในประเทศของชาวเขาและชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ที่ไม่มีสัญชาติไทยแต่ถือบัตรประจำตัวที่รัฐบาลออกให้ รวมถึงผู้ที่ลงทะเบียนไว้ว่าเป็นบุคคลไร้สัญชาติ ทางการห้ามผู้ถือบัตรเหล่านี้เดินทางออกนอกเขตจังหวัดที่อาศัยอยู่โดยไม่มีใบอนุญาตเดินทางจากนายอำเภอ ผู้ฝ่าฝืนจะถูกปรับหรือต้องโทษจำคุก 45-60 วัน ส่วนผู้ที่ไม่มีบัตรไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเลย องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ตำรวจตามจุดตรวจในประเทศมักเรียกเก็บสินบนเพื่อแลกกับการอนุญาตให้บุคคลไร้สัญชาติเดินทางจากจังหวัดหนึ่งไปยังอีกจังหวัดหนึ่ง

การเดินทางไปต่างประเทศ: ทางการกำหนดว่า บุคคลไร้สัญชาติอื่น ๆ ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งรวมถึงชาวไทใหญ่และชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ชาวเขาจำนวนหลายพันคน ต้องขออนุญาตจากปลัดกระทรวงมหาดไทยหากต้องการเดินทางไปต่างประเทศ

จ. สถานะและการปฏิบัติต่อผู้พลัดถิ่นในประเทศ

ไม่มีข้อมูล

ฉ. การคุ้มครองผู้ลี้ภัย

โดยทั่วไปแล้ว รัฐบาลให้ความร่วมมือกับ UNHCR องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) และองค์กรด้านมนุษยธรรมในการคุ้มครองและช่วยเหลือผู้ลี้ภัย ผู้แสวงหาที่พักพิง บุคคลไร้สัญชาติ และบุคคลในความห่วงใย (person of concern) อื่น ๆ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดจำนวนมากก็ตาม

การดูแลผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงของรัฐบาลยังคงมีลักษณะไม่สม่ำเสมอ และหลายครั้ง รัฐบาลไม่อนุญาตให้บุคคลที่หลบหนีการต่อสู้หรือความรุนแรงอื่น ๆ ในพม่าพำนักในประเทศไทย อย่างไรก็ดี หน่วยงานภาครัฐยังคงให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงจำนวนมาก และในหลายกรณีอื่น ๆ ก็ได้ให้ความคุ้มครองผู้ลี้ภัยเพื่อไม่ให้ถูกขับไล่หรือถูกส่งกลับประเทศ ผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงในเมืองที่ได้รับการรับรองสถานภาพจาก UNHCR รวมทั้งผู้ลี้ภัยชาวพม่าที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้วและอาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย 9 แห่งตามแนวชายแดนพม่า ได้รับอนุญาตให้โยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สาม

การเข้าถึงค่ายพักพิง: กฎหมายไม่มีการให้สถานะผู้แสวงหาที่พักพิงหรือผู้ลี้ภัย และรัฐบาลไม่มีระบบให้ความคุ้มครองทางกฎหมายแก่ผู้ลี้ภัย รัฐบาลยังดำเนินงานเพื่อเริ่มบังคับใช้กฎระเบียบ (ซึ่ง UNHCR และองค์กรนอกภาครัฐเรียกว่าเป็น “ระบบคัดกรองระดับประเทศ”) ที่อนุญาตให้บุคคลที่รัฐบาลถือว่าเป็นผู้ได้รับความคุ้มครองนั้นได้รับความคุ้มครองชั่วคราวจากการถูกส่งกลับประเทศ โดยร่วมหารือกับผู้สนับสนุนผู้ลี้ภัยในการดำเนินงานดังกล่าว

UNHCR ถูกจำกัดการให้ความคุ้มครองแก่ผู้ลี้ภัยบางประเภทซึ่งอาศัยอยู่นอกค่ายผู้ลี้ภัยของทางการ การอนุญาตให้ UNHCR เข้าพบผู้แสวงหาที่พักพิงที่ศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อดำเนินการสัมภาษณ์พิจารณาสถานภาพ รวมทั้งสอดส่องดูแลผู้แสวงหาที่พักพิงที่เพิ่งมาถึงนั้น มีความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเนื่องจากข้อจำกัดในการเยี่ยมเยียนศูนย์กักกันฯ เพื่อป้องกันโรคโควิด-19 นอกจากนี้ ทางการได้อ้างโรคโควิด-19 ในการตั้งข้อจำกัดกับประเทศที่รับผู้แสวงหาที่พักพิงไปตั้งหลักแหล่งในประเทศของตนในการดำเนินขั้นตอนต่าง ๆ ที่ศูนย์กักกัน รวมถึงจำกัดการดำเนินงานขององค์กรด้านมนุษยธรรมในการจัดบริการด้านสาธารณสุข อาหาร และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอื่น ๆ ด้วย มีรายงานว่า การเข้าถึงผู้แสวงหาที่พักพิงบางกลุ่มแตกต่างกันไปตามความพอใจของหัวหน้าศูนย์กักกันฯ แต่ละแห่ง ตลอดจนนโยบายของรัฐบาลกลางในการห้ามไม่ให้ UNHCR และองค์กรนอกภาครัฐเข้าถึงกลุ่มเปราะบางทางการเมืองบางกลุ่ม

รัฐบาลอนุญาตให้ UNHCR สอดส่องการคุ้มครองผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงชาวพม่าประมาณ 92,000 คนที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย 9 แห่งบริเวณชายแดนไทยที่ติดกับพม่าเป็นคราว ๆ แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา รัฐบาลห้ามไม่ให้ UNHCR เข้าถึงบุคคลเหล่านี้หลายครั้งเนื่องจากเกิดการระบาดของโรคโควิด-19

จนถึงเดือนกันยายน รัฐบาลได้อำนวยความสะดวกให้ชาวพม่าเกือบ 900 คนย้ายจากค่ายลี้ภัยไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สามหรือได้รับการอุปถัมภ์จากภาคเอกชนไปตั้งถิ่นฐานในหลายประเทศ ทั้งนี้ ผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ในค่ายตามแนวชายแดนทั้ง 9 แห่งแต่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางการไม่มีสิทธิโยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สาม ในช่วงปีที่ผ่านมา รัฐบาลยังคงชะลอความพยายามส่งตัวผู้ที่ขึ้นทะเบียนอาศัยอยู่ในค่ายซึ่งเลือกเข้าร่วมโครงการกลับประเทศโดยสมัครใจกลับไปยังประเทศพม่า เนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19 และรัฐประหารในประเทศพม่า

การส่งผู้ลี้ภัยกลับไปสู่อันตราย: หลังจากถูกจับ บุคคลจากพม่าที่ไม่ได้มีสถานะผู้ลี้ภัยหรือเอกสารอนุญาตให้อยู่ในประเทศไทยได้ตามกฎหมาย มักจะถูกนำตัวไปส่งที่ชายแดนพม่า บางครั้งทางการให้สิทธิพิเศษกับชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ชาวพม่าบางกลุ่ม เช่น ชาวไทใหญ่ โดยผ่อนผันให้พวกเขาอยู่ในประเทศไทยได้โดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ นอกค่าย 9 แห่งตามแนวชายแดน เจ้าหน้าที่ทางการจะไม่แยกความแตกต่างระหว่างชาวพม่าที่แสวงที่พักพิงกับชาวพม่าที่เข้าเมืองโดยไม่มีเอกสาร โดยพิจารณาว่า ทุกคนเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมายหมด ในปีที่ผ่าน ๆ มา โดยปกติแล้ว ทางการอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยชาวพม่าที่ขึ้นทะเบียนและผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้วกลับบ้านได้หากถูกจับนอกค่าย อย่างไรก็ตาม ในช่วงปีที่ผ่านมา ทางการอาจไม่อนุญาตให้ผู้ลี้ภัยกลับไปที่ค่ายผู้ลี้ภัยเสมอไปเนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19 ผู้สนับสนุนผู้ลี้ภัยรายงานว่า มีหลายครั้งที่ทางการส่งผู้ลี้ภัยเหล่านั้นกลับพม่าจากจุดที่ผู้ลี้ภัยเหล่านั้นจะเดินทางข้ามพรมแดนกลับมาประเทศไทย

ในช่วงปีที่ผ่านมา มีกรณีที่ทางการส่งตัวบุคคลในความห่วงใยที่มีสถานะผู้แสวงหาที่พักพิงหรือผู้ลี้ภัยของ UNHCR กลับประเทศของตน เมื่อเดือนพฤศจิกายน รัฐบาลส่งนักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลชาวกัมพูชา 3 คนกลับไปสู่อันตรายในประเทศ โดยทั้ง 3 คนนี้เป็นผู้ลี้ภัยที่ขึ้นทะเบียนของ UNHCR ในเดือนมีนาคมและเดือนพฤษภาคม กองทัพบกได้ส่งตัวบุคคลที่หลบหนีการปะทะระหว่างทหารพม่าและองค์กรติดอาวุธทางชาติพันธุ์จำนวนประมาณ 6,000 คนกลับประเทศพม่า หลังจากที่อนุญาตให้บุคคลเหล่านี้พักพิงตามแนวแม่น้ำสาละวินในจังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นเวลา 5 ถึง 10 วัน รัฐบาลไม่อนุญาตให้ UNHCR หรือองค์กรนอกภาครัฐเข้าเยี่ยมบุคคลเหล่านี้อย่างเป็นทางการเพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม หรือเพื่อพิจารณาว่าบุคคลเหล่านี้กลับประเทศโดยสมัครใจหรือไม่

การกระทำมิชอบต่อผู้อพยพและผู้ลี้ภัย: รัฐบาลยังคงอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยชาวพม่าที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้วในค่าย 9 แห่งตามแนวชายแดนคงอยู่ในประเทศได้ชั่วคราว และยังคงเรียกค่ายผู้ลี้ภัยเหล่านี้ว่า “ที่พักพิงชั่วคราว” แม้ว่าค่ายเหล่านี้จะดำเนินการมาเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วก็ตาม ทางการยังคงปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงทุกคนนอกค่ายเหล่านี้ซึ่งไม่มีวีซ่าถูกต้องหรือใบอนุญาตอพยพอื่น ๆ ประหนึ่งเป็นบุคคลเข้าเมืองผิดกฎหมาย บุคคลที่ถูกระบุสถานภาพว่าเป็นบุคคลเข้าเมืองผิดกฎหมายจะถูกจับ กักกัน และส่งตัวกลับประเทศตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม UNHCR รายงานว่า เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา ทางการได้ลดการจับกุมอันเกี่ยวกับการเข้าเมือง โดยส่วนหนึ่งเพื่อมิให้ศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแออัดเกินไป เพื่อป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 ตามเมืองใหญ่ ๆ ทางการอนุญาตให้มีการประกันตัวผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงที่ถูกกักกันได้บางประเภทเท่านั้น เช่น แม่ เด็ก และผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองผ่อนคลายหลักเกณฑ์ในการอนุญาตให้มีการประกันตัวหลังเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 หลายครั้งในศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ทางการใช้หลักเกณฑ์ในการอนุญาตให้มีการประกันตัวโดยไม่แน่นอน และองค์กรนอกภาครัฐ ผู้ลี้ภัย และผู้แสวงหาที่พักพิงรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจำนวนมากเรียกร้องสินบนเมื่อมีการขอให้ประกันตัว

องค์กรด้านมนุษยธรรมรายงานข้อกังวลว่า ผู้อพยพ ผู้ลี้ภัย และผู้แสวงหาที่พักพิงเผชิญกับสภาพที่แออัด ขาดโอกาสในการออกกำลังกาย มีเสรีภาพในการเดินทางที่จำกัด ขาดการเข้าถึงโทรศัพท์และการติดต่อสื่อสารรูปแบบอื่น ๆ ไม่ได้รับบริการด้านสาธารณสุขอย่างเพียงพอ และถูกกระทำมิชอบโดยเจ้าหน้าที่ในศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

บางครั้ง ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองในกรุงเทพมหานคร จับกุมและกักขังผู้แสวงหาที่พักพิงและผู้ลี้ภัย ซึ่งมีผู้หญิงและเด็กรวมอยู่ด้วย โดยเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายลดจำนวนผู้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและผู้ที่พำนักในประเทศเกินวันหมดอายุของวีซ่า จนถึงเดือนสิงหาคม มีผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงประมาณ 198 คนอยู่ที่ศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (เปรียบเทียบกับ 320 คนในปีที่ผ่านมา) ซึ่งรวมถึงชาวโรฮีนจา 140 คน นอกจากนี้ มีชาวโรฮีนจา 38 คนอาศัยอยู่ในสถานที่พักพิงของรัฐบาล รัฐบาลกักตัวชาวอุยกูร์มากกว่า 50 คนไว้ในประเทศตั้งแต่ปี 2558

เสรีภาพในการเดินทาง: ผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย 9 แห่งบริเวณชายแดนติดกับประเทศพม่าไม่มีเสรีภาพในการเดินทางออกนอกค่าย องค์กรด้านมนุษยธรรมรายงานว่า ตลอดปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทางการอ้างความจำเป็นในการป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 ในการควบคุมการเดินทางเข้าออกค่ายของผู้ลี้ภัยอย่างเคร่งครัดมากขึ้น หากผู้ลี้ภัยถูกจับนอกเขตค่ายผู้ลี้ภัยอย่างเป็นทางการ ผู้ลี้ภัยอาจถูกคุกคาม ปรับ กักกันตัว ถอนทะเบียน และเนรเทศกลับประเทศ บางครั้งเจ้าหน้าที่อนุญาตให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในค่ายเดินทางออกนอกค่ายได้โดยจำกัดในกรณีเช่นไปรับการดูแลด้านการแพทย์หรือเดินทางไปยังค่ายอื่น ๆ เพื่อรับการอบรมทางการศึกษา

กฎหมายอนุญาตให้มีการออกใบอนุญาตพักพิงชั่วคราวแก่ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ซึ่งเป็นชาวต่างชาติบางราย รวมถึงผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจา ขณะที่กำลังมีการสืบสวนคดีการค้ามนุษย์ อย่างไรก็ตาม ผู้เสียหายจากกรณีดังกล่าวส่วนใหญ่ถูกจำกัดให้อยู่แต่ในสถานที่พักพิงแบบปิดที่รัฐเป็นผู้ดำเนินการ และมีเสรีภาพในการเดินทางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงไม่มีสิทธิเข้ากระบวนการพิสูจน์สัญชาติอย่างเป็นทางการ ซึ่งกระบวนการนี้จะอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวจากพม่า กัมพูชา และลาว ซึ่งได้รับการพิสูจน์สัญชาติและมีหนังสือเดินทางสามารถเดินทางได้ทั่วประเทศ

การจ้างงาน: กฎหมายห้ามผู้ลี้ภัยทำงานในประเทศ รัฐบาลได้อนุญาตให้แรงงานต่างด้าวที่ไม่มีเอกสารประจำตัวที่มาจากประเทศพม่า กัมพูชา และลาว สามารถทำงานในภาคเศรษฐกิจบางส่วนได้อย่างถูกกฎหมายถ้าขึ้นทะเบียนกับทางการและดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดเพื่อขอทำเอกสารระบุสถานภาพของตน (ดูหมวดที่ 7.ง.) นอกจากนี้ กฎหมายยังอนุญาตให้ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ที่ให้ความร่วมมือกับคดีที่รออยู่ในชั้นศาลทำงานได้อย่างถูกกฎหมายเป็นระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี (โดยอาจขยายเวลาได้) หลังจากที่การพิจารณาคดีของผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วเสร็จ ใบอนุญาตทำงานจะต้องระบุผู้ว่าจ้างโดยเฉพาะเจาะจง สำหรับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ซึ่งเป็นชาวต่างชาติบางราย รวมถึงชาวโรฮีนจา รัฐบาลไม่ได้เปิดโอกาสการจ้างงานที่เหมาะสมเพื่อที่จะมีใบอนุญาตทำงานได้ โดยอ้างว่า ไม่มีโอกาสในท้องถิ่นและไม่มีการพิจารณานโยบายการตรวจคนเข้าเมือง ทั้งนี้ ค่าธรรมเนียมการลงทะเบียน การตรวจสุขภาพ และประกันสุขภาพ ยังคงเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ที่ต้องการว่าจ้างผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์

