รายงานสรุป
ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ปัจจุบันมีพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 10) ทรงดำรงตำแหน่งองค์พระประมุข ในวันที่ 24 มีนาคม ประเทศไทยได้จัดการเลือกตั้งทั่วประเทศขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งนำโดยคณะรัฐประหาร เข้ามาบริหารประเทศเป็นเวลา 5 ปี พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก คสช. และพรรคร่วมสนับสนุนอีก 18 พรรคชนะเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร และในเดือนมิถุนายนได้เลือกให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นหัวหน้า คสช. ผู้นำคณะรัฐประหาร พ.ศ. 2557 และนายทหารชั้นยศนายพลที่เกษียณอายุแล้ว ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อ การเลือกตั้งโดยทั่วไปเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย มีการรายงานความผิดปกติเล็กน้อย แม้จะมีการตั้งข้อสังเกตว่า การจำกัดสิทธิในการหาเสียงเลือกตั้งและการใช้ข้อบังคับเพียงบางส่วนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง เอื้อประโยชน์ให้กับพรรคที่สนับสนุนพรรคพลังประชารัฐก็ตาม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกองบัญชาการกองทัพไทยมีหน้าที่รับผิดชอบร่วมกันในการบังคับใช้กฎหมายและรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติขึ้นตรงต่อสำนักนายกรัฐมนตรี และกองบัญชาการกองทัพไทยขึ้นตรงต่อกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนมีอำนาจและหน้าที่รับผิดชอบพิเศษในพื้นที่ชายแดนเพื่อปราบปรามการก่อความไม่สงบ แม้ว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนจะได้รับอำนาจกลับคืนมามากขึ้นหลังการเลือกตั้ง แต่ยังคงไม่มีอำนาจเต็มในการกำกับดูแลหน่วยงานด้านความมั่นคง
ปัญหาสิทธิมนุษยชนที่สำคัญมีดังนี้ คือ การสังหารที่ผิดกฎหมายหรือตามอำเภอใจโดยรัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล การบังคับบุคคลให้สูญหายโดยหรือในนามของรัฐบาล การทรมานโดยเจ้าหน้าที่ของทางการ การจับกุมและคุมขังโดยพลการโดยเจ้าหน้าที่รัฐ นักโทษการเมือง การแทรกแซงทางการเมืองโดยฝ่ายตุลาการ การตรวจสอบสื่อก่อนเผยแพร่ การปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์และกฎหมายหมิ่นประมาททางอาญา การแทรกแซงสิทธิในการชุมนุมอย่างสงบและเสรีภาพในการสมาคม รวมถึงการคุกคามและกระทำรุนแรงเป็นครั้งคราวต่อนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนและผู้ที่วิจารณ์รัฐบาล การส่งกลับผู้ลี้ภัยที่เผชิญภัยอันตรายต่อชีวิตหรือเสรีภาพ การจำกัดการมีส่วนร่วมการทางการเมือง การกระทำทุจริตอย่างร้ายแรง และการบังคับใช้แรงงานเด็ก
ทางการได้ดำเนินขั้นตอนการสืบสวนสอบสวนและลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตาม การที่เจ้าหน้าที่ได้รับการยกเว้นจากการถูกลงโทษยังคงเป็นปัญหาอยู่ โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่กฎอัยการศึก พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายใน พ.ศ. 2551 ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ในบางอำเภอ
กระทรวงกลาโหมกำหนดให้ข้าราชการทหารเข้ารับการอบรมเรื่องสิทธิมนุษยชน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดให้นักเรียนนายร้อยตำรวจทุกคนที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจต้องลงเรียนวิชากฎหมายสิทธิมนุษยชน