การเข้าถึงบริการพื้นฐาน: ประชาคมนานาชาติให้การบริการขั้นพื้นฐานแก่ผู้ลี้ภัยที่อาศัยภายในค่ายพักพิง 9 แห่งตามแนวชายแดนพม่า ระบบการส่งต่อทางการแพทย์ทำให้ผู้ลี้ภัยสามารถขอรับการรักษาพยาบาลอื่น ๆ ที่จำเป็นนอกเหนือจากการดูแลขั้นต้นได้ สำหรับประชากรผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงในเมืองที่อยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล การเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขพื้นฐานที่รัฐบาลให้เงินสนับสนุนยังมีน้อย องค์กรนอกภาครัฐซึ่งได้รับทุนสนับสนุนส่วนหนึ่งจากประชาคมนานาชาติให้บริการหรืออำนวยการดูแลสุขภาพขั้นต้นและสุขภาพจิต รวมทั้งความช่วยเหลือทางกฎหมาย คณะกรรมการด้านสาธารณสุขที่นำโดย UNHCR ประสานงานการส่งต่อผู้ป่วยกรณีฉุกเฉินไปยังโรงพยาบาลท้องถิ่น รัฐบาลออกประกาศเมื่อปี 2563 ว่า ทุกคนจะสามารถตรวจโควิด-19 และรับการรักษาฟรี รวมทั้งผู้อพยพและผู้ลี้ภัยที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์เฉพาะ แต่องค์กรนอกภาครัฐระบุว่า การให้บริการฉีดวัคซีนและรักษาพยาบาลในระดับจังหวัดและอำเภอยังคงขาดความเท่าเทียม

ตามกฎหมายแล้ว โรงเรียนรัฐบาลจะต้องรับเด็กที่สามารถพูด อ่าน และเขียนภาษาไทยได้คล่องในระดับหนึ่งเข้าศึกษา รวมถึงเด็กผู้ลี้ภัยด้วย องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า เด็กผู้ลี้ภัยสามารถเข้าถึงการศึกษาแตกต่างกันไปในแต่ละโรงเรียน และบ่อยครั้งขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้บริหารของโรงเรียนนั้น ๆ ชุมชนผู้ลี้ภัยบางแห่งจัดตั้งโรงเรียนอย่างไม่เป็นทางของชุมชนเองเพื่อให้การศึกษาแก่ลูกหลานของตน  บางแห่งก็ขวนขวายเรียนภาษาไทยโดยการสนับสนุนจาก UNHCR และองค์กรนอกภาครัฐอื่น ๆ เพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาล เนื่องจากเด็กผู้ลี้ภัยชาวพม่าที่อาศัยอยู่ในค่ายโดยทั่วไปไม่อาจเข้ารับการศึกษาในระบบการศึกษาของรัฐบาลได้ องค์กรนอกภาครัฐจึงยังคงสนับสนุนองค์กรชุมชนที่ค่ายในการให้โอกาสทางการศึกษา และบางองค์กรสามารถปรับหลักสูตรการศึกษาของตนบางส่วนให้สอดคล้องกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา องค์กรนอกภาครัฐชะลอหรือลดกิจกรรมทางการศึกษาจำนวนมากสำหรับเด็กผู้ลี้ภัยเนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19

การคุ้มครองชั่วคราว: โดยปกติแล้ว ทางการไม่เนรเทศบุคคลในความห่วงใยที่มีสถานะผู้แสวงหาที่พักพิงหรือผู้ลี้ภัยของ UNHCR อย่างถูกต้อง รัฐบาลยังคงคุ้มครองผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจาส่วนใหญ่ที่ถูกทางการกักกันไม่ให้ถูกเนรเทศกลับ รวมถึงผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศอย่างไม่ปกติในช่วงวิกฤตผู้อพยพทางเรือในอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามันเมื่อปี 2558 รัฐบาลยังคงดำเนินนโยบายคัดกรองเบื้องต้นในการหาผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ในกลุ่มผู้อพยพชาวโรฮีนจาที่ถูกจับกุมขณะเดินทางผ่านประเทศไทย แต่การดำเนินการตามนโยบายนี้ไม่เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ จนถึงเดือนกันยายน เจ้าหน้าที่ไม่ได้ให้สถานะดังกล่าวกับชาวโรฮีนจาคนใด ทางการระบุว่า ชาวโรฮีนจา 74 คนเป็นผู้อพยพผิดกฎหมาย แต่ให้แม่และเด็กจำนวน 30 คนเข้าพักในสถานที่พักพิงภายใต้การดำเนินงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) แทนการกักกันที่ศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ส่วนชาวโรฮีนจาคนอื่น ๆ ที่พิจารณาแล้วว่าเป็นผู้อพยพผิดกฎหมาย ถูกกักกันที่ศูนย์กักกันดังกล่าว UNHCR สามารถเข้าถึงสถานที่พักพิงเหล่านี้ในจังหวัดต่าง ๆ ได้ โดยที่เจ้าหน้าที่ดำเนินการคัดกรองอย่างเป็นทางการสำหรับผู้อพยพเข้าเกณฑ์ได้รับผลประโยชน์ในฐานะผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ อย่างไรก็ตาม ผู้อพยพชาวโรฮีนจาเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกจำกัดขอบเขตให้อยู่ในสถานที่พักพิงและไม่มีเสรีภาพในการเดินทางหรือเข้าถึงใบอนุญาตทำงาน

ช. บุคคลไร้สัญชาติ

รัฐบาลยังคงดำเนินการระบุตัวบุคคลไร้สัญชาติ ออกเอกสารเพื่อแก้ปัญหาการไร้สัญชาติ และเปิดทางให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน รวมทั้งนักเรียนนักศึกษาบางคน สามารถขอสัญชาติไทยได้ จนถึงเดือนมิถุนายน รัฐบาลขึ้นทะเบียนบุคคลราว 553,969 คนในประเทศไทยซึ่งโดยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในภาคเหนือเป็นบุคคลไร้สัญชาติ อันรวมถึงชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางการและผู้ที่ไม่เคยมีเอกสารมาก่อน ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมิถุนายน รัฐบาลให้สัญชาติแก่บุคคลไร้สัญชาติจำนวน 2,740 คน และสถานะผู้พำนักอาศัยถาวรแก่อีก 260 คน เจ้าหน้าที่ทางการยอมรับว่า สถิติเหล่านี้ต่ำกว่าเป้าหมายที่จะลดการเป็นผู้ไร้สัญชาติสำหรับบุคคล 14,000 คนตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 จนถึงเดือนกันยายน โดยอ้างว่า ข้อจำกัดเนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19 ตลอดจนการสืบสวนการฉ้อฉลที่ดำเนินอย่างต่อเนื่องซึ่งต้องใช้ทรัพยากรอย่างมากนั้นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การกระบวนการดำเนินงานล่าช้า ทางการไม่ให้ชาวโรฮีนจาและชาวมุสลิมจากพม่า ตลอดจนบุคคลที่มีครอบครัวอาศัยอยู่ในแม่สอดใกล้ชายแดนพม่าเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน เข้ากระบวนการรับรองบุคคลไร้สัญชาติ เนื่องจากไม่มีสถานภาพที่ถูกต้องตามกฎหมาย บุคคลไร้สัญชาติที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนหรือมีเอกสารประจำตัว จึงมีความเสี่ยงเป็นพิเศษต่อการถูกกระทำมิชอบในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งการขู่ว่าจะเนรเทศออกนอกประเทศ (ดูหมวดที่ 6 หัวข้อ “เด็กและชาวพื้นเมือง”)

มติรัฐบาลที่จะทำให้คนไร้สัญชาติหมดไปและกำหนดแนวทางที่ทำให้เด็กและวัยรุ่นไร้สัญชาติประมาณ 80,000 คนได้รับสัญชาติไทย ครอบคลุมบุคคลที่เกิดในประเทศไทย มีบิดามารดาเป็นชนกลุ่มน้อย ขึ้นทะเบียนกับรัฐบาล และอาศัยอยู่ในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 15 ปี นอกจากนี้ มติดังกล่าวยังใช้กับเยาวชนไร้สัญชาติที่ไม่ทราบชาติกำเนิดซึ่งได้รับการรับรองจากหน่วยงานรัฐบาลว่าได้อาศัยอยู่ในประเทศมาเป็นระยะเวลา 10 ปี กฎหมายกำหนดแนวทางให้เด็กที่ไม่ทราบชาติกำเนิดสามารถขอสูติบัตรและขอบัตรประจำตัวประชาชนไทยได้ หากบุคคลสามารถพิสูจน์ได้ว่า ตนได้อยู่อาศัยในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 10 ปีขึ้นไป พร้อมมีคุณสมบัติอื่น ๆ ครบถ้วน บุคคลดังกล่าวเข้าเกณฑ์ที่จะขอสัญชาติไทยได้

การเกิดในประเทศไทยไม่ทำให้ได้สัญชาติโดยอัตโนมัติ กฎหมายกำหนดให้สัญชาติไทยโดยกำเนิดแก่เด็กที่มีบิดาหรือมารดาอย่างน้อยหนึ่งคนเป็นพลเมืองไทย นอกจากนี้ บุคคลอาจขอสัญชาติได้ตามหลักเกณฑ์พิเศษซึ่งรัฐบาลกำหนดขึ้นและดำเนินการโดยกระทรวงมหาดไทยซึ่งได้รับอนุมัติโดยคณะรัฐมนตรีหรือเป็นไปตามพระราชบัญญัติสัญชาติ (ดูหมวดที่ 6 หัวข้อ “เด็ก”) บุคคลไร้สัญชาติเชื้อสายไทยและบุตรที่มีคุณสมบัติตรงตามคำจำกัดความของ “ชาวไทยพลัดถิ่น” สามารถขอสถานภาพ “การมีสัญชาติไทยโดยกำเนิด” ได้

ตามกฎหมาย ชาวเขาผู้ไร้สัญชาติไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง รวมทั้งถูกจำกัดการเดินทางให้อยู่แต่ในเพียงจังหวัดของตน และเนื่องจากเป็นบุคคลไร้สัญชาติ พวกเขาจะไม่สามารถเป็นเจ้าของที่ดินได้ กฎหมายอนุญาตให้บุคคลไร้สัญชาติประกอบอาชีพต่าง ๆ ได้ตามกฎหมาย ยกเว้นบางประเภทที่เฉพาะบุคคลสัญชาติไทยเท่านั้นที่จะได้รับใบอนุญาต (เช่น แพทย์ วิศวกร และทนายความ) บุคคลไร้สัญชาติประสบความยากลำบากในการขอกู้เงินและการเข้าถึงบริการต่าง ๆ ของรัฐ เช่น บริการด้านสาธารณสุข  แม้ว่ากฎหมายจะอนุญาตให้เด็กผู้อพยพและไร้สัญชาติที่ไม่มีเอกสารสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนร่วมกับเด็กที่มีสัญชาติไทยได้ แต่การเข้าถึงการศึกษาขาดความเท่าเทียม มีรายงานว่า ผู้บริหารโรงเรียนระบุสถานภาพ “พลเมืองที่ไม่ใช่ชาวไทย” บนประกาศนียบัตรมัธยมศึกษาของเด็กเหล่านี้ซึ่งเป็นการจำกัดโอกาสทางเศรษฐกิจของพวกเขาเป็นอย่างมาก มหาวิทยาลัยอนุญาตให้บุคคลไร้สัญชาติสมัครเข้าเรียนได้ แต่ไม่สามารถเข้าถึงเงินกู้ทางการศึกษาของรัฐได้

องค์กรด้านมนุษยธรรมรายงานว่า ผู้ใหญ่บ้านและข้าราชการอำเภอมักจะเรียกร้องสินบนจากบุคคลไร้สัญชาติเพื่อดำเนินการตามคำขอขึ้นทะเบียนเป็นบุคคลไร้สัญชาติอย่างเป็นทางการ หรือเพื่อขอสถานะผู้พำนักอาศัยถาวรหรือขอสัญชาติ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังเรียกร้องสินบนจากบุคคลไร้สัญชาติที่จุดตรวจในประเทศเพื่อแลกกับการอนุญาตให้พวกเขาเดินทางจากจังหวัดหนึ่งไปยังอีกจังหวัดหนึ่งอีกด้วย

หมวดที่ 3. เสรีภาพในการมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมือง

รัฐธรรมนูญกำหนดให้พลเมืองสามารถเลือกรัฐบาลของตนเองได้ด้วยการเลือกตั้งที่จัดขึ้นเป็นช่วง ๆ อย่างเสรีและยุติธรรม โดยการลงคะแนนเป็นการลับ และมีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นสากลและเท่าเทียม ในปี 2562 มีการจัดการเลือกตั้งทั่วประเทศขึ้นหลังจากรัฐบาล คสช. ที่นำโดยทหารเข้ามาบริหารประเทศหลังเหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2557 ได้เป็นเวลา 5 ปี ช่วงเวลาการหาเสียงส่วนใหญ่เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย พรรคการเมืองจำนวนมากแข่งขันกันเพื่อให้ได้จำนวนที่นั่งในรัฐสภาและจัดให้มีการอภิปรายหาเสียงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี อย่างไรก็ตาม การจำกัดสิทธิในการหาเสียงเลือกตั้งและการใช้ข้อบังคับเพียงบางส่วนของคณะกรรมการการเลือกตั้งส่งผลกระทบต่อผลการเลือกตั้ง โดยเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคที่สนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ

การเลือกตั้งและการมีส่วนร่วมทางการเมือง

การเลือกตั้งเมื่อไม่นานนี้: การเลือกตั้งทั่วประเทศจัดขึ้นในเดือนมีนาคม 2562 หลังรัฐบาลทหารบริหารประเทศมาเป็นเวลา 5 ปี คณะรัฐมนตรีของรัฐบาลประยุทธ์สาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2562 ซึ่งถือเป็นการยุติบทบาทของ คสช. อย่างเป็นทางการ ต่อมาในเดือนธันวาคม 2563 รัฐบาลจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นขึ้นเป็นครั้งแรกหลังเหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2557

แทบไม่มีรายงานความผิดปกติระหว่างการเลือกตั้งทั่วประเทศเมื่อเดือนมีนาคม 2562 แม้ว่ามักจะมีรายงานว่าพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านซื้อเสียง เครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรี (ANFREL) ซึ่งเป็นองค์กรนอกภาครัฐระดับโลกเพียงองค์กรเดียวที่รัฐบาลอนุญาตให้สังเกตการณ์การเลือกตั้งได้ พบว่าการเลือกตั้ง “มีความอิสระบางส่วน แต่ไม่เป็นธรรม” ANFREL ตั้งข้อสังเกตว่า กิจกรรมโดยเฉพาะในวันเลือกตั้งเป็นไปด้วยดีหลายประการ เช่น มีผู้ออกมาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจำนวนมาก ประชาชนสามารถเข้าถึงคูหาเลือกตั้งได้โดยเสรี และมีความสงบเรียบร้อยระหว่างการรณรงค์หาเสียงและในวันเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม ANFREL พบว่า การจำกัดสิทธิและใช้ข้อบังคับกฎหมายอย่างไม่เป็นกลาง ตลอดจนการขาดความโปร่งใสของคณะกรรมการการเลือกตั้ง หมายความว่าทางการ “ล้มเหลวในการสร้างบรรยากาศทางการเมืองที่ดี อันเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม”

พรรคการเมืองและการมีส่วนร่วมทางการเมือง: ผู้วิจารณ์ตำหนิว่า ตำรวจและศาลมุ่งดำเนินคดีกับพรรคฝ่ายค้านอย่างไม่เป็นธรรม ในปี 2563 ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) โดยอ้างว่า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค ให้พรรคกู้ยืมเงินโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และตัดสิทธิทางการเมืองของคณะกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด 16 คนเป็นเวลา 10 ปี นักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยอ้างว่า คำพิพากษาดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่มีเหตุจูงใจทางการเมืองเพื่อบั่นทอนกำลังของพรรคฝ่ายค้านพรรคสำคัญ เมื่อเดือนเมษายน สมาชิกพรรคไทยภักดีสองคนฟ้องร้องดำเนินคดีกับนายธนาธร และนางสาวพรรณิการ์ วานิช อดีตแกนนำพรรค อนค. อีกคนหนึ่ง โดยกล่าวหาทั้งสองว่าบกพร่องในการบริหารจัดการกองทุนช่วยเหลือกรณีโรคโควิด-19 นายธนาธรและอดีตสมาชิกหลักของ อนค. คนอื่น ๆ ยังมีคำสั่งฟ้องติดตัวอยู่อีกกว่า 20 คดี ซึ่งส่วนใหญ่กำหนดโทษจำคุก

การมีส่วนร่วมของสตรีและชนกลุ่มน้อย: ไม่มีกฎหมายที่ห้ามมิให้ผู้หญิงและชนกลุ่มน้อยมีส่วนร่วมทางการเมือง อย่างไรก็ดี ผู้หญิงและชนกลุ่มน้อยก็มีส่วนร่วมได้อย่างจำกัด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้หญิง 76 คนจากสมาชิกทั้งหมด 487 คน และสมาชิกวุฒิสภาเป็นผู้หญิง 26 คนจากสมาชิกทั้งหมด 250 คน มีผู้หญิง 4 คนดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีทั้งหมด 35 คน โดยทั้ง 4 คนมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง ทั้งนี้ รัฐสภามีสมาชิกจากกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQI+) 4 คน และจากกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง 1 คน

หมวดที่ 4. การทุจริตและการขาดความโปร่งใสในวงราชการ

กฎหมายกำหนดโทษทางอาญาสำหรับการทุจริตในวงราชการ ทว่า ในบางครั้งข้าราชการก็พัวพันกับการกระทำการทุจริตโดยไม่ต้องรับโทษ ในช่วงปีที่ผ่านมา มีรายงานเกี่ยวกับการทุจริตในวงราชการหลายกรณี

การทุจริต: ในเดือนเมษายน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประกาศว่า คณะกรรมการอยู่ระหว่างตรวจสอบกรณีส่วนต่างจากการแสดงรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และภรรยา เนื่องจากพบว่าหนี้สินที่นายวีรศักดิ์ยื่นแสดงรายการเมื่อปี 2562 จำนวน 10,000 ล้านบาท (333 ล้านเหรียญสหรัฐ) หมดไปในเวลาเพียง 2 ปี

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม วิดีโอบันทึกภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มหนึ่งภายใต้การบังคับบัญชาของพันตำรวจเอก ธิติสรรค์ อุทธนผล ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรในจังหวัดนครสวรรค์ ลงมือทรมานผู้ต้องหาคดียาเสพติดจนถึงแก่ความตาย โดยถูกกล่าวหาว่ากระทำขณะรีดเงินสินบน ต่อมาสอบสวนพบว่า พันตำรวจเอก ธิติสรรค์ ครอบครองบ้านพักหลายหลังรวมทั้งรถยนต์หรูหลายคันรวมมูลค่า 175 ล้านบาท (5.3 ล้านเหรียญสหรัฐ) อธิบดีกรมศุลกากรรายงานว่า พันตำรวจเอก ธิติสรรค์ รับเงินรางวัลนำจับอย่างน้อย 400 ล้านบาท (12 ล้านเหรียญสหรัฐ) จากการประมูลรถยนต์หรูที่นำเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งพันตำรวจเอก ธิติสรรค์ ช่วยตรวจยึดมาตลอดหลายปี เจ้าพนักงานสอบสวนกรณีทุจริตระบุว่า มีหลักฐานว่า พันตำรวจเอก ธิติสรรค์ อาจนำเข้ารถยนต์ผิดกฎหมายเสียเองเพื่อรับรางวัลนำจับ โดยเป็นแผนแบ่งผลประโยชน์ร่วมกับเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่ประพฤติทุจริต (ดูหมวดที่ 1)

ในเดือนกันยายน พนักงานอัยการยื่นฟ้องนายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายรัฐบาล รวมทั้งภรรยาของเขากับพวกอีก 85 คน ในความผิดฐานรับสินบนที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างสนามฟุตซอลเมื่อปี 2555 ผู้ต้องสงสัยทั้ง 87 คนถูกตั้งข้อกล่าวหาหลายข้อ ซึ่งรวมถึงการทุจริต การตั้งเงื่อนไขการประกวดราคาโดยมุ่งหมายขัดขวางการแข่งขันอย่างเป็นธรรม ตลอดจนการฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยการประกวดราคา

ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาเมื่อเดือนกันยายน สมาชิกฝ่ายค้านกล่าวหารัฐบาลว่า กระทำการทุจริตและไร้ความสามารถสืบเนื่องจากการจัดหาวัคซีนซิโนแวค (Sinovac) สำหรับโรคโควิด-19 โดยอ้างว่ามีส่วนต่างถึง 2,000 ล้านบาท (61 ล้านเหรียญสหรัฐ) ระหว่างราคาจัดซื้อกับจำนวนเงินที่รัฐบาลชำระ

รัฐบาลยังคงสอบสวนและดำเนินคดีที่พระเถระกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติถูกกล่าวหาว่าร่วมกันยักยอกทรัพย์ เมื่อเดือนมีนาคม ป.ป.ช. ประกาศสอบสวนเสร็จสิ้น 52 คดี โดยมี 46 คดียังอยู่ระหว่างการสอบสวน ซึ่งเป็นคดีที่เกี่ยวพันกับการยักยอกเงิน 26.7 ล้านบาท (800,000 เหรียญสหรัฐ) รวมทั้งส่งต่อคดีให้ตำรวจเพิ่มเติมอีก 24 คดีเพื่อดำเนินการสอบสวนต่อไป

การทุจริตและการรับสินบนเล็ก ๆ น้อย ๆ มีอยู่เป็นวงกว้างในวงการตำรวจ ทั้งนี้ ตำรวจไทยจะต้องซื้อเครื่องแบบและอาวุธด้วยเงินของตนเอง เมื่อเดือนมกราคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติแจ้งว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ 189 นายถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานลักเงินเบี้ยเลี้ยงที่จัดสรรให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อปฏิบัติงานตอบสนองต่อสถานการณ์โรคโควิด-19 ทั่วประเทศ ในจำนวนนี้ หลายนายเข้าสู่กระบวนการดำเนินการทางวินัยแล้ว ขณะที่บางส่วนถูกส่งเรื่องต่อไปยัง ป.ป.ช. เพื่อดำเนินคดีต่อไป

หมวดที่ 5. ท่าทีของรัฐบาลต่อการสืบสวนโดยองค์กรระหว่างประเทศและองค์กรนอกภาครัฐในประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

องค์กรสิทธิมนุษยชนในประเทศและระหว่างประเทศหลายประเภทดำเนินกิจกรรมอยู่ในไทย องค์กรนอกภาครัฐที่ดำเนินการเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองที่อ่อนไหว เช่น การปฏิรูปการเมืองหรือการคัดค้านโครงการพัฒนาที่รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุน ยังคงเผชิญกับการคุกคามเป็นระยะ ๆ

ในเดือนพฤศจิกายน นายกรัฐมนตรีประกาศดำเนินการตรวจสอบองค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล  (Amnesty International) เนื่องจากให้การสนับสนุนนักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล รวมถึงกรณีออกแถลงการณ์วิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน

เจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนที่ทำงานเรื่องความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้เสี่ยงเป็นพิเศษต่อการถูกคุกคามและข่มขู่จากเจ้าหน้าที่รัฐและกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ รัฐบาลให้สิทธิยกเว้นภาษีแก่องค์กรนอกภาครัฐเพียงไม่กี่ราย ซึ่งบางครั้งก็เป็นอุปสรรคต่อการหาเงินทุนขององค์กรเหล่านี้

สหประชาชาติและองค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ: สหประชาชาติรายงานว่า ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ เกี่ยวกับการขออนุญาตเดินทางมาไทยของคณะทำงานของสหประชาชาติด้านการหายสาบสูญ ผู้เสนอรายงานพิเศษของสหประชาชาติด้านเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก ผู้เสนอรายงานพิเศษของสหประชาชาติด้านเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและการจัดตั้งสมาคม หรือผู้เสนอรายงานพิเศษของสหประชาชาติด้านสถานการณ์ของผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชน ผู้อพยพ ผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ การทรมาน ชาวพื้นเมือง และอัตลักษณ์ทางเพศและวิถีทางเพศ

องค์กรสิทธิมนุษยชนภาครัฐ: คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เป็นคณะกรรมการอิสระที่มีภารกิจในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและจัดทำรายงานประจำปี เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 6 คน (จากทั้งหมด 7 คน) ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการหลังจากดำเนินกระบวนการสรรหามาเป็นเวลา 4 ปี โดยการแต่งตั้งกรรมการอีก 1 คนยังอยู่ในขั้นดำเนินการ นางสาวพรประไพ กาญจนรินทร์ อดีตเอกอัครราชทูต ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการ ทั้งนี้ บทบาทของคณะกรรมการชุดก่อนยุติลงในทางหลักการนับตั้งแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และนักวิจารณ์ยืนยันว่า โดยส่วนใหญ่ คณะกรรมการก็ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่เท่าใดนักหลังจากกรรมการ 3 คน ลาออกจากตำแหน่งเมื่อปี 2562

ในปีที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 30 กันยายน กสม. ได้รับคำร้อง 593 เรื่อง ในจำนวนนี้ มี 220 เรื่องที่ กสม. รับไว้สืบสวนสอบสวนเพิ่มเติม และ 157 เรื่องเกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาการกระทำมิชอบโดยตำรวจ กลุ่มสิทธิมนุษยชนยังคงวิพากษ์วิจารณ์ กสม. กรณีไม่ยื่นฟ้องร้องผู้กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยตนเองหรือในนามของผู้ร้องเรียน สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นหน่วยงานอิสระและมีอำนาจพิจารณาและสอบสวนคำร้องเรียนจากประชาชน หลังจากดำเนินการสอบสวน สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินอาจส่งเรื่องต่อไปยังศาลเพื่อพิจารณาต่อไป หรือให้คำแนะนำแก่หน่วยงานที่เหมาะสมเพื่อดำเนินการต่อไป สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบเรื่องร้องเรียนทั้งหมด แต่ไม่มีอำนาจบังคับให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการตามคำแนะนำ ในปีที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 30 กันยายน สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินรับเรื่องร้องเรียนใหม่ 2,992 เรื่อง โดยในจำนวนนี้มี 694 เรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาการกระทำมิชอบโดยตำรวจ

หมวดที่ 6. การเลือกปฏิบัติและการกระทำมิชอบในสังคม

สตรี

การข่มขืนและความรุนแรงในครอบครัว: การข่มขืนกระทำชำเราบุรุษและสตรีเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แม้ว่ารัฐบาลไม่ได้บังคับใช้กฎหมายดังกล่าวอย่างมีประสิทธิผลเสมอไป กฎหมายให้คำจำกัดความการข่มขืนกระทำชำเราไว้อย่างแคบ ๆ ว่าเป็นการใช้อวัยวะเพศชายล่วงล้ำผู้อื่นทางกาย ส่งผลให้ผู้เสียหายที่ถูกล่วงละเมิดในรูปแบบอื่นไม่ได้รับการเยียวยาตามกฎหมาย ทั้งนี้ กฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีกับผู้ที่ข่มขืนคู่สมรสของตน และมีการดำเนินคดีประเภทนี้ กฎหมายกำหนดบทลงโทษหลายระดับสำหรับคดีข่มขืนหรือการใช้กำลังทำร้ายทางเพศ เริ่มตั้งแต่โทษจำคุก 4 ปีจนถึงประหารชีวิต รวมถึงโทษปรับ

องค์กรนอกภาครัฐกล่าวว่า การข่มขืนเป็นปัญหาร้ายแรง และผู้เสียหายเข้าแจ้งความคดีข่มขืนกระทำชำเราและการประทุษร้ายในครอบครัวน้อยกว่าความเป็นจริง ส่วนหนึ่งเนื่องจากการขาดความเข้าใจของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการตามกฎหมายเกี่ยวกับความรุนแรงต่อสตรีอย่างมีประสิทธิผล

องค์กรนอกภาครัฐระบุว่า รัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่แก้ปัญหาดังกล่าวอย่างไม่เพียงพอ และผู้เสียหายมักมองว่า ตำรวจไม่สามารถนำผู้กระทำผิดมาลงโทษได้

การใช้ความรุนแรงในครอบครัวต่อสตรีเป็นปัญหาสำคัญ กระทรวงสาธารณสุขบริหารจัดการศูนย์ช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกกระทำรุนแรง (One Stop Crisis Center: OSCC) ซึ่งให้ข้อมูลและบริการแก่ผู้เสียหายที่ถูกทำร้ายร่างกายและล่วงละเมิดทางเพศทั่วประเทศ กฎหมายยังกำหนดมาตรการอำนวยความสะดวกในการแจ้งความเหตุรุนแรงในครอบครัวและการรอมชอมระหว่างผู้เสียหายและผู้กระทำผิด นอกจากนี้ กฎหมายยังห้ามมิให้สื่อรายงานคดีความรุนแรงในครอบครัวระหว่างที่คดียังอยู่ในระบบกระบวนการยุติธรรม องค์กรนอกภาครัฐแสดงข้อกังวลเกี่ยวกับกฎหมายว่า การเน้นการส่งเสริมครอบครัวมั่นคงจะสร้างแรงกดดันต่อผู้เสียหายให้ยอมรอมชอมโดยไม่มีการแก้ปัญหาสวัสดิภาพและเป็นเหตุให้อัตราการพิพากษาลงโทษต่ำ

ทางการได้ดำเนินคดีความรุนแรงในครอบครัวบางคดีตามบทบัญญัติว่าด้วยการทำร้ายร่างกายหรือการใช้ความรุนแรงต่อผู้อื่น ซึ่งผู้กระทำผิดอาจได้รับโทษที่หนักขึ้น รัฐบาลดำเนินงานศูนย์พักพิงสำหรับผู้เสียหายจากความรุนแรงในครอบครัวจังหวัดละ 1 แห่ง ศูนย์ช่วยเหลือของรัฐที่จัดตั้งขึ้นในโรงพยาบาลรัฐทุกแห่งให้การดูแลรักษาสตรีและเด็กที่ถูกทำร้าย

การขริบอวัยวะเพศสตรี: ไม่มีกฎหมายเฉพาะเจาะจงที่ห้ามมิให้ขริบอวัยวะเพศสตรี องค์กรนอกภาครัฐและสื่อต่างประเทศรายงานว่า มีการขริบอวัยวะเพศสตรีประเภทที่ 4 ในภาคใต้ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม แม้ว่าจะไม่มีข้อมูลทางสถิติเผยแพร่ ไม่มีรายงานว่ารัฐบาลพยายามป้องกันหรือแก้ไขการปฏิบัติดังกล่าว

การคุกคามทางเพศ: การคุกคามทางเพศเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน ประมวลกฎหมายอาญากำหนดโทษปรับและจำคุก 1 เดือนสำหรับการคุกคามทางเพศ ในขณะที่การคุกคามทางเพศที่ถือว่าเป็นการกระทำอนาจารอาจต้องโทษปรับและจำคุกสูงสุด 15 ปี การคุกคามทางเพศในที่ทำงานอาจมีโทษปรับเพียงเล็กน้อย พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนห้ามมิให้คุกคามทางเพศ และกำหนดบทลงโทษไว้ 5 ระดับ คือ ภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน ลดขั้นเงินเดือน สั่งพักราชการ และไล่ออก องค์กรนอกภาครัฐอ้างว่า คำจำกัดความตามกฎหมายของคำว่าการคุกคามทางเพศมีความคลุมเครือ และการดำเนินคดีประเภทนี้เป็นเรื่องลำบาก ซึ่งทำให้การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวไม่มีประสิทธิผล

การบังคับให้ควบคุมจำนวนประชากร: ไม่มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่รัฐบังคับให้บุคคลทำแท้งหรือทำหมัน (ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่หัวข้อย่อย “การขริบอวัยวะเพศสตรี”)

รัฐบาลจัดให้มีบริการสุขภาพทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์แก่ผู้เสียหายจากการใช้ความรุนแรงทางเพศ ซึ่งรวมถึงการคุมกำเนิดฉุกเฉิน

การเลือกปฏิบัติ: รัฐธรรมนูญระบุว่า “ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมือง จะกระทำมิได้”

ผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชนแสดงความกังวลต่อความล่าช้าในการทบทวนข้อร้องเรียนจากผู้ที่ถูกเลือกปฏิบัติ ตลอดจนการขาดความตระหนักในหมู่ประชาชนและภายในสำนักงานประจำจังหวัดของ พม.