ผู้ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงละเมิดสิทธิมนุษยชนและโจมตีฝ่ายความมั่นคงของรัฐและเป้าหมายที่เป็นพลเรือน
หมวดที่ 1. การเคารพบูรณภาพแห่งบุคคล อันรวมถึงการปลอดจาก:
ก. การสังหารตามอำเภอใจหรือการสังหารที่ผิดกฎหมายหรือมีเหตุจูงใจทางการเมือง
มีรายงานจำนวนมากระบุว่ารัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐสังหารตามอำเภอใจหรือผิดกฎหมาย สำนักการสอบสวนและนิติการ กระทรวงมหาดไทย รายงานว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ซึ่งได้แก่ ตำรวจ ทหาร และเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นๆ ได้สังหารผู้ต้องสงสัย 39 ราย ขณะดำเนินการจับกุมระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2561 ถึงวันที่ 25 กันยายน 2562 อันเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ถึงกว่า 3 เท่า ทางการระบุว่าจำนวนที่เพิ่มขึ้นมีสาเหตุมาจากการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงกับผู้ค้ายาติดอาวุธทางตอนเหนือของประเทศ ซึ่งมักจะอยู่ตามแนวชายแดนพม่า
คดีสังหารตามอำเภอใจหรือผิดกฎหมายหลายคดีก่อนหน้านี้ยังคงไม่รับการคลี่คลาย อัยการจังหวัดเชียงใหม่ยังไม่ได้ฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ทหารที่ถูกกล่าวหาว่ายิงนายชัยภูมิ ป่าแส เยาวชนนักกิจกรรมชาวลาหู่ผู้มีชื่อเสียง เสียชีวิตในปี 2560 และในเดือนพฤษภาคม ครอบครัวของนายชัยภูมิยื่นฟ้องคดีแพ่งเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากกองทัพบกไทย ในเดือนมิถุนายน 2561 ศาลจังหวัดเชียงใหม่พบว่านายชัยภูมิเสียชีวิตจากการถูกยิง และส่งต่อคดีให้กับอัยการเพื่อระบุความรับผิด ซึ่งทำให้คดีล่าช้า ญาติและทนายของนายชัยภูมิปฏิเสธว่า นายชัยภูมิใช้ความรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ทหาร เรียกร้องให้กองทัพไทยเปิดเผยภาพจากกล้องวงจรปิดที่ด่านตรวจซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ และเรียกร้องให้มีการตรวจสอบหาความจริงของเหตุการณ์นี้อย่างโปร่งใสและถี่ถ้วน
มีรายงานการสังหารที่กระทำโดยทั้งรัฐบาลและฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ดูหมวดที่ 1.ช.)
ข. การหายสาบสูญ
ไม่มีรายงานอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการหายสาบสูญโดยหรือในนามของเจ้าหน้าที่รัฐตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนกันยายน อย่างไรก็ตาม องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและในประเทศกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่รัฐสมรู้ร่วมคิดในการหายสาบสูญของผู้เห็นต่างชาวไทยจำนวน 3 คนในเดือนพฤษภาคม นายชูชีพ ชีวะสุทธิ์ นายสยาม ธีรวุฒิ และนายกฤษณะ ทัพไทย ซึ่งถูกกล่าวหาว่าละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (กฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ) หนีไปประเทศลาวหลังเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2557 และมีรายงานว่าข้ามไปฝั่งเวียดนามเมื่อต้นปีนี้ กองกำลังป้องกันชายแดนของเวียดนามรายงานว่าได้ส่งตัวพวกเขากลับประเทศไทย แต่พวกเขายังคงสูญหาย และเจ้าหน้าที่ทางการไทยปฏิเสธว่ารู้ตำแหน่งที่อยู่ของคนเหล่านี้ ผู้เห็นต่างทั้งสามคนเดินทางออกจากประเทศลาวหลังจากเมื่อเดือนธันวาคม 2561 มีการพบชิ้นส่วนศพของภูชนะและกาสะลอง สองคนสนิทของนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ นักเคลื่อนไหวผู้ต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ริมแม่น้ำโขงทางฝั่งลาว ในปัจจุบัน นายสุรชัยยังคงหายสาบสูญ ในเดือนมกราคม เจ้าหน้าที่ทางการไทยประกาศแผนการที่จะตรวจสอบหาความจริงเกี่ยวกับการสังหารบุคคลเหล่านี้ แต่ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าบังคับให้สูญหายและฆาตกรรม ตำรวจยังไม่ได้รายงานความคืบหน้าในการสืบสวน
แม้ว่าคดีส่วนใหญ่จากปีก่อนๆ ยังคงไม่ได้รับการคลี่คลาย แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กระทรวงยุติธรรม ประกาศในวันที่ 4 กันยายนว่าพบกระดูกของนายพอละจี “บิลลี่” รักจงเจริญ นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยงที่หายตัวไปตั้งแต่ปี 2557 นายพอละจีหายตัวไปในจังหวัดเพชรบุรีหลังถูกคุมตัวที่ด่านตรวจในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และถูกซักถามเกี่ยวกับการมีน้ำผึ้งป่าไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย จากผลของการสืบสวน พบว่านายพอละจีถูกทรมานและฆาตกรรม จากนั้นศพถูกนำไปเผาและใส่ไว้ในถังน้ำมันถ่วงน้ำในเขื่อนเพื่ออำพรางคดี ในเดือนพฤศจิกายน นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่อุทยานจำนวน 3 คน ถูกฟ้องว่ามีความผิดใน 6 ข้อกล่าวหารวมถึงการฆาตกรรมและอำพรางศพของนายพอละจี ก่อนที่จะได้รับการประกันตัวออกไป
ค. การทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษด้วยวิธีการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือทำลายศักดิ์ศรีอื่นๆ
รัฐธรรมนูญระบุว่า “การทรมาน ทารุณกรรม หรือการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรมจะกระทำมิได้” อย่างไรก็ดี พระราชกำหนดฉุกเฉินให้ความคุ้มครองเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงให้ไม่ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายจากการกระทำในระหว่างปฏิบัติตามหน้าที่ นับจนถึงเดือนกันยายน คณะรัฐมนตรีได้ขยายเวลาการบังคับใช้พระราชกำหนดฉุกเฉินในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2548 ทั้งนี้ มี 4 อำเภอที่ได้รับการยกเว้นจากพระราชกำหนดดังกล่าว ได้แก่ อำเภอสุไหงโกลก และอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส อำเภอเบตง จังหวัดยะลา และอำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี
มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายนักโทษและผู้ต้องขัง และโดยส่วนใหญ่ไม่ต้องถูกลงโทษ มีคำร้องเรียนเพียงส่วนน้อยที่ท้ายสุดแล้วนำไปสู่การลงโทษตำรวจผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด แต่มีตัวอย่างให้เห็นมากมายที่การสอบสวนเกี่ยวกับการใช้อำนาจโดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ ใช้เวลานานหลายปีโดยที่ยังไม่มีข้อสรุป กลุ่มสิทธิมนุษยชนวิจารณ์ “การดำเนินการอย่างฉาบฉวย” ในการสอบสวนของตำรวจและกระบวนการยุติธรรมเกี่ยวกับกรณีที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงถูกกล่าวหาว่าทรมานหรือกระทำทารุณอื่นๆ และไม่ได้ดำเนินการสืบสวนเกี่ยวกับการเสียชีวิตของบุคคลระหว่างอยู่ภายใต้การควบคุมของทางการอย่างเพียงพอ