โดยทั่วไป ผู้หญิงมีสถานะและสิทธิทางกฎหมายเช่นเดียวกับผู้ชาย อย่างไรก็ตาม บางครั้ง ผู้หญิงก็ประสบกับการเลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการจ้างงาน ผู้ที่มีความผิดว่าด้วยการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศต้องระวางโทษจำคุกสูงสุด 6 เดือนหรือโทษปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ กฎหมายห้ามมิให้เลือกปฏิบัติในการจ้างงานเนื่องจากเพศและอัตลักษณ์ทางเพศภายใต้นโยบาย กฎ ระเบียบ ประกาศ โครงการหรือขั้นตอนใด ๆ ของหน่วยงานรัฐ หน่วยงานเอกชน และปัจเจกชน แต่ยังคงระบุข้อยกเว้นไว้ 2 ประการซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของกลุ่มประชาสังคม อันได้แก่ หลักการทางศาสนาและความมั่นคงของชาติ

คู่สมรสชาวต่างชาติของผู้หญิงไทยไม่สามารถขอความเป็นพลเมืองตามสัญชาติของภรรยาได้ ซึ่งต่างจากคู่สมรสชาวต่างชาติของผู้ชายไทย

ในจำนวนกำลังพลทั่วประเทศ มีทหารหญิงประมาณร้อยละ 12

นโยบายของกระทรวงกลาโหมจำกัดจำนวนบุคลากรหญิงในหน่วยงาน โดยส่วนใหญ่อยู่ที่ไม่เกินร้อยละ 25 ยกเว้นหน่วยงานด้านการแพทย์หรือการพยาบาลเฉพาะทาง งบประมาณ และการเงิน ซึ่งอนุญาตให้มีเจ้าหน้าที่หญิงได้ร้อยละ 35 ของจำนวนเจ้าหน้าที่ในหน่วยงาน สถาบันการศึกษาของทหาร (ยกเว้นวิทยาลัยพยาบาล) ไม่รับผู้หญิงเข้าศึกษา แม้ว่าสถาบันเหล่านี้จะมีอาจารย์ที่เป็นเพศหญิงอยู่จำนวนมากก็ตาม

ผู้หญิงไม่มีสิทธิสมัครเข้าศึกษาในโรงเรียนนายร้อยตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังคงระบุข้อกำหนดในประกาศจ้างงานสำหรับตำแหน่งพนักงานสอบสวนและตำแหน่งอื่น ๆ ว่า ต้องเป็น “เพศชาย” อย่างไรก็ดี ในปี 2563 สำนักงานตำรวจแห่งชาติอนุญาตให้ผู้หญิง 300 คน (และผู้ชาย 700 คน) เข้ารับการสอบบรรจุตำแหน่งพนักงานสอบสวน

ความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติเชิงระบบด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์

รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติซึ่งมุ่งคุ้มครองวัฒนธรรมและวิถีชีวิตดั้งเดิมของชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ และกำหนดให้บุคคลทั้งหลายย่อมเสมอกันในกฎหมาย รวมทั้งได้รับความคุ้มครองโดยเท่าเทียมกัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงปีที่ผ่านมา มีรายงานการใช้ความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติต่อสมาชิกกลุ่มชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์

ชาวพื้นเมือง

ชาวเขาที่ไม่มีสัญชาติไทย (ประมาณร้อยละ 50) ยังคงถูกจำกัดการเดินทาง ไม่สามารถมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ประสบความยากลำบากในการกู้ยืมเงินจากธนาคาร และเผชิญกับการเลือกปฏิบัติในการจ้างงาน ถึงแม้ว่ากฎหมายแรงงานจะให้สิทธิแก่ชาวพื้นเมืองเหล่านี้ให้ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมในฐานะลูกจ้าง แต่นายจ้างยังคงละเมิดสิทธินั้นบ่อยครั้งโดยจ่ายค่าแรงให้พวกเขาน้อยกว่าเพื่อนร่วมงานชาวไทยและน้อยกว่าอัตราค่าแรงขั้นต่ำ กฎหมายยังกีดกันบุคคลเหล่านี้จากสวัสดิการของรัฐ แต่กำหนดให้พวกเขาสามารถเข้าถึงการรักษาฟรีที่รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนได้อย่างจำกัด

กฎหมายให้สิทธิการขอสัญชาติแก่ชาวเขาบางกลุ่มที่ก่อนหน้านี้ไม่มีสิทธิ (ดูหมวดที่ 2.ช.) รัฐบาลสนับสนุนความพยายามในการให้สัญชาติและให้ความรู้ชาวเขาที่มีสิทธิเกี่ยวกับสิทธิของตน

ในเดือนกุมภาพันธ์ ทางการจับกุมชาวบ้านชาติพันธุ์กะเหรี่ยง 22 คนที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี หลังจากที่กลุ่มชาวบ้านขัดขืนคำสั่งให้อพยพออกจากที่ดิน เจ้าหน้าที่อุทยานตัดสินใจขับไล่ชาวบ้านออกจากบริเวณใจแผ่นดินของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หลังจากพบว่ามีผู้ลักลอบเข้าไปตั้งถิ่นฐานในอุทยานเพิ่มขึ้น รวมถึงมีการแผ้วถางพื้นที่ป่ามากขึ้นเพื่อปลูกพืชหมุนเวียน

กลุ่มประชาสังคมออกมาประท้วงคัดค้านการขับไล่ชาวบ้านออกจากที่ดิน โดยกล่าวว่า ใจแผ่นดินเป็นที่ดินบรรพบุรุษของชาวบ้านก่อนจะกลายเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อปี 2524 ในวันที่ 7 มีนาคม ศาลจังหวัดเพชรบุรีปล่อยตัวชาวบ้านทั้ง 22 คนโดยไม่ต้องมีหลักประกัน โดยมีเงื่อนไขห้ามชาวบ้านกลับเข้าพื้นที่ใจแผ่นดินของอุทยาน

เด็ก

การจดทะเบียนเกิด: เด็กได้รับสัญชาติไทยตั้งแต่แรกเกิดหากมีบิดาหรือมารดาถือสัญชาติไทย การเกิดในประเทศไม่ได้ทำให้ได้รับสัญชาติโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ดี เด็กทุกคนที่เกิดในประเทศไทยมีสิทธิได้รับสูติบัตร ซึ่งจะทำให้เด็กได้รับสิทธิประโยชน์บางอย่างจากทางการ โดยไม่สำคัญว่าถือสัญชาติใด (ดูหมวดที่ 2.ช.) กฎหมายกำหนดว่า เด็กทุกคนที่เกิดในประเทศจะได้รับสูติบัตรจากทางการไม่ว่าบิดามารดาจะมีสถานภาพทางกฎหมายอย่างไร ในพื้นที่ห่างไกล บิดามารดาบางคนไม่ขอสูติบัตรให้แก่บุตรของตนเพราะขั้นตอนยุ่งยากและไม่ตระหนักถึงความสำคัญของเอกสารนี้ องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า บางครั้งชาวเขาและบุคคลไร้สัญชาติอื่น ๆ ไม่ได้แจ้งเกิดกับเจ้าหน้าที่รัฐ เนื่องจากข้าราชการท้องถิ่นที่มีข้อมูลไม่ถูกต้องหรือไม่มีคุณธรรม อุปสรรคด้านภาษา และการถูกจำกัดการเดินทางทำให้การขอสูติบัตรเป็นเรื่องลำบาก

การศึกษา: รัฐธรรมนูญกําหนดให้เด็กทุกคนต้องได้รับการศึกษาเป็นเวลา 12 ปีโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย องค์กรนอกภาครัฐระบุว่า บุตรของแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนแล้ว แรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน ผู้ลี้ภัย หรือผู้แสวงหาที่พักพิง เข้าถึงการศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลได้อย่างจำกัด

การกระทำทารุณเด็ก: กฎหมายมีบทบัญญัติคุ้มครองเด็กจากการถูกกระทำทารุณ และกฎหมายว่าด้วยการข่มขืนกระทำชำเราและการทอดทิ้งกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงขึ้นในกรณีที่ผู้เสียหายเป็นเด็ก กฎหมายกำหนดให้ผู้ที่ข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีต้องระวางโทษจำคุก 4 ถึง 20 ปีและโทษปรับ ผู้ที่ทอดทิ้งเด็กอายุต่ำกว่า 9 ปีต้องระวางโทษจำคุก 3 ปี หรือโทษปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ มีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองพยาน ผู้เสียหาย และผู้กระทำผิดที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีในคดีการกระทำมิชอบและคดีละเมิดทางเพศต่อเด็ก กลุ่มผู้สนับสนุนด้านสิทธิรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมักจะเพิกเฉยหรือหลีกเลี่ยงการสืบสวนสอบสวนคดีการกระทำมิชอบต่อเด็ก

การแต่งงานในวัยเด็ก การแต่งงานก่อนวัยอันควร และการบังคับแต่งงาน: กฎหมายกำหนดให้ทั้งหญิงและชายที่จะแต่งงานต้องมีอายุอย่างน้อย 17 ปี โดยผู้มีอายุน้อยกว่า 21 ปีต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครอง ศาลอาจอนุญาตให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 17 ปีแต่งงานได้

ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดกอนุญาตให้เด็กหญิงแต่งงานได้หลังจากมีประจำเดือนครั้งแรกหากได้รับการยินยอมจากบิดามารดา กำหนดอายุขั้นต่ำในการสมรสของชาวมุสลิมคือ 17 ปี ชาวมุสลิมที่อายุน้อยกว่า 17 ปีสามารถแต่งงานได้หากมีหนังสืออนุญาตจากศาลหรือหนังสือแสดงความยินยอมจากผู้ปกครอง ซึ่งจะต้องได้รับการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการพิเศษ 3 คน และในจำนวนนี้ต้องเป็นสตรีที่มีความรู้ความเข้าใจในกฎหมายอิสลามอย่างน้อย 1 คน

การแสวงหาประโยชน์ทางเพศกับเด็ก: บุคคลอายุ 15 ปีขึ้นไปสามารถร่วมประเวณีได้โดยยินยอมพร้อมใจ กฎหมายกำหนดบทลงโทษรุนแรงต่อผู้ที่จัดหา ล่อลวง บังคับ หรือข่มขู่เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีให้ค้าประเวณี และกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงขึ้นต่อผู้ที่จ่ายเงินเพื่อมีเพศสัมพันธ์กับเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ทางการยังอาจลงโทษบิดามารดาที่ยอมให้บุตรเข้าสู่ธุรกิจการค้าประเวณี ตลอดจนเพิกถอนสิทธิในฐานะบิดามารดาได้ กฎหมายห้ามมิให้ผลิต เผยแพร่ นำเข้า หรือส่งออกสื่อลามกอนาจารเด็ก นอกจากนี้ ยังกำหนดบทลงโทษรุนแรงสำหรับบุคคลที่แสวงประโยชน์ทางเพศกับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ซึ่งรวมถึงการจัดหาผู้ค้าประเวณี การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมทางเพศต่อเด็กในรูปแบบอื่น ๆ

การค้ามนุษย์ในเด็กเพื่อการแสวงประโยชน์ทางเพศยังคงเป็นปัญหา และประเทศไทยก็ยังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามต่อสู้กับปัญหานี้อย่างต่อเนื่องก็ตาม เด็กต่างด้าวและเด็กที่เป็นชนกลุ่มน้อย ตลอดจนเด็กในครอบครัวยากจนยังคงเสี่ยงมากเป็นพิเศษต่อการถูกบังคับค้าประเวณี และมีกรณีที่ตำรวจจับกุมบิดามารดาที่บังคับให้บุตรของตนค้าประเวณี ทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติยังคงก่ออาชญากรรมล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก ซึ่งรวมถึงการแสวงหาประโยชน์ทางเพศเชิงพาณิชย์จากเด็ก ตลอดจนการผลิตและการเผยแพร่สื่อลามกอนาจารเด็ก

ชุดปฏิบัติการปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต (TICAC) ซึ่งเป็นหน่วยตำรวจที่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 17 นาย ได้รับเบาะแสจากองค์กรนอกภาครัฐในต่างประเทศกว่า 260,000 เรื่องเกี่ยวกับกรณีต้องสงสัยคดีเด็กถูกแสวงประโยชน์ทางเพศ ซึ่งสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับประมาณ 117,000 เรื่องในปี 2562 นอกจากนี้ TICAC ยังสืบสวนสอบสวนกรณีการกระทำความผิดต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต 94 คดีในปี 2563 (เทียบกับ 77 คดีในปี 2562) ซึ่งรวมถึงกรณีการค้ามนุษย์ในเด็กทางอินเทอร์เน็ตเพื่อการแสวงประโยชน์ทางเพศ 22 คดี (เทียบกับ 26 คดีในปี 2562)

มีรายงานการกระทำชำเราและคุกคามทางเพศต่อเด็กหญิงที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมสถานศึกษาหลายกรณี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ครูชายคนหนึ่งในอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ถูกจับกุมในความผิดฐานประทุษร้ายทางเพศนักเรียนหญิงอย่างน้อย 13 คน พฤติกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา และผู้เสียหายบางรายมีอายุเพียง 7 ปี ในเดือนมีนาคม ครูชายคนหนึ่งของโรงเรียนรัฐบาลในอำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ ถูกจับกุมในความผิดฐานประทุษร้ายทางเพศนักเรียนหญิงวัย 14 ปีหลายคน ศธ. ดำเนินการศูนย์คุ้มครองและช่วยเหลือนักเรียนนักศึกษาซึ่งถูกล่วงละเมิดทางเพศ เพื่อรับเรื่องร้องเรียนและรายงานกรณีล่วงละเมิดทางเพศในสถานศึกษา ในช่วงปีที่รายงาน ศธ. ได้จัดทำ คู่มือป้องกันการล่วงละเมิดทางเพศในโรงเรียน ความยาว 14 หน้า เพื่อแจกจ่ายให้โรงเรียนทุกแห่ง

เด็กพลัดถิ่น: โดยทั่วไป ทางการจะส่งเด็กที่อาศัยอยู่ตามข้างถนนไปที่สถานพักพิงที่รัฐบาลจัดให้ในแต่ละจังหวัด แต่ผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารประจำตัวมักเลี่ยงที่จะเข้าไปอยู่ในสถานพักพิงเหล่านั้นเพราะเกรงว่าจะถูกเนรเทศออกนอกประเทศ จนถึงเดือนสิงหาคม รัฐบาลประมาณการว่า มีเด็กข้างถนนที่แสวงหาสถานพักพิงประมาณ 20,000 คนทั่วประเทศ ในจำนวนนี้ 5,000 คนได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลหรือองค์กรเอกชน เมื่อเดือนตุลาคม มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ซึ่งเป็นองค์กรนอกภาครัฐ รายงานว่ามีเด็กที่อาศัยอยู่ตามข้างถนนประมาณ 50,000 คนในประเทศไทย และในจำนวนดังกล่าวเป็นเด็กต่างด้าว 30,000 คน โดยทั่วไปแล้ว รัฐบาลจะส่งเด็กไร้บ้านที่เป็นคนไทยเข้าเรียนที่โรงเรียน ศูนย์ฝึกอาชีพ หรือส่งกลับครอบครัวภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ รัฐบาลส่งตัวเด็กข้างถนนบางคนที่มาจากประเทศอื่นกลับมาตุภูมิ