ตัวแทนจากองค์กรนอกภาครัฐและองค์กรด้านกฎหมายรายงานว่า บางครั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารทรมานและซ้อมผู้ต้องสงสัยเพื่อให้รับสารภาพ และหนังสือพิมพ์รายงานคดีหลายคดีที่ประชาชนกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอื่นๆ ใช้ความรุนแรง ในเดือนสิงหาคม นายอับดุลเลาะ อีซอมูซอ ผู้ต้องขังเสียชีวิตลง 1 เดือนหลังจากหมดสติหลังถูกซักถามโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่ค่ายทหารในจังหวัดปัตตานี แม้ว่ากองทัพจะอ้างว่านายอับดุลเลาะไม่มีร่องรอยของการถูกทำร้าย และปฏิเสธการกระทำผิดใดๆ กลุ่มสิทธิมนุษยชนหลายกลุ่มเรียกร้องให้มีการไต่สวนโดยละเอียด
มีรายงานจำนวนมากระบุว่า มีการกระทำเหยียดหยามให้อับอายและทารุณทางกายในหน่วยทหาร ในเดือนพฤษภาคม พลทหารลือชานนท์ นนทบุตร ทหารสังกัดกองพันทหารสารวัตรของกองทัพบกไทย ถูกพบว่าเสียชีวิต บิดามารดาของพลทหารลือชานนท์ยืนยันว่ารอยฟกช้ำบนศพบ่งชี้ว่าเขาถูกทำร้ายร่างกายก่อนเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม กองทัพบกไทยยืนกรานว่าพลทหารลือชานนท์เสียชีวิตหลังตกจากอาคารที่เขาเข้าไปซ่อนตัวอยู่หลังจากออกจากช่วงเวลาการฝึกโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าหน้าที่กองทัพไทยรายงานว่า คดีดังกล่าวอยู่ภายใต้การตรวจสอบหาความจริง
กองทัพอากาศไทยเริ่มการตรวจสอบหาความจริงเกี่ยวกับรายงานที่ว่าครูฝึก 3 คนทำร้ายร่างกายพลทหารสังกัดกรมสารวัตรทหารอากาศนายหนึ่ง โดยไม่มีการระบุชื่อ ที่ฐานทัพอากาศดอนเมืองในกรุงเทพมหานคร เนื่องจากใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่โดยไม่ได้รับอนุญาต พลทหารกล่าวว่าตนเองถูกเฆี่ยนตีเป็นเวลาหลายชั่วโมงในวันที่ 2 กรกฎาคม หลังจากนั้นจึงหนีออกจากฐานทัพ และแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องถิ่น ทั้งนี้ ไม่มีการเผยแพร่ชื่อของครูฝึกทั้งสามคน
กระทรวงกลาโหมกำหนดให้ข้าราชการทหารเข้ารับการอบรมเรื่องสิทธิมนุษยชน มีการจัดฝึกอบรมข้าราชการในหลายระดับเป็นประจำ รวมทั้งข้าราชการสัญญาบัตร ข้าราชการชั้นประทวน และทหารเกณฑ์ นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังกำหนดให้นักเรียนนายร้อยตำรวจทุกคนที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจต้องลงเรียนวิชากฎหมายสิทธิมนุษยชน
สภาพของเรือนจำและสถานกักกัน
เรือนจำและสถานกักกันต่างๆ อันได้แก่ สถานบำบัดผู้ติดยาเสพติดและศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่กักกันผู้อพยพ ผู้ลี้ภัย ผู้แสวงหาที่พักพิงที่ไม่มีเอกสารประจำตัว และชาวต่างชาติที่ละเมิดกฎหมายว่าด้วยการเข้าเมือง ยังคงมีสภาพไม่ค่อยดีและส่วนใหญ่แออัดมาก กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลสภาพเรือนจำ ในขณะที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ดูแลสภาพของศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
รัฐบาลยังคงกักขังผู้ต้องสงสัยที่เป็นพลเรือนบางรายที่สถานกักกันของทหาร แม้ว่าคำสั่ง คสช. ในเดือนกรกฎาคม กำหนดให้โอนคดีพลเรือนทุกคดีจากศาลทหารไปยังศาลพลเรือน กรมราชทัณฑ์ระบุว่า ณ วันที่ 13 มิถุนายน มีพลเรือนอย่างน้อย 4 รายถูกกักกันอยู่ที่เรือนจำของมณฑลทหารบกที่ 11 ในกรุงเทพมหานคร
สภาพเรือนจำและสถานกักกัน: มีผู้ต้องขังในเรือนจำและสถานกักกันสูงกว่าความสามารถรองรับได้ประมาณร้อยละ 60 ณ วันที่ 23 กันยายน มีผู้ต้องขังในเรือนจำและสถานกักกันราว 365,303 คน แต่สถานที่ถูกออกแบบให้รองรับจำนวนผู้ต้องขังได้สูงสุดเพียง 210,000 ถึง 220,000 คน
เรือนจำและสถานกักกันบางแห่งมีสถานที่นอนไม่เพียงพอ และยังคงมีรายงานว่ามีสภาพแออัดมากและอากาศถ่ายเทไม่ดี และปัญหาที่ร้ายแรงคือ การขาดบริการทางการแพทย์ บางครั้งทางการจะส่งตัวนักโทษหรือผู้ต้องขังที่ป่วยหนักไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดหรือโรงพยาบาลของรัฐ สภาพของศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบหลายข้อที่กำกับระบบราชทัณฑ์ตามปกติทั่วไป และผู้ต้องขังร้องเรียนถึงสภาพที่แออัดและผิดหลักอนามัย ประมาณร้อยละ 17 ของผู้ต้องขังทั้งหมดเป็นผู้ต้องขังที่รอการพิจารณาคดี ผู้ต้องขังเหล่านี้ไม่ได้ถูกคุมขังแยกจากนักโทษทั่วไป บ่อยครั้งรัฐบาลคุมขังผู้ต้องขังที่รอการพิจารณาคดีภายใต้พระราชกำหนดฉุกเฉินในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในค่ายทหารหรือสถานีตำรวจมากกว่าในเรือนจำ
องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า ในบางครั้งทางการควบคุมผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กรวมกันในห้องขังของสถานีตำรวจเพื่อรอคำสั่งฟ้อง โดยเฉพาะในสถานีตำรวจขนาดเล็กหรือที่อยู่ห่างไกล ในศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ทางการควบคุมเยาวชนอายุเกิน 14 ปีรวมกับผู้ใหญ่
ตามกฎหมาย ทางการสามารถกักกันบุคคลต่างด้าวที่ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายให้อยู่ในประเทศได้ รวมทั้งผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิง หรือผู้ที่ละเมิดกฎหมายว่าด้วยการเข้าเมือง ในศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเป็นเวลาหลายปีได้ เว้นแต่ว่าพวกเขาจะจ่ายค่าปรับและค่าเดินทางกลับประเทศตนเอง ส่วนใหญ่แล้ว ทางการจะกักกันผู้เป็นแม่และลูกแยกจากกันในสถานที่ซึ่งมีพื้นที่มากกว่า แต่ยังคงจำกัดเสรีภาพในการเดินทางของพวกเขา องค์กรนอกภาครัฐเรียกร้องให้รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายและนโยบายเพื่อยุติการคุมขังเด็กที่วีซ่าหมดอายุและใช้ทางเลือกอื่นแทน เช่น การปล่อยตัวโดยมีเงื่อนไขให้คุมประพฤติ และการไม่ควบคุมตัวและจัดที่อยู่อาศัยในชุมชนให้ในระหว่างดำเนินการแก้ปัญหาสถานะวีซ่า องค์กรนอกภาครัฐอื่นๆ รายงานว่า มีการร้องทุกข์โดยเฉพาะจากชาวมุสลิมในศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองว่า มีอาหารฮาลาลไม่เพียงพอ
บางครั้งเจ้าหน้าที่เรือนจำใช้มาตรการขังเดี่ยวเพื่อลงโทษนักโทษชายที่ฝ่าฝืนกฎระเบียบของเรือนจำเป็นประจำหรือที่เป็นภัยต่อผู้อื่น ซึ่งกฎหมายอนุญาตให้ทำได้ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังใช้ตรวนขาที่มีน้ำหนักมากกับนักโทษที่เห็นว่ามีความเสี่ยงจะหลบหนีหรือที่อาจเป็นอันตรายต่อนักโทษคนอื่น
สำนักการสอบสวนและนิติการ กระทรวงมหาดไทย รายงานว่า มีบุคคลเสียชีวิตภายใต้การคุมขังของทางการจำนวน 752 ราย ระหว่างเดือนตุลาคม 2561 จนถึงเดือนกันยายน 2562 ในจำนวนนี้ 37 รายอยู่ภายใต้การควบคุมของตำรวจ และ 715 รายอยู่ภายใต้การควบคุมของกรมราชทัณฑ์ ทางการระบุว่าส่วนใหญ่เสียชีวิตด้วยสาเหตุธรรมชาติ