การลักพาเด็กระหว่างประเทศ: ประเทศไทยเป็นภาคีอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการดำเนินการทางแพ่งต่อการลักพาเด็กระหว่างประเทศ พ.ศ. 2523 ทั้งนี้ สามารถอ่าน รายงานประจำปีเรื่องการลักพาตัวลูกข้ามชาติโดยพ่อหรือแม่ ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ที่ https://travel.state.gov/content/travel/en/International-Parental-ChildAbduction/for-providers/legal-reports-and-data/reported-cases.html

การต่อต้านยิว

ชาวยิวในไทยมีจำนวนน้อยมาก และไม่มีรายงานเกี่ยวกับการต่อต้านชาวยิว

การค้ามนุษย์

สามารถอ่าน รายงานการค้ามนุษย์ ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกอบได้ที่ https://www.state.gov/trafficking-in-persons-report/

คนทุพพลภาพ

รัฐธรรมนูญห้ามมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยมีสาเหตุมาจากความพิการ และสภาวะทางร่างกายหรือสุขภาพ กฎหมายให้สิทธิพิเศษทางภาษีกับนายจ้างที่ว่าจ้างคนทุพพลภาพเข้ามาทำงานตามจำนวนที่กำหนดไว้ เช่น การลดหย่อนภาษีเงินได้เป็นพิเศษเพื่อส่งเสริมให้มีการจ้างงานคนทุพพลภาพ

รัฐบาลปรับแต่งสิ่งอำนวยความสะดวกและอาคารสาธารณะหลายแห่งเพื่อให้เอื้อต่อคนทุพพลภาพ แต่การบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลยังไม่มีประสิทธิผลโดยสม่ำเสมอกัน กฎหมายกำหนดให้คนทุพพลภาพต้องสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การสื่อสาร และอาคารที่สร้างใหม่ แต่บทบัญญัติเหล่านี้ไม่ได้มีการบังคับใช้อย่างเป็นเอกภาพ กฎหมายกำหนดให้คนทุพพลภาพที่ขึ้นทะเบียนไว้กับทางราชการมีสิทธิได้รับบริการตรวจโรค รถเข็น และไม้ยันรักแร้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

โครงการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการโดยชุมชนของรัฐบาลและโครงการศูนย์การเรียนรู้คนพิการในชุมชนดำเนินงานอยู่ในทุกจังหวัด นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้เงินกู้ปลอดดอกเบี้ยเป็นเวลา 5 ปีแก่คนทุพพลภาพเพื่อประกอบธุรกิจขนาดย่อม

รัฐบาลมีโรงเรียนพิเศษและศูนย์การศึกษาสำหรับเด็กที่มีความพิการหลายสิบแห่ง ตลอดจนศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการสำหรับผู้ใหญ่ที่มีความพิการ กฎหมายกำหนดให้โรงเรียนของรัฐทั่วประเทศต้องรับนักเรียนทุพพลภาพเข้าศึกษา และในช่วงปีที่ผ่านมา โรงเรียนส่วนใหญ่ก็จัดการเรียนการสอนให้แก่นักเรียนทุพพลภาพ รัฐบาลยังมีสถานสงเคราะห์และศูนย์ฟื้นสมรรถภาพสำหรับคนทุพพลภาพโดยเฉพาะ รวมถึงศูนย์ดูแลเด็กออทิสติก

องค์กรคนพิการรายงานว่า การเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับบริการสาธารณะต่าง ๆ กระทำได้ยาก

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิผู้ทุพพลภาพอ้างว่า เจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ของสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ พม. และบริษัทเอกชนมักทำสัญญากับองค์กรคนพิการเพื่อจ้างงานบุคคลทุพพลภาพ ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ที่ไม่สุจริตในภาครัฐและองค์กรคนพิการหักค่าจ้างส่วนหนึ่งของลูกจ้างเหล่านี้ได้

การตีตราทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวีและเอดส์

บุคคลที่ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคเอดส์ต้องเผชิญกับการตีตราทางสังคมอยู่บ้าง แม้ว่ารัฐบาลและองค์กรนอกภาครัฐจะพยายามให้ความรู้อย่างแพร่หลายในเรื่องนี้ มีรายงานว่านายจ้างบางรายให้ลูกจ้างที่ตรวจพบว่ามีเชื้อเอชไอวีออกจากงาน หรือปฏิเสธที่จะจ้างงานผู้ที่ติดเชื้อ

การกระทำรุนแรง การกำหนดว่าเป็นความผิดทางอาญา และการถูกกระทำมิชอบอื่น ๆ เนื่องจากวิถีทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศ

ไม่มีกฎหมายใดระบุว่า การแสดงออกซึ่งวิถีทางเพศหรือการมีเพศสัมพันธ์โดยสมัครใจระหว่างบุคคลเพศเดียวกันที่บรรลุนิติภาวะแล้วเป็นความผิดทางอาญา

กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQI+) รายงานว่า เมื่อผู้มีความหลากหลายทางเพศตกเป็นผู้เสียหายจากอาชญากรรม ตำรวจจะปฏิบัติต่อพวกเขาเช่นเดียวกับที่ปฏิบัติต่อคนทั่วไป ยกเว้นในกรณีอาชญากรรมทางเพศ ซึ่งตำรวจมักมีแนวโน้มที่จะไม่ให้ความสำคัญกับการละเมิดทางเพศมากนัก หรือไม่เห็นการคุกคามทางเพศเป็นเรื่องจริงจัง

กฎหมายไม่อนุญาตให้บุคคลข้ามเพศเปลี่ยนการระบุเพศของตนในเอกสารแสดงตน ซึ่งเมื่อรวมกับการเลือกปฏิบัติของสังคมกลุ่มใหญ่แล้ว ทำให้โอกาสสมัครงานของบุคคลข้ามเพศถูกจำกัด

โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) และองค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศถูกเลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตชนบท UNDP ยังระบุอีกว่า สื่อนำเสนอบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในลักษณะเหมารวมและเป็นไปในทางลบ ซึ่งส่งผลให้เกิดการเลือกปฏิบัติกับคนกลุ่มนี้

กฎหมายว่าด้วยความเท่าเทียมระหว่างเพศห้ามมิให้มีการเลือกปฏิบัติ “เพราะเหตุที่บุคคลนั้นเป็นเพศชายหรือเพศหญิง หรือมีการแสดงออกที่แตกต่างจากเพศโดยกำเนิด” และปกป้องนักศึกษาข้ามเพศจากการถูกเลือกปฏิบัติ แผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2562-2565 ได้กำหนดให้แผนการปฏิบัติเกี่ยวกับกลุ่มความหลากหลายทางเพศเป็น 1 ใน 12 แผนสิทธิมนุษยชนรายกลุ่ม

องค์กรนอกภาครัฐและสหประชาชาติรายงานว่า บุคคลข้ามเพศถูกเลือกปฏิบัติในหลายภาคส่วน ทั้งในกระบวนการเกณฑ์ทหาร ขณะถูกคุมขัง รวมถึงในภาคการศึกษา จากนโยบายที่เคร่งครัดของโรงเรียนและมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ ซึ่งกำหนดให้นักเรียนนักศึกษาต้องสวมเครื่องแบบที่ตรงกับเพศกำเนิด

ศธ. บรรจุหลักสูตรการเรียนการสอนซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับวิถีทางเพศและความหลากหลายทางเพศสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังกลุ่ม LGBTQI+ รณรงค์สนับสนุนประเด็นดังกล่าวมาเป็นเวลา 2 ปี องค์กรนอกภาครัฐยังคงรณรงค์ให้ ศธ. กำหนดหลักสูตรดังกล่าวเป็นหลักสูตรภาคบังคับ อีกทั้งทำงานร่วมกับกระทรวงเพื่อพัฒนาหลักสูตรและจัดการฝึกอบรมครูอาจารย์เพื่อให้การสอนเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล

หมวดที่ 7. สิทธิของคนงาน

ก. เสรีภาพในการจัดตั้งสมาคมและสิทธิในการร่วมเจรจาต่อรองแบบรวมกลุ่ม

รัฐธรรมนูญกำหนดให้บุคคลมีเสรีภาพในการรวมตัวกันและจัดตั้งสมาคม สหกรณ์ สหภาพ องค์การ ชุมชน หรือหมู่คณะอื่น ๆ โดยกฎหมายรับรองสิทธิของพนักงานในภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจบางส่วนในการจัดตั้งและเข้าร่วมสหภาพแรงงานอิสระได้ กฎหมายไม่อนุญาตให้แรงงานต่างด้าวจัดตั้งสหภาพแรงงาน ข้าราชการพลเรือนสามารถรวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มได้ ตราบใดที่การรวมกลุ่มไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินและความต่อเนื่องของบริการสาธารณะ อีกทั้งวัตถุประสงค์ของกลุ่มต้องไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง กฎหมายกำหนดให้พนักงานบางกลุ่มมีสิทธิในการร่วมเจรจาต่อรองแบบรวมกลุ่มโดยมีข้อจำกัด ส่วนสิทธิในการนัดประท้วงหยุดงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายถูกระงับเนื่องจากสถานการณ์โรคโควิด-19

กฎหมายกำหนดว่าลูกจ้างต้องมีนายจ้างคนเดียวกันหรือต้องอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันจึงจะสามารถก่อตั้งเป็นสหภาพได้ คนงานตามสัญญาจ้างไม่สามารถเข้าร่วมสหภาพได้แม้จะทำงานในโรงงานเดียวกันและทำงานในลักษณะเดียวกันกับลูกจ้างเต็มเวลา เนื่องจากคนงานตามสัญญาจ้างจัดว่าเป็นพนักงานประเภทอุตสาหกรรมบริการ ในขณะที่ลูกจ้างเต็มเวลาจัดอยู่ในประเภทอุตสาหกรรมการผลิต การที่คนงานตามสัญญาจ้างและลูกจ้างเต็มเวลาไม่สามารถเข้าร่วมสหภาพแรงงานเดียวกันได้อาจลดผลประโยชน์จากการเจรจาต่อรองในฐานะกลุ่มใหญ่ นอกจากนี้ คนงานตามสัญญาจ้างระยะสั้นยังมีแนวโน้มที่จะเข้าร่วมสหภาพแรงงานน้อยกว่าลูกจ้างประเภทอื่นเพราะกลัวว่าจะถูกตอบโต้จากการต่อต้านสหภาพแรงงานด้วยการไม่ต่อสัญญาจ้างงาน ผู้สนับสนุนด้านแรงงานกล่าวอ้างว่า มีบริษัทหลายแห่งที่จ้างคนงานตามสัญญาจ้างเพื่อบั่นทอนความพยายามในการจัดตั้งสหภาพแรงงานของลูกจ้าง จากการสำรวจอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์พบว่า คนงานมากกว่าร้อยละ 45 เป็นคนงานตามสัญญาจ้าง และในจำนวนดังกล่าว ประมาณครึ่งหนึ่งเป็นคนงานตามสัญญาจ้างระยะสั้น

กฎหมายไม่ได้คุ้มครองสมาชิกสหภาพแรงงานจากการกระทำของนายจ้างที่เป็นการต่อต้านสหภาพแรงงานจนกว่าสหภาพแรงงานนั้นจะได้รับการจดทะเบียน ในการจดทะเบียนสหภาพแรงงานจะต้องมีลูกจ้างอย่างน้อย 10 คนร่วมกันยื่นรายชื่อของตนต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) ซึ่งจะดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องของรายชื่อและสถานภาพการจ้างงานกับนายจ้าง กระบวนการดังกล่าวอาจทำให้ลูกจ้างเหล่านี้เสี่ยงต่อการถูกตอบโต้จากนายจ้างก่อนที่การจดทะเบียนจะแล้วเสร็จ นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดว่า เจ้าหน้าที่สหภาพแรงงานต้องเป็นพนักงานเต็มเวลาของบริษัทหรือรัฐวิสาหกิจ และห้ามมีเจ้าหน้าที่ถาวรประจำสหภาพแรงงาน กฎหมายอนุญาตให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งมีสหภาพแรงงานได้ 1 กลุ่ม รัฐวิสาหกิจดำเนินงานในหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจ ทั้งธนาคาร รถไฟ สายการบิน สนามบิน ท่าเรือ และบริการไปรษณีย์ หากสมาชิกภาพของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจใดมีจำนวนลดลงต่ำกว่าร้อยละ 25 ของจำนวนลูกจ้างทั้งหมด สหภาพแรงงานนั้นจะต้องถูกยุบตามข้อบังคับด้านแรงงาน กฎหมายห้ามมิให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจกับสหภาพแรงงานภาคเอกชนของอุตสาหกรรมหรือธุรกิจประเภทเดียวกันเข้าอยู่ในเครือเดียวกัน เนื่องจากสหภาพทั้งสองประเภทอยู่ภายใต้อำนาจของกฎหมายคนละฉบับ

กฎหมายกำหนดให้สหภาพแรงงานจะต้องมีสมาชิกภาพจำนวนร้อยละ 20 จึงจะสามารถร่วมเจรจาต่อรองแบบรวมกลุ่มได้ กฎหมายอนุญาตให้พนักงานในสถานประกอบการที่ไม่มีสหภาพแรงสามารถยื่นข้อเรียกร้องร่วมได้ หากว่าพนักงานอย่างน้อยร้อยละ 15 ลงชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องดังกล่าว พนักงานในบริษัทเอกชนที่มีลูกจ้างมากกว่า 50 คนขึ้นไปสามารถจัดตั้ง “คณะกรรมการลูกจ้าง” หรือ “คณะกรรมการสวัสดิการ” ได้ คณะกรรมการลูกจ้างและคณะกรรมการสวัสดิการอาจให้ข้อเสนอแนะแก่นายจ้างในด้านสวัสดิการลูกจ้างและประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเงิน แต่ไม่สามารถยื่นข้อเรียกร้องด้านแรงงานหรือนัดหยุดงานได้

กฎหมายห้ามมิให้นายจ้างกระทำการที่ส่งผลเสียต่อพนักงานอันเนื่องมาจากการที่พนักงานเข้าร่วมเป็นสมาชิกคณะกรรมการดังกล่าว และห้ามมิให้นายจ้างขัดขวางการทำงานของคณะกรรมการ ผู้นำสหภาพแรงงานจึงมักจะเข้าเป็นสมาชิกคณะกรรมการลูกจ้างเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองนี้ตามกฎหมาย

ในเดือนพฤษภาคม 2563 กระทรวงแรงงานออกประกาศห้ามนายจ้างปิดงานหรือลูกจ้างนัดหยุดงานในระหว่างการบังคับใช้พระราชกำหนดฉุกเฉินเพื่อควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 พระราชกำหนดฉบับดังกล่าวกำหนดให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์เป็นผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานใด ๆ ก็ตามที่เกิดขึ้น เพื่อความปลอดภัยของสาธารณชนและบรรเทาความขัดแย้งในภาคอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในภาวะเศรษฐกิจซบเซาอันเนื่องมาจากโรคโควิด-19 องค์กรนอกภาครัฐวิจารณ์ประกาศฉบับนี้ว่า เป็นการละเมิดสิทธิในการร่วมเจรจาต่อรองแบบรวมกลุ่มของแรงงาน ขณะที่รัฐบาลและผู้นำสหภาพบางคนมองว่าประกาศดังกล่าวเป็นวิธีหนึ่งที่ส่งเสริมการเจรจาหารือเพื่อป้องกันการปิดกิจการหรือการปลดคนงานขนานใหญ่

ก่อนการระงับสิทธิประท้วงหยุดงาน กฎหมายอนุญาตให้พนักงานมีสิทธิประท้วงหยุดงานได้หากแจ้งทางการและนายจ้างล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง และการประท้วงจะต้องไม่กระทำบนถนนสาธารณะ รัฐบาลอาจห้ามมิให้มีการชุมนุมประท้วงของภาคเอกชนในกรณีที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อประชาชนโดยรวม กฎหมายห้ามมิให้มีการประท้วงและปิดกิจการในรัฐวิสาหกิจ โดยผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุก ปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ

กฎหมายห้ามมิให้เลิกจ้างผู้ที่นัดหยุดงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่อนุญาตให้นายจ้างมีสิทธิที่จะจ้างพนักงานชั่วคราวหรือลูกจ้างรับเหมาค่าแรงมาทำงานแทนได้ ข้อกฎหมายกำหนดไว้ว่า ต้องมีการเรียกประชุมใหญ่สมาชิกสหภาพแรงงานเพื่อขอความเห็นชอบจากที่ประชุมเรื่องที่จะนัดหยุดงาน โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกสหภาพไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ข้อกำหนดดังกล่าวส่งผลจำกัดการนัดหยุดงาน เนื่องจากโรงงานจำนวนมากว่าจ้างคนงานเป็นกะ สมาชิกสหภาพจึงรวมตัวกันเพื่อให้ครบองค์ประชุมได้ยาก

ศาลแรงงานหรือคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์อาจตัดสินเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการให้ออกจากงานหรือการใช้แรงงานอย่างไม่เป็นธรรมได้ และอาจเรียกร้องให้พนักงานหรือผู้นำสหภาพได้รับเงินชดเชยหรือกลับเข้าทำงานโดยได้รับค่าตอบแทนและผลประโยชน์เหมือนเช่นที่เคยได้รับก่อนหน้านั้น คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ประกอบด้วยตัวแทนของนายจ้าง รัฐบาล และกลุ่มลูกจ้าง รวมทั้งผู้พิพากษาสมทบศาลแรงงานซึ่งเป็นตัวแทนของลูกจ้างและนายจ้าง

แรงงานต่างด้าวไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ขึ้นทะเบียนแล้วหรือผู้ที่ไม่มีเอกสารอย่างถูกกฎหมาย ไม่มีสิทธิจัดตั้งสหภาพแรงงานหรือดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ในสหภาพ แรงงานต่างด้าวสามารถเข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานที่จัดตั้งขึ้นและบริหารโดยพลเมืองไทย แต่การมีส่วนร่วมของแรงงานต่างด้าวในสหภาพแรงงานอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากอุปสรรคทางด้านภาษา การขาดความเข้าใจสิทธิของตนภายใต้กฎหมาย การเปลี่ยนงานบ่อยครั้ง ค่าสมาชิก กฎระเบียบของสหภาพแรงงานที่เข้มงวด การแบ่งแยกแรงงานไทยจากแรงงานต่างด้าวตามภาคอุตสาหกรรมและเขตพื้นที่ (โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ชายฝั่งทะเล) และความกลัวว่าจะตกงานเนื่องจากการมีส่วนร่วมในสหภาพ ทั้งนี้ สมาคม องค์กรชุมชน หรือกลุ่มศาสนาที่ไม่ได้จดทะเบียนมักเป็นตัวแทนในการรักษาผลประโยชน์ของแรงงานต่างด้าว ในสถานประกอบการที่ลูกจ้างส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าว บางครั้งแรงงานต่างด้าวจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการสวัสดิการหรือคณะกรรมการลูกจ้าง อย่างไรก็ตาม องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า ข้อเรียกร้องแบบกลุ่มของแรงงานต่างด้าวที่ประสบความสำเร็จในการสร้างความเปลี่ยนแปลงนั้นมีน้อยมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน ตัวอย่างเช่น แรงงานต่างด้าวที่โรงงานแปรรูปเนื้อไก่แห่งหนึ่งนัดหยุดงานเมื่อเดือนมีนาคม หลังจากที่โรงงานปลดคนงานชาวกัมพูชา 32 คนเพื่อตอบโต้ที่คนงานกลุ่มนี้เรียกร้องสภาพการทำงานที่ดีขึ้น

กฎหมายให้ความคุ้มครองพนักงานและสมาชิกสหภาพจากการดำเนินคดีอาญาหรือคดีแพ่งอันเนื่องมาจากการเข้าร่วมการเจรจาต่อรองกับนายจ้าง ริเริ่มการนัดหยุดงาน จัดชุมนุมประท้วง หรืออธิบายข้อขัดแย้งด้านแรงงานต่อสาธารณชน ยกเว้นในกรณีที่กิจกรรมเหล่านี้สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียง

กฎหมายไม่ให้ความคุ้มครองลูกจ้างและสมาชิกสหภาพในความผิดทางอาญาว่าด้วยการสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและมีการใช้ข้อหาหมิ่นประมาทเพื่อข่มขู่สมาชิกสหภาพแรงงานและลูกจ้าง กฎหมายไม่ได้ห้ามการฟ้องร้องคดีที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อควบคุม คุกคาม และปิดปากกระบอกเสียงของลูกจ้างโดยใช้การสู้คดีความทางกฎหมายที่มีค่าใช้จ่ายสูงเป็นเครื่องมือ และมีหลายกรณีที่นายจ้างใช้กลวิธีเหล่านี้ กฎหมายคุ้มครองจำเลยจากการถูกดำเนินคดีในกรณีที่มีการฟ้องหมิ่นประมาทเพื่อกลั่นแกล้งในระดับหนึ่ง และศาลมีอำนาจตามกฎหมายที่จะสั่งยกฟ้องคดีหมิ่นประมาทหากพิจารณาแล้วว่าเป็นการฟ้องโดยไม่สุจริต

การบังคับใช้กฎหมายแรงงานมีความไม่สม่ำเสมอ และบางครั้งก็ไม่มีประสิทธิผลในการให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างที่เข้าร่วมกิจกรรมของสหภาพแรงงาน บทลงโทษรวมถึงโทษจำคุก ปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยเทียบเท่ากับบทลงโทษอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการปฏิเสธสิทธิพลเมือง อย่างไรก็ตาม ทางการมักจะไม่ลงโทษนายจ้างที่ฝ่าฝืนกฎหมายแรงงาน

มีรายงานกรณีที่ลูกจ้างถูกเลิกจ้างเนื่องจากเข้าร่วมกิจกรรมของสหภาพ ทั้งก่อนและหลังจดทะเบียนสหภาพ ผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ตรวจสอบด้านแรงงานระดับจังหวัดพยายามไกล่เกลี่ยกรณีต่าง ๆ อยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้จะมีหลักฐานบ่งชี้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิแรงงานที่ต้องได้รับโทษตามกฎหมายก็ตาม ในบางกรณี ศาลแรงงานสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างเข้าทำงานตามเดิม แม้ในบางครั้งนายจ้างจะไม่ปฏิบัติตาม มีรายงานจากสหภาพแรงงานและองค์กรนอกภาครัฐว่า ภายหลังจากที่มีคำสั่งของศาล นายจ้างพยายามที่จะต่อรองเงื่อนไขในการรับกลับเข้าทำงานด้วยการเสนอให้สิทธิประโยชน์ชดเชยสำหรับผู้ที่สมัครใจลาออก ปฏิเสธไม่ให้ผู้นำสหภาพที่ได้รับกลับเข้าทำงานแล้วเข้ามาในสถานประกอบการ หรือลดตำแหน่งของลูกจ้างให้ไปทำงานที่มีค่าตอบแทนและผลประโยชน์น้อยลง ในบางกรณี ผู้พิพากษาให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายแทนการรับพนักงานกลับเข้าทำงานในกรณีที่นายจ้างหรือพนักงานอ้างว่าตนไม่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างปกติสุข มีเพียง 34 จาก 77 จังหวัดเท่านั้นที่มีการจัดตั้งสหภาพแรงงาน

สหภาพแรงงานและองค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า นายจ้างใช้กลวิธีหลากหลายรูปแบบเพื่อบั่นทอนการรวมตัวกันของสหภาพแรงงานและความพยายามในการเจรจาต่อรองแบบกลุ่มของลูกจ้าง ซึ่งรวมถึงการให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงปฏิบัติงานแทนลูกจ้างที่นัดหยุดงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่กฎหมายอนุญาตให้ทำได้หากลูกจ้างที่นัดหยุดงานยังได้รับค่าจ้างเหมือนเดิม, ยืดเวลาการต่อรองออกไปโดยการไม่ปรากฏตัวในการประชุมคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์หรือส่งตัวแทนที่ไม่มีอำนาจตัดสินใจเข้าร่วมในการต่อรอง, ข่มขู่ผู้นำสหภาพและลูกจ้างที่นัดหยุดงาน, กดดันให้ผู้นำสหภาพและลูกจ้างที่นัดหยุดงานต้องลาออก, ปลดผู้นำสหภาพโดยอ้างเหตุผลทางธุรกิจ การละเมิดกฎของบริษัท หรือการมีทัศนคติทางลบต่อบริษัท, ห้ามลูกจ้างชุมนุมประท้วงในบริเวณสถานประกอบการ, ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงเพื่อขอหมายศาลสั่งห้ามการประท้วง, โยกย้ายผู้นำสหภาพให้ไปทำงานที่สาขาอื่น ทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมคณะกรรมการลูกจ้างหรือคณะกรรมการสวัสดิการได้, โยกย้ายผู้นำสหภาพและลูกจ้างที่นัดหยุดงานให้ไปทำงานในตำแหน่งอื่นที่ไม่น่าพึงใจเท่าเดิม หรือปลดออกจากตำแหน่งบริหาร และสนับสนุนให้มีการก่อตั้งสหภาพมาแข่งขันกับสหภาพเดิม

บางครั้งนายจ้างยื่นฟ้องต่อผู้นำสหภาพและพนักงานที่นัดหยุดงานในความผิดฐานบุกรุกสถานที่ หมิ่นประมาท และทำลายทรัพย์สิน บริษัทเอกชนยังคงดำเนินคดีทางแพ่งและอาญากับองค์กรนอกภาครัฐ สื่อมวลชน และแรงงาน (ดูหมวดที่ 2.ก. หัวข้อ “กฎหมายว่าด้วยการหมิ่นประมาท”) ตั้งแต่ปี 2559 จนถึงเดือนสิงหาคม บริษัทฟาร์มเลี้ยงไก่ธรรมเกษตรในจังหวัดลพบุรีได้ยื่นฟ้องอดีตลูกจ้าง นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิแรงงาน และสื่อมวลชนจำนวน 14 คนในคดีอาญาและคดีแพ่งอย่างน้อย 39 คดีด้วยหลากหลายข้อหา เช่น การหมิ่นประมาทในทางอาญา การขโมยบัตรตอกเวลาทำงาน และอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์

องค์กรนอกภาครัฐและผู้สนับสนุนด้านสิทธิแรงงานรายงานว่า เจ้าหน้าที่ของตนถูกนายจ้างสะกดรอยตามหรือข่มขู่ หลังจากที่มีผู้พบเห็นพวกเขารณรงค์ส่งเสริมสิทธิแรงงาน

ข. การห้ามบังคับใช้แรงงาน

กฎหมายห้ามมิให้บังคับใช้แรงงานทุกรูปแบบ ยกเว้นในกรณีที่ประเทศตกอยู่ในภาวะฉุกเฉิน เกิดสงคราม มีการประกาศกฎอัยการศึก หรือกำลังจะเกิดภัยพิบัติสาธารณะ บทลงโทษในคดีบังคับใช้แรงงานเทียบเท่ากับคดีรุนแรงอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เช่น คดีลักพาตัว การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวของรัฐบาลยังไม่มีประสิทธิผล

ในปี 2562 รัฐบาลแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 5 ปี โดยเพิ่มบทบัญญัติหนึ่งที่กล่าวถึง “การบังคับใช้แรงงานหรือบริการ” โดยเฉพาะ และกำหนดบทลงโทษจำคุกสูงสุดถึง 4 ปี ทั้งนี้ ผู้กระทำผิดอาจได้รับโทษที่รุนแรงยิ่งขึ้นภายใต้กฎหมายเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ซึ่งมีอยู่แต่เดิมหรือในกรณีที่ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส รัฐบาลยังจัดทำแนวปฏิบัติการตามบทบัญญัติใหม่นี้ไม่เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งมีส่วนทำให้ขาดความเข้าใจในแนวทางตีความและดำเนินการตามบทบัญญัตินี้

ยังคงมีรายงานเกี่ยวกับการบังคับใช้แรงงานในภาคการประมงพาณิชย์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง การผลิตเสื้อผ้า การเกษตร อุตสาหกรรมการผลิต งานรับใช้ตามบ้าน และการขอทานตามถนน แรงงานจำนวนมากจ่ายค่าธรรมเนียมที่สูงให้กับนายหน้า สำนักงานจัดหางาน และบุคคลอื่น ทั้งก่อนและหลังเดินทางถึงประเทศไทย บ่อยครั้งนักค้ามนุษย์บังคับใช้แรงงานผู้เสียหายโดยบีบบังคับเพราะผู้อพยพติดหนี้อยู่ ตลอดจนใช้กระบวนการการจ้างงานที่หลอกหลวงแรงงาน การยึดเอกสารประจำตัวและบัตรเอทีเอ็ม การหักค่าจ้างโดยผิดกฎหมาย ความรุนแรงต่อร่างกาย และวิธีการอื่น ๆ คนงานในภาคการแปรรูปอาหารทะเลและภาคการประมงต้องเผชิญกับการบังคับให้ทำงานล่วงเวลามากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นผลจากความต้องการอาหารทะเลที่สามารถเก็บรักษาได้โดยไม่ต้องแช่เย็นเพิ่มมากขึ้นระหว่างการเกิดโรคระบาดใหญ่ และยังต้องเผชิญกับสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัยด้วย

มาตรการจำกัดการเดินทางเนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19 ในปี 2563 และปีที่ผ่านมา จำกัดความสามารถของฝ่ายบังคับใช้กฎหมายในการปฏิบัติงานสอดส่องดูแลและตรวจตราให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ บทลงโทษในคดีบังคับใช้แรงงานเทียบเท่ากับคดีรุนแรงอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เช่น คดีลักพาตัว

องค์กรนอกภาครัฐยอมรับว่า การแสวงหาประโยชน์ด้านแรงงานในรูปแบบที่ร้ายแรงที่สุดลดน้อยลงในภาคการประมง ขณะเดียวกัน ยังคงมีรายงานกรณีการแสวงหาประโยชน์ด้านแรงงานและปัจจัยบ่งชี้ถึงการบังคับใช้แรงงาน อีกทั้งจำนวนลูกเรือที่สูญหายในทะเลยังคงเพิ่มมากขึ้น องค์กรนอกภาครัฐบางแห่งชี้ให้เห็นว่า การบังคับใช้กฎหมายแรงงานยังคงไม่มีความสม่ำเสมอ โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายค่าจ้างไม่เป็นเวลาหรือล่าช้า การหักค่าจ้างโดยผิดกฎหมาย การเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการจัดหางานโดยผิดกฎหมาย การเก็บยึดเอกสาร และการไม่จัดทำสัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษรในภาษาที่แรงงานเข้าใจ (ดูหมวดที่ 7.จ.)