การดำเนินการของเรือนจำ: ทางการอนุญาตให้นักโทษและผู้ต้องขัง หรือผู้แทนของนักโทษและผู้ต้องขังสามารถยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินโดยไม่ต้องผ่านการตรวจพิจารณาก่อน แต่ไม่สามารถยื่นคำร้องต่อฝ่ายตุลาการได้โดยตรง ผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถดำเนินการพิจารณาและสอบสวนคำร้องเรียนและคำร้องทุกข์ที่ได้รับจากนักโทษและให้คำแนะนำแก่กรมราชทัณฑ์ แต่ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจดำเนินการในนามของนักโทษ และไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในคดี ยกเว้นแต่จะได้รับคำร้องเรียนอย่างเป็นทางการ
การตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ: รัฐบาลอำนวยความสะดวกให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เข้าเยี่ยมสังเกตการณ์เรือนจำได้ รวมถึงการเข้าเยี่ยมนักโทษโดยไม่ต้องมีบุคคลที่สามอยู่ด้วย และยังสามารถเข้าเยี่ยมได้อีกหลายครั้ง กลุ่มสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ไม่มีการตรวจสอบระบบทัณฑสถานจากหน่วยงานภายนอกหรือต่างประเทศ รวมถึงเรือนจำทหาร เช่น เรือนจำในมณฑลทหารบกที่ 11 ในกรุงเทพมหานคร
ผู้แทนขององค์กรระหว่างประเทศได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยมผู้ต้องขังบางรายที่ศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศเพื่อให้บริการและดำเนินการโยกย้ายถิ่นฐาน การเข้าถึงศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแต่ละแห่งแตกต่างกันไปในแต่ละจังหวัด
ง. การจับกุมหรือการกักกันตามอำเภอใจ
หนึ่งสัปดาห์ก่อนที่จะยุติบทบาทในวันที่ 16 กรกฎาคม รัฐบาลทหารได้ยกเลิกคำสั่ง 76 ฉบับ ซึ่งคืนสิทธิพลเรือนและชุมชนบางส่วนให้กับประชาชน อย่างไรก็ตาม คำสั่ง คสช. ฉบับอื่นๆ ยังมีผลบังคับใช้ และทหารยังมีอำนาจในการกักกันบุคคลได้สูงสุด 7 วันโดยไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหาหรือมีการพิจารณาในศาล สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) รายงานว่า จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม ศาลทหารตั้งข้อหาพลเรือน 2,204 รายใน 1,946 คดีนับตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2557
พระราชกำหนดฉุกเฉินซึ่งให้อำนาจรัฐบาลในการควบคุมตัวบุคคลในสถานที่กักกันอย่างไม่เป็นทางการโดยไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหาได้นานสูงสุด 30 วัน ยังมีผลบังคับใช้อยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ดูหมวดที่ 1. ช.)
บทบัญญัติในพระราชกำหนดฉุกเฉินทำให้ยากแก่การร้องขอต่อศาลเพื่อโต้แย้งการกักขัง พระราชกำหนดฉุกเฉินระบุว่า ผู้ถูกกักขังมีสิทธิที่จะมีทนายได้ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ไม่มีหลักประกันว่าผู้ถูกกักขังจะได้พบทนายหรือญาติพี่น้องทันที และไม่มีมาตรการที่โปร่งใสเพื่อป้องกันการทารุณผู้ถูกกักขัง นอกจากนี้ พระราชกำหนดฉุกเฉินระบุว่า เจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้พระราชกำหนดนี้ไม่ต้องรับโทษทางอาญา ทางแพ่ง และทางวินัย
ขั้นตอนการจับกุมและการปฏิบัติต่อบุคคลขณะถูกคุมขัง
กฎหมายกำหนดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารที่ใช้อำนาจบังคับใช้กฎหมายต้องได้รับหมายจากศาลก่อนเข้าทำการจับกุม แต่คำสั่ง คสช. ฉบับหนึ่งอนุญาตให้คุมขังบุคคลได้นานสูงสุด 7 วันโดยไม่ต้องมีหมายจับ ในการออกหมายจับนั้น ศาลมักมีแนวโน้มที่จะอนุมัติออกหมายจับตามที่ยื่นขอมาทั้งหมด ทั้งนี้ กฎหมายกำหนดว่า เจ้าหน้าที่ต้องแจ้งข้อหาให้บุคคลที่ถูกจับกุมทราบทันทีที่เข้าจับกุม และต้องอนุญาตให้บุคคลผู้นั้นแจ้งผู้ใดผู้หนึ่งเรื่องที่ตนถูกจับกุมได้