สามารถอ่าน รายงานว่าด้วยการค้ามนุษย์ ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกอบได้ที่ https://www.state.gov/trafficking-in-persons-report/

ค. การห้ามใช้แรงงานเด็กและเกณฑ์อายุต่ำสุดของการจ้างงาน

กฎหมายไม่ได้ให้ความคุ้มครองเด็กจากการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดโดยครอบคลุมทุกรูปแบบ กฎหมายคุ้มครองเด็กจากการค้ามนุษย์ด้านแรงงานและทางเพศ และการให้เด็กกระทำสิ่งผิดกฎหมาย แต่ไม่ได้ห้ามกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ได้อยู่ภายใต้รัฐในการเกณฑ์เด็กไปเป็นทหาร ซึ่งถือว่าไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล กฎหมายกำหนดหลักการการจ้างงานเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี และห้ามการจ้างงานเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี กฎหมายห้ามมิให้ว่าจ้างเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีให้ทำงานใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์โลหะ สารเคมีอันตราย วัสดุมีพิษ กัมมันตรังสี และอุณหภูมิหรือระดับเสียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย การสัมผัสกับจุลินทรีย์ที่เป็นพิษ การใช้อุปกรณ์ที่มีน้ำหนักมาก ตลอดจนการทำงานใต้ดินหรือใต้น้ำ

กฎหมายยังห้ามมิให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีทำงานในสถานที่ที่อันตราย เช่น โรงฆ่าสัตว์ บ่อนการพนัน สถานที่ที่มีการจำหน่ายแอลกอฮอล์ สถานอาบอบนวด สถานบันเทิง เรือประมงทะเล และสถานประกอบการแปรรูปอาหารทะเล ดังนั้น เด็กอายุ 15 ถึง 17 ปีจึงอาจทำ “งานที่บ้าน” ที่เป็นงานเสี่ยงอันตรายได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย (งานที่บ้าน คือ งานที่ผู้จ้างในธุรกิจอุตสาหกรรมมอบหมายให้ลูกจ้างผลิตหรือประกอบในที่อยู่อาศัยของลูกจ้างเองนอกสถานประกอบการ) กฎหมายให้ความคุ้มครองอย่างจำกัดแก่แรงงานเด็กในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการบางภาคส่วน เช่น ภาคการเกษตร งานรับใช้ตามบ้าน และธุรกิจที่บ้าน เด็กที่มีอาชีพอิสระและเด็กที่ทำงานโดยไม่ได้มีความสัมพันธ์ในการจ้างงาน (ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อมีการจัดทำข้อตกลงหรือสัญญา และทำงานแลกกับค่าตอบแทน) ไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน แต่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายคุ้มครองเด็กและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์

ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายคุ้มครองการใช้แรงงานเด็กอาจจะต้องรับโทษจำคุกหรือปรับ บทลงโทษเหล่านี้เทียบเท่ากับคดีรุนแรงอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เช่น คดีลักพาตัว บุพการีที่ศาลตัดสินว่าให้ผู้สืบสันดานทํางานหรือให้บริการเพราะ “เหตุความยากจนเหลือทนทาน” อาจไม่ต้องรับโทษตามกฎหมาย รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดอย่างมีประสิทธิผล แต่ประสบผลสำเร็จน้อยกว่าในด้านบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับเกณฑ์อายุต่ำสุดของการจ้างงานและงานเสี่ยงอันตราย

ในปี 2563 รัฐบาลรายงานว่า กระทรวงแรงงานจัดจ้างพนักงานตรวจแรงงานและล่ามโดยตรงเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเล็กน้อย ระหว่างปี การตรวจสอบแรงงานมุ่งเน้นตรวจสอบท่าเรือหาปลาและสถานประกอบการที่มีความเสี่ยงสูง เช่น โรงงานเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมการแปรรูปกุ้งและอาหารทะเล ฟาร์มสัตว์ปีกและสุกร ร้านรับซ่อมยานยนต์ สถานที่ก่อสร้าง และในภาคธุรกิจบริการ เช่น ร้านอาหาร บาร์คาราโอเกะ โรงแรม และสถานีบริการน้ำมัน การตรวจแรงงานมักอาศัยข้อมูลที่ได้จากภาคีเครือข่ายประชาสังคม อย่างไรก็ดี การตรวจแรงงานมักเกิดขึ้นอย่างไม่สม่ำเสมอ

การให้เด็กเข้าร่วมแข่งขันชกมวยตามขนบไทยดั้งเดิม หรือ “มวยไทย” ยังคงเป็นข้อกังวล เด็กที่เข้าแข่งขันมวยไทย ทั้งที่ได้รับและไม่ได้รับค่าจ้าง ต่างไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายแรงงาน และยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ากฎหมายคุ้มครองเด็กให้ความคุ้มครองแก่เด็กที่ขึ้นชกมวยไทยอย่างเพียงพอ

รัฐบาลและบริษัทภาคเอกชนใช้การตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกและการตรวจสภาพฟันเพื่อระบุผู้สมัครงานที่อาจมีอายุต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตาม การตรวจดังกล่าวไม่ได้ให้ข้อมูลที่แม่นยำเสมอไป พนักงานตรวจแรงงานใช้ข้อมูลจากภาคประชาสังคมในการมุ่งตรวจตราการใช้แรงงานเด็กและการบังคับใช้แรงงาน

ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงานประดาน้ำของ กสร. มีผลบังคับใช้เมื่อปี 2563 โดยกำหนดเกณฑ์อายุขั้นต่ำของลูกจ้างซึ่งทำงานประดาน้ำที่ 18 ปี

กสร. เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบด้านการบังคับใช้กฎหมายและนโยบายว่าด้วยแรงงานเด็ก องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า พนักงานตรวจแรงงานของ กสร. มักจะส่งต่อกรณีการละเมิดกฎหมายแรงงานเด็กให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายสืบสวนและดำเนินคดีต่อไป และยังระบุด้วยว่า ครอบครัวที่มีเด็กเป็นผู้เสียหายคดีค้ามนุษย์หรือบังคับใช้แรงงานได้รับความช่วยเหลือในระดับหนึ่ง แต่เด็กที่ทำงานโดยขัดต่อกฎหมายแรงงานเด็กข้ออื่น ๆ (เกณฑ์อายุต่ำสุดของการจ้างงานและงานเสี่ยงอันตราย) แทบจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ

องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า เด็กบางส่วนจากประเทศไทย พม่า กัมพูชา ลาว และชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ ทำงานในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการและธุรกิจขนาดเล็ก รวมทั้งการทำไร่ทำนา ธุรกิจที่บ้าน ร้านอาหาร การขายอาหารตามข้างถนน บริการเกี่ยวกับรถยนต์ การแปรรูปอาหาร งานก่อสร้าง งานรับใช้ตามบ้าน และการขอทาน เด็กบางคนถูกบังคับให้ค้าประเวณี ปรากฏตัวในสื่อลามกอนาจาร ขอทาน รวมทั้งผลิตและค้ายาเสพติด

ในเดือนมีนาคม กระทรวงแรงงานลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับร่วมกับ 13 องค์กรผู้แทนจากภาคอุตสาหกรรมอาหารทะเล เครื่องนุ่งห่ม และอ้อย วัตถุประสงค์หลักของบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับนี้คือ เพื่อเสริมสร้างความตระหนักรู้แก่สาธารณชน และเพื่อสร้างระบบกำกับดูแลตนเองสำหรับสมาคมภาคอุตสาหกรรมในการเฝ้าระวังและขจัดปัญหานี้

กสร. รายงานว่า ในปี 2563 มีการฟ้องร้องคดีอาญาเกี่ยวกับการกระทำผิดด้านแรงงานเด็ก 24 คดี โดยมีผู้กระทำความผิด 50 คน ในจำนวนนี้ 7 คดีตัดสินลงโทษปรับ ส่วนอีก 17 คดียังอยู่ระหว่างสอบสวนหรืออยู่ในขั้นตอนการพิจารณาคดี การละเมิดแรงงานเด็กที่พบบ่อยที่สุดคือ นายจ้างไม่ได้รายงานการว่าจ้างแรงงานอายุระหว่าง 15-18 ปี อนุญาตให้มีการใช้แรงงานเด็กระหว่างช่วงเวลาที่กฎหมายห้าม จ้างงานเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี และปล่อยให้เด็กทำงานในสถานประกอบการที่กฎหมายไม่อนุญาต เช่น บ่อนการพนัน

ผู้สังเกตการณ์ตั้งข้อสังเกตว่า มีปัจจัยหลายประการที่ทำให้การบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยแรงงานเด็กมีประสิทธิผลจำกัด เช่น พนักงานตรวจแรงงานมีจำนวนไม่เพียงพอ ล่ามสำหรับการตรวจแรงงานมีจำนวนไม่เพียงพอ วิธีการตรวจสอบไม่มีประสิทธิผล (โดยเฉพาะวิธีการสำหรับสถานประกอบการที่เข้าถึงได้ยาก เช่น บ้านพักส่วนบุคคล สถานประกอบธุรกิจครอบครัวขนาดเล็ก ฟาร์ม และเรือประมง) และแรงงานต่างด้าวที่เป็นผู้เยาว์จากประเทศเพื่อนบ้านไม่มีเอกสารประจำตัวที่ทางการออกให้

ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มาตรการจำกัดการเดินทางสืบเนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19 จำกัดความสามารถของพนักงานตรวจแรงงานในการปฏิบัติงานตรวจแรงงาน องค์กรนอกภาครัฐยังรายงานว่า ไม่มีการคุ้มครองผู้เสียหายจากการใช้แรงงานเด็กอย่างเพียงพอ ซึ่งรวมไปถึงการขาดความช่วยเหลือทางกฎหมายในการเรียกร้องสินไหมชดเชยและค่าเสียหาย กลไกการคุ้มครองและให้คำปรึกษา ตลอดจนการส่งตัวกลับประเทศอย่างปลอดภัย (โดยเฉพาะเด็กที่เป็นบุคคลต่างด้าว) โดยระบุว่า แม้จะมีกลไกต่าง ๆ ที่ชัดเจนในการคุ้มครองและส่งผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ที่เป็นเด็กกลับประเทศ แต่กลับไม่มีกลไกดังกล่าวสำหรับผู้เสียหายจากการใช้แรงงานเด็ก นอกจากนี้ การขาดความตระหนักรู้ของสาธารณชนเกี่ยวกับกฎหมายและมาตรฐานแรงงานเด็กก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นเดียวกัน

เมื่อปี 2562 รัฐบาลตีพิมพ์รายงานผลสำรวจการทำงานของเด็กในประเทศไทยเล่มแรก โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยที่สัมพันธ์กับแนวปฏิบัติสากล การสำรวจดังกล่าวเป็นผลจากความร่วมมือระหว่างกระทรวงแรงงาน สํานักงานสถิติแห่งชาติ และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ รายงานฉบับนี้เปิดเผยว่า ร้อยละ 3.9 ของเด็กอายุ 5 ถึง 17 ปีจำนวน 10.5 ล้านคนเป็นเด็กที่ทำงาน ซึ่งในจำนวนนี้ ร้อยละ 1.7 เป็นแรงงานเด็ก (เด็กที่ทำงานโดยถูกแสวงประโยชน์) โดยแบ่งแยกย่อยได้เป็นร้อยละ 1.3 ที่ทำงานเสี่ยงอันตราย และอีกร้อยละ 0.4 ที่ทำงานที่ไม่เสี่ยงอันตราย แรงงานเด็กส่วนใหญ่ทำงานเสี่ยงอันตรายในครัวเรือนหรือธุรกิจครอบครัว (ร้อยละ 55), ภาคการเกษตร (ร้อยละ 56), ธุรกิจบริการ (ร้อยละ 23) และภาคการผลิต (ร้อยละ 20) สัดส่วนแรงงานเด็กเป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง และมากกว่าครึ่งของแรงงานเด็กไม่ได้เข้าศึกษาในโรงเรียน จากลักษณะการทำงานอันตราย 3 ประเภทแรก ร้อยละ 22 เกี่ยวข้องกับการยกของหนัก, ร้อยละ 8 เป็นการทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีความร้อนจัด เย็นจัด และเสียงดังหรือทำงานในเวลากลางคืน และร้อยละ 7 ทำงานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีอันตรายและสารพิษ

สามารถอ่าน รายงานผลการสำรวจรูปแบบการใช้แรงงานเด็กที่เลวร้ายที่สุด ประกอบได้ที่ https://www.dol.gov/agencies/ilab/resources/reports/child-labor/findings และอ่าน บัญชีรายชื่อสินค้าที่ผลิตโดยการใช้แรงงานเด็กหรือแรงงานบังคับ ประกอบได้ที่ https://www.dol.gov/agencies/ilab/reports/child-labor/list-of-goods เอกสารทั้งสองฉบับจัดทำโดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ

ง. การเลือกปฏิบัติเกี่ยวกับการจ้างงานและอาชีพ

กฎหมายแรงงานไม่ได้ระบุห้ามการเลือกปฏิบัติในสถานที่ทำงานไว้โดยชัดแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติ ศาสนา มาตุภูมิ สีผิว ชาติพันธุ์ ความทุพพลภาพ อายุ วิถีทางเพศ หรือสถานะการติดเชื้อเอชไอวี แต่กำหนดให้ลงโทษจำคุกหรือปรับผู้ที่เลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศ ซึ่งรวมถึงการตัดสินใจจ้างงานด้วย บทลงโทษสำหรับความผิดฐานเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศเทียบเท่ากับคดีสิทธิพลเมือง แต่รัฐบาลไม่ได้บังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติที่มีขอบเขตจำกัดอย่างมีประสิทธิผล กฎหมายกำหนดให้สถานประกอบการที่มีพนักงานมากกว่า 100 คนจ้างลูกจ้างที่มีภาวะทุพพลภาพอย่างน้อย 1 คนต่อสัดส่วนลูกจ้างทุก 100 คน กฎหมายห้ามไม่ให้ผู้หญิงทำงานใต้ดิน ในเหมือง ก่อสร้างใต้น้ำ บนนั่งร้านซึ่งสูงกว่า 33 ฟุต และผลิตหรือขนส่งวัตถุระเบิดหรือไวไฟ

การเลือกปฏิบัติเกี่ยวกับการจ้างงานเกิดขึ้นกับกลุ่ม LGBTQI+ สตรี และแรงงานต่างด้าว (ดูหมวดที่ 7.จ.) ระเบียบข้อบังคับทางราชการกำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าแรงและผลประโยชน์แก่ลูกจ้างที่ทำงานเหมือนกันอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่คำนึงว่าเป็นเพศใด ผู้นำสหภาพแรงงานระบุว่า โดยทั่วไปแล้ว ความแตกต่างของค่าจ้างระหว่างผู้ชายและผู้หญิงมีน้อย และสาเหตุหลักมาจากทักษะ ระยะเวลาการจ้างงาน ประเภทงานที่ไม่เหมือนกัน รวมไปถึงข้อกำหนดตามกฎหมายที่ห้ามมิให้ผู้หญิงทำงานที่อันตราย ระหว่างปี มีรายงานว่าบริษัทหลายแห่งจงใจให้พนักงานหญิงที่ตั้งครรภ์ออกจากงาน

โรงเรียนนายร้อยตำรวจไม่รับผู้หญิงเข้าศึกษา นโยบายดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าเป็นการกระทำที่เลือกปฏิบัติและเป็นผลเสียต่อศักยภาพของกองกำลังตำรวจในการตรวจสอบกรณีการละเมิดแรงงานหญิง

มีการเลือกปฏิบัติต่อคนทุพพลภาพในเรื่องการจ้างงาน การเข้าถึงงาน และการฝึกอบรม เมื่อปี 2563 กลุ่มผู้สนับสนุนด้านสิทธิของคนทุพพลภาพยื่นข้อร้องเรียนกรณีการยักยอกทรัพย์และการหักค่าจ้างของลูกจ้างผู้พิการโดยผิดกฎหมาย ในเดือนธันวาคม 2563 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพบว่า จำเลยทั้งหมดมีความผิด และตัดสินลงโทษจำคุก 50 ปี

กลุ่ม LGBTQI+ มักเผชิญกับการถูกเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน ส่วนหนึ่งเพราะอคติของคนทั่วไปและการไม่มีกฎหมายและนโยบายมารองรับเรื่องการเลือกปฏิบัติ มีรายงานว่าพนักงานที่เป็นบุคคลข้ามเพศต้องเผชิญกับข้อจำกัดหลายประการมากกว่าที่กล่าวมาข้างต้น และทำงานจำกัดอยู่ในสาขาอาชีพเพียงไม่กี่สาขา เช่น ธุรกิจความงามและความบันเทิง

จ. สภาพการทำงานที่ยอมรับได้

กฎหมายเกี่ยวกับค่าจ้างและชั่วโมงการทำงาน: ค่าแรงขั้นต่ำแตกต่างกันตามแต่ละจังหวัด โดยมีอัตราสูงกว่าเส้นแบ่งความยากจนที่รัฐบาลคำนวณไว้ในทุกจังหวัด และไม่ได้บังคับใช้กับลูกจ้างที่ทำงานในหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ งานรับใช้ตามบ้าน และงานเกษตรกรรมตามฤดูกาล กฎกระทรวงให้ความคุ้มครองบางประการแก่แรงงานรับใช้ตามบ้านในเรื่องเกี่ยวกับวันลา อายุขั้นต่ำ และการจ่ายค่าแรง แต่ไม่ได้กล่าวถึงค่าแรงขั้นต่ำ ชั่วโมงทำงานปกติ ประกันสังคม หรือการลาคลอด

กฎหมายกำหนดเวลาทำงานสูงสุดต่อสัปดาห์ คือ 48 ชั่วโมง หรือ 8 ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลา 6 วัน และทำงานล่วงเวลาได้ไม่เกิน 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ลูกจ้างที่ต้องทำงาน “อันตราย” เช่น ในอุตสาหกรรมเคมี อุตสาหกรรมเหมืองแร่ หรืออุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับเครื่องจักรหนัก ห้ามทำงานเกิน 42 ชั่วโมงต่อสัปดาห์และห้ามทำงานล่วงเวลา พนักงานในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีห้ามทำงานเกิน 12 ชั่วโมงต่อ 1 วัน และทำงานต่อเนื่องได้ไม่เกิน 28 วัน

กฎหมายกำหนดโทษปรับและโทษจำคุกหากนายจ้างไม่จ่ายค่าแรงขั้นต่ำตามที่กำหนด บทลงโทษสำหรับความผิดดังกล่าวเทียบเท่าหรือสูงกว่าคดีลักษณะคล้ายคลึงกัน เช่น คดีฉ้อโกง รัฐบาลไม่ได้บังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับค่าแรงขั้นต่ำ ค่าล่วงเวลา และค่าจ้างสำหรับวันหยุดอย่างมีประสิทธิผล ทั้งในบริษัทขนาดเล็ก พื้นที่บางแห่ง (โดยเฉพาะพื้นที่ชนบทหรือบริเวณชายแดน) หรืออุตสาหกรรมบางประเภท (โดยเฉพาะภาคการเกษตร ก่อสร้าง และประมงน้ำเค็ม)

กสร. บังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับค่าจ้าง ชั่วโมงการทำงาน แรงงานสัมพันธ์ และความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงาน พนักงานตรวจแรงงานมีอำนาจในการเข้าตรวจสอบสถานที่ทำงานโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า รวมทั้งสามารถออกคำสั่งให้นายจ้างปฏิบัติตามกฎหมายได้ หากนายจ้างไม่ปฏิบัติตามภายในเวลาที่กำหนด พนักงานตรวจแรงงานมีหน้าที่ส่งต่อกรณีนั้น ๆ เพื่อดำเนินคดีทางอาญาต่อไป มีพนักงานตรวจแรงงานไม่พอสำหรับการบังคับใช้กฎหมาย

ในปี 2561 กสร. มีคำสั่งไปยังสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด ห้ามพนักงานตรวจแรงงานระงับข้อพิพาทในกรณีที่ลูกจ้างได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตาม มีรายงานจำนวนมากระบุว่า ระหว่างปี มีคดีการไม่จ่ายค่าแรงขั้นต่ำที่เข้าสู่ขั้นตอนการระงับข้อพิพาท และคนงานตกลงยอมรับค่าแรงที่นายจ้างติดค้างไว้ ซึ่งต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำรายวัน แม้จะมีบทลงโทษกำหนดไว้สำหรับกรณีฝ่าฝืนก็ตาม องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า คนงานตามสัญญาจ้างในภาครัฐได้รับค่าจ้างต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำ

ผู้นำสหภาพเสนอแนะว่า พนักงานตรวจแรงงานควรตรวจสอบสถานประกอบการในเชิงรุกมากกว่าที่จะตรวจสอบเอกสารแบบพอเป็นพิธี ด้วยผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโรคโควิด-19 ผู้นำสหภาพแรงงานประมาณว่า มีลูกจ้างที่ถูกให้ออกจากงานเกือบ 1 ล้านคน และจำนวนมากไม่ได้รับเงินชดเชยหรือการแจ้งล่วงหน้าตามที่กฎหมายกำหนด โดยเฉพาะคนงานตามสัญญาจ้างและแรงงานต่างด้าว

ในเดือนมีนาคม ทางการมีคำสั่งให้บริษัท บริลเลียนท์ อัลไลแอนซ์ ไทย โกลบอล ผู้ประกอบกิจการผลิตชุดชั้นในและหนึ่งในผู้จัดหาสินค้าของวิคตอเรีย ซีเคร็ท (Victoria Secret) และเลน ไบรอันต์ (Lane Bryant) จ่ายค่าชดเชยรวม 242 ล้านบาท (7.81 ล้านเหรียญสหรัฐ) ให้แก่ลูกจ้าง 1,200 คนภายในเวลา 30 วัน หากไม่ดำเนินการจะถูกฟ้องร้องคดีอาญาฐานไม่จ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างคงค้างแก่พนักงาน หลังโรงงานปิดตัวลงเนื่องจากความสูญเสียทางการเงินอันเป็นผลจากโรคระบาดใหญ่โควิด-19 จนถึงเดือนธันวาคม บริษัทยังคงไม่จ่ายค่าชดเชย

ในปี 2562 สหภาพแรงงานประมาณว่า ร้อยละ 5-10 ของลูกจ้างได้รับค่าจ้างต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำ โดยสัดส่วนของแรงงานที่ได้รับค่าจ้างน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำน่าจะมีสูงกว่าในกลุ่มของแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนและในบริเวณชายแดน แรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนไม่ค่อยขอรับการเยียวยาตามกฎหมาย เนื่องจากขาดสถานภาพทางกฎหมายและกลัวว่าจะขาดรายได้เลี้ยงชีพ

หลายบริษัทใช้ “ระบบสัญญาจ้างเหมางาน” โดยคนงานจะเซ็นสัญญาจ้างกับนายหน้าจัดหาแรงงาน กฎหมายกำหนดให้บริษัทต้องให้ “ผลประโยชน์และสวัสดิการอย่างยุติธรรมโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ” แก่คนงานที่ทำสัญญาเหมา อย่างไรก็ดี นายจ้างมักจะจ่ายค่าจ้างแก่คนงานที่ทำสัญญาเหมาน้อยกว่าและให้สวัสดิการน้อยกว่าหรือไม่ให้เลย

อาชีวอนามัยและความปลอดภัย: กฎหมายกำหนดให้สถานประกอบการ ซึ่งรวมถึงธุรกิจที่บ้าน ต้องมีความปลอดภัยและถูกสุขอนามัย รวมถึงกำหนดแนวปฏิบัติด้านความปลอดภัยที่เหมาะสมตามมาตรฐานอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติตามแนวปฏิบัติดังกล่าวเป็นไปตามความสมัครใจและไม่สามารถใช้บังคับได้ กฎหมายห้ามสตรีมีครรภ์และเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีทำงานในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตราย นอกจากนี้ ยังกำหนดให้นายจ้างแจ้งลูกจ้างถึงสภาพการทำงานที่เป็นอันตรายตั้งแต่ก่อนจ้างงาน ทว่า ลูกจ้างไม่มีสิทธิพาตัวเองออกจากสถานการณ์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือความปลอดภัยโดยไม่เกิดความเสี่ยงต่อหน้าที่การงาน

การละเมิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับอาชีวอนามัยและความปลอดภัยมีบทลงโทษคือจำคุกและปรับ บทลงโทษสำหรับความผิดดังกล่าวเทียบเท่าหรือสูงกว่าคดีลักษณะคล้ายคลึงกัน เช่น คดีประมาทเลินเล่อ อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้เชี่ยวชาญและการตรวจสอบด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยยังไม่เพียงพอ การตรวจสอบส่วนใหญ่เกิดขึ้นหลังจากมีผู้ร้องเรียน รัฐบาลไม่ได้บังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับอาชีวอนามัยและความปลอดภัยอย่างมีประสิทธิผล

ในปี 2563 ผู้นำสหภาพประมาณการว่า สถานประกอบการเพียงร้อยละ 20 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดใหญ่ของบริษัทต่างประเทศ ปฏิบัติตามมาตรฐานอาชีวอนามัยและความปลอดภัยของรัฐ วิธีปฏิบัติและการฝึกอบรมเกี่ยวกับความปลอดภัยในที่ทำงานส่วนใหญ่เป็นภาษาไทย ซึ่งมีแนวโน้มส่งผลให้อัตราการเกิดอุบัติเหตุในแรงงานต่างด้าวสูงกว่าแรงงานไทย โรงงานขนาดกลางและขนาดใหญ่มักดำเนินการตามมาตรฐานด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยที่ทางการกำหนด แต่การบังคับใช้มาตรฐานด้านความปลอดภัยโดยรวมยังไม่เข้มงวด โดยเฉพาะในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการและธุรกิจขนาดเล็ก องค์กรนอกภาครัฐและผู้นำสหภาพตั้งข้อสังเกตว่า ปัจจัยที่ทำให้การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวไม่มีประสิทธิผล ได้แก่ จำนวนพนักงานตรวจแรงงานที่มีคุณภาพมีไม่เพียงพอ ใช้วิธีตรวจสอบเอกสารมากเกินไป (แทนที่จะตรวจสอบสถานประกอบการ) ไม่มีการคุ้มครองแรงงานที่ยื่นคำร้องทุกข์ ไม่มีล่าม และไม่สามารถลงโทษนายจ้างที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิผล

กฎกระทรวงแรงงานจัดให้มีโครงการกองทุนเงินทดแทนครอบคลุมอุบัติเหตุและการบาดเจ็บในสถานประกอบการ แต่ไม่ครอบคลุมถึงแรงงานค้าเร่แผงลอยและแรงงานรับใช้ตามบ้าน ผู้นำสหภาพแรงงานรายงานว่า แรงงานมักไม่ได้รับเงินทดแทนสำหรับการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เนื่องจากการพิสูจน์ความเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพและสถานประกอบการนั้นมักจะเป็นเรื่องยาก

ในปี 2563 (ซึ่งเป็นปีที่มีข้อมูลล่าสุด) มีรายงานการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยในสถานประกอบการ 85,533 ครั้ง จากจำนวนดังกล่าว ร้อยละ 1.9 ส่งผลให้สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต สำนักงานประกันสังคม (สปส.) รายงานว่า อุบัติเหตุในสถานประกอบการที่ร้ายแรงส่วนใหญ่เกิดขึ้นในโรงงานผลิต อุตสาหกรรมการค้าส่งและปลีก การก่อสร้าง และการคมนาคม นอกจากนี้ สปส. ยังรายงานว่า คำสั่งจำกัดการเคลื่อนย้ายและดำเนินกิจกรรมของบุคคล (ล็อกดาวน์) ช่วงปี 2563 และ 2564 ส่งผลควบคุมจำนวนผู้เจ็บป่วยด้วยโรคอันเนื่องมาจากการทำงานระหว่างเกิดโรคระบาดใหญ่ คำสั่งเหล่านี้สนับสนุนให้ประชาชนทำงานทางไกล ทั้งยังจำกัดจำนวนผู้ปฏิบัติงานในสำนักงาน ตลอดจนจำกัดการเดินทางข้ามจังหวัด

พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานในงานประมง พ.ศ. 2562 กำหนดให้แรงงานภาคอุตสาหกรรมประมงสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ด้านการดูแลสุขภาพและประกันสังคม อีกทั้งกำหนดให้เรือประมงบางประเภทต้องจัดสภาพความเป็นอยู่ที่เหมาะสมให้แก่แรงงาน จนถึงเดือนกันยายน ระเบียบข้อบังคับหลักเกี่ยวกับชั่วโมงการทำงานและเกณฑ์จำกัดอายุยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา ข้อกำหนดของรัฐในปัจจุบันมีไว้เพื่อกำหนดให้แรงงานประมงต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนซื้อประกันสุขภาพ และให้เจ้าของเรือประมงสมทบเงินเข้าสู่กองทุนเงินทดแทน แรงงานประมงต่างด้าวที่ถือบัตรผ่านแดนมีสิทธิได้รับค่าชดเชยอุบัติเหตุ ปัจจัยที่เพิ่มความเปราะบางของแรงงานประมง ได้แก่ การขาดแคลนทั้งการตรวจสอบด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ชุดปฐมพยาบาล ตลอดจนการฝึกอบรมด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยด้วยภาษาของแรงงานต่างด้าว

ระหว่างปี องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า มีหลายกรณีที่กองทัพเรือได้ช่วยเหลือแรงงานประมงที่ประสบอุบัติเหตุในทะเล ในปี 2563 องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า มีกรณีแรงงานประมงพลัดตกจากเรือหาปลา 106 กรณี โดยแรงงาน 63 คนยังคง “สูญหาย” ซึ่งเป็นจำนวนมากกว่าตัวเลขเมื่อปี 2562 เกือบสองเท่า กรณีเหล่านี้คิดเป็นร้อยละ 51 ของอุบัติเหตุทั้งหมด (204 กรณี) ที่เกิดกับแรงงานประมงในปี 2563 จากการสำรวจขององค์กรนอกภาครัฐแห่งหนึ่ง พบว่า ประมาณ 9 ใน 10 ของแรงงานต่างด้าวที่ทำงานบนเรือประมงในประเทศไทยไม่ได้นำเอกสารสัญญาไปแปลหรือไม่ได้ขอให้อธิบายสัญญาเป็นภาษาที่ตนเข้าใจได้

กรมการจัดหางานออกกฎจำกัดค่าธรรมเนียมสูงสุดในการจัดหางาน ทว่า การบังคับใช้ระเบียบดังกล่าวยังขาดประสิทธิผล เนื่องจากขาดเอกสารหลักฐานทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดหางานใต้ดิน ค่าธรรมเนียมเอกสาร ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการอพยพ สำนักงานจัดหางานที่แสวงหาผลประโยชน์จากพลเมืองไทยที่ทำงานในต่างประเทศยังคงคิดค่าธรรมเนียมการจัดหางานเป็นจำนวนเงินที่ผิดกฎหมาย องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า คนงานมักกู้ยืมเงินในอัตราดอกเบี้ยสูงจากเจ้าหนี้นอกระบบเพื่อนำไปจ่ายค่าหัวคิว

ภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ: สถิติของรัฐระบุว่า ร้อยละ 54 ของแรงงานทำงานอยู่ในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการในปี 2563 โดยได้รับความคุ้มครองอย่างจำกัดภายใต้กฎหมายแรงงานและระบบประกันสังคม ประเทศไทยมีโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้แก่พลเมืองทุกคน และมีกองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนเพื่อคุ้มครองลูกจ้างในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย อีกทั้งมีสิทธิประโยชน์สำหรับการตั้งครรภ์ ภาวะทุพพลภาพ การเสียชีวิต การช่วยเหลือผู้มีบุตร การว่างงาน และเกษียณอายุ แรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียน ตลอดจนผู้อยู่ในอุปการะ ทั้งในภาคเศรษฐกิจที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการมีสิทธิซื้อประกันสุขภาพจากกระทรวงสาธารณสุข

องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า คนงานก่อสร้างจำนวนมาก โดยเฉพาะลูกจ้างรับเหมาค่าแรงและแรงงานต่างด้าว ไม่มีชื่อในระบบประกันสังคม หรือไม่ได้รับการคุ้มครองจากโครงการกองทุนเงินทดแทน เพราะนายจ้างไม่ได้ขึ้นทะเบียนลูกจ้างเหล่านี้หรือไม่ได้จ่ายเงินเข้าไปในระบบประกันสังคม

แรงงานของแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งให้บริการส่งของ เช่น “แกร็บ” (Grab) และ “ไลน์” (Line) ไม่ได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายแรงงาน เพราะถือว่าเป็น “พาร์ทเนอร์” ไม่ใช่ลูกจ้าง ในช่วงเกิดโรคระบาดใหญ่ ความต้องการแรงงานส่งของเพิ่มสูงขึ้น และอาชีพนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่อาชีพที่เหลืออยู่สำหรับแรงงานค่าแรงต่ำ