กฎหมายกำหนดให้ผู้ถูกคุมขังคดีอาญาทั้งในศาลพลเรือนและศาลทหารสามารถติดต่อทนายได้ แต่นักกฎหมายและกลุ่มสิทธิมนุษยชนกล่าวอ้างว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจบางครั้งสอบสวนผู้ถูกคุมขังโดยไม่ให้ผู้ถูกคุมขังติดต่อทนายความ
ทั้งศาลยุติธรรมและกองทุนยุติธรรมของกระทรวงยุติธรรมจัดทนายอาสาให้แก่จำเลยที่มีฐานะยากจน จากข้อมูลล่าสุด ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคม ศาลยุติธรรมจัดหาทนายความให้แก่จำเลยผู้ใหญ่ 17,217 รายและจำเลยเยาวชน 13,468 ราย ทั้งนี้ ระหว่างเดือนตุลาคม 2561 ถึงเดือนกันยายน กระทรวงยุติธรรมจัดหานักกฎหมายให้แก่จำเลย 2,720 รายด้วยกัน
กฎหมายให้สิทธิแก่จำเลยในการขอประกันตัว และโดยทั่วไปแล้ว รัฐบาลก็เคารพในสิทธิดังกล่าว เว้นแต่คดีที่พิจารณาว่าเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ ซึ่งรวมถึงการละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วย
การจับกุมตามอำเภอใจ: คำสั่ง คสช. ฉบับหนึ่งให้ทหารมีอำนาจคุมขังบุคคลโดยไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหาได้สูงสุด 7 วันโดยไม่ต้องมีการพิจารณาโดยศาล พระราชกำหนดฉุกเฉินให้อำนาจทางการในการคุมขังบุคคลได้นานสูงสุด 30 วันโดยไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหา (ดูหมวดที่ 1. ช.)
การคุมขังเพื่อรอการพิจารณาคดี: ในกรณีปกติทั่วไป กฎหมายอนุญาตให้ตำรวจคุมขังผู้ต้องสงสัยคดีอาญาเพื่อสอบสวนคดีได้เป็นเวลา 48 ชั่วโมงหลังการจับกุม ทนายความรายงานว่า ตำรวจส่งสำนวนคดีส่วนใหญ่ต่อศาลภายในระยะเวลา 48 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม พวกเขาแสดงความกังวลที่ขณะเดียวกันมีการใช้กฎหมายที่บังคับใช้กับคดีความมั่นคงของประเทศ ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ถูกกักขังนานขึ้น กฎหมายอื่นๆ อนุญาตให้เจ้าหน้าที่พลเรือนจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงยุติธรรม ดำเนินการกักขังบุคคลที่ต้องสงสัยว่าก่ออาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหาได้นานสูงสุด 3 วันก่อนส่งตัวให้กับตำรวจ
กฎหมายและระเบียบข้อบังคับกำหนดให้ความผิดที่มีโทษจำคุกสูงสุดน้อยกว่า 3 ปีอยู่ภายใต้อำนาจรับผิดชอบของศาลแขวง ซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินคดีแตกต่างออกไปและกำหนดให้ตำรวจต้องส่งสำนวนคดีให้อัยการภายในเวลาระยะเวลา 72 ชั่วโมงหลังจากการจับกุม
ก่อนการตั้งข้อกล่าวหาและการพิจารณาคดี เจ้าหน้าที่อาจคุมขังบุคคลได้นานสูงสุดถึง 84 วัน (สำหรับคดีร้ายแรงที่สุด) โดยศาลจะพิจารณาทบทวนทุก 12 วัน หลังจากการตั้งข้อกล่าวหาและตลอดช่วงการพิจารณาคดี การคุมขังอาจกินเวลานานถึง 3 เดือนไปจนถึง 2 ปีก่อนที่จะมีการตัดสินคดี และอาจนานถึง 6 ปีก่อนที่ศาลสูงสุดจะพิจารณาเรื่องฎีกา ทั้งนี้ ระยะเวลาดังกล่าวขึ้นอยู่กับการดำเนินการฟ้องร้องและความพร้อมในการสู้คดี จำนวนคดีที่ศาลรับผิดชอบ และลักษณะของหลักฐาน
จ. การปฏิเสธการพิจารณาคดีอย่างเปิดเผยและเป็นธรรม
รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 กำหนดให้ฝ่ายตุลาการมีความเป็นอิสระ และโดยทั่วไปแล้ว รัฐบาลเคารพความเป็นอิสระและความเป็นกลางของฝ่ายตุลาการ อย่างไรก็ดี ยังมีเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 อยู่ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ซึ่งให้อำนาจกับรัฐบาลในการแทรกแซงเพื่อป้องกันประเทศจากภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ “ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ” กลุ่มสิทธิมนุษยชนยังคงแสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับอิทธิพลของรัฐบาลที่มีต่อกระบวนการตุลาการอันเป็นกระบวนการอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้กระบวนการตุลาการเพื่อลงโทษบุคคลที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ในเดือนตุลาคม นายคณากร เพียรชนะ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นในศาลจังหวัดยะลา บาดเจ็บสาหัสหลังจากพยายามฆ่าตัวตายในห้องพิจารณาคดีเพื่อประท้วงสิ่งที่เขาอ้างว่าเป็นการแทรกแซงอย่างหนักในการพิจารณาคดีของศาลโดยผู้บังคับบัญชาของเขา ในเดือนพฤศจิกายน สำนักคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยขึ้นเพื่อตรวจสอบการกระทำของนายคณากร และย้ายเขาจากจังหวัดยะลาซึ่งอยู่ชายแดนภาคใต้ไปอยู่จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งอยู่ชายแดนภาคเหนือ
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายคนถูกกล่าวหาว่าถือหุ้นของบริษัทสื่อโดยผิดกฎหมาย แต่สมาชิกจากพรรคร่วมรัฐบาลและฝ่ายค้านดูเหมือนว่าจะได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันจากศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 20 พฤศจิกายน ศาลตัดสินว่านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน มีความผิดฐานปกปิดการถือครองหุ้นบริษัทสื่อขณะลงสมัครรับเลือกตั้งเดือนมีนาคม ทั้งนี้ นายธนาธรอาจได้รับโทษจำคุก ห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง ปรับและถูกยุบพรรค ศาลถูกมองว่าแสดงความลำเอียงเมื่อไม่สั่งให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคร่วมรัฐบาล 32 คน ซึ่งถูกกล่าวหาในความผิดที่คล้ายคลึงกัน หยุดปฏิบัติหน้าที่
ขั้นตอนการพิจารณาคดี
รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ให้สิทธิแก่บุคคลในการได้รับการพิจารณาพิพากษาคดีอย่างเปิดเผยและเป็นธรรม และโดยทั่วไปแล้ว ฝ่ายตุลาการที่มีความเป็นอิสระเป็นฝ่ายใช้บังคับกฎหมายตามสิทธิที่ว่านี้ ยกเว้นในบางคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ ซึ่งรวมถึงคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
กฎหมายให้ถือว่าบุคคลเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ความผิดได้ การพิจารณาความผิดลหุโทษใช้ผู้พิพากษาคนเดียวตัดสิน ส่วนความผิดในคดีที่ร้ายแรงกว่านั้นต้องใช้ผู้พิพากษา 2 คนหรือมากกว่า ส่วนใหญ่แล้วการพิจารณาคดีจะเปิดเผยต่อสาธารณชน แต่ทั้งนี้ ศาลอาจสั่งให้มีการพิจารณาคดีโดยลับได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติ ราชวงศ์ เยาวชน หรือการล่วงละเมิดทางเพศ
จำเลยที่ถูกพิจารณาคดีในศาลอาญาปกติจะได้รับสิทธิตามกฎหมายหลายประการ ซึ่งรวมถึงการเลือกทนายด้วยตนเอง การรับทราบรายละเอียดข้อกล่าวหาอย่างรวดเร็ว การใช้ล่ามโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ (หากจำเป็น) สิทธิในการปรากฏตัวต่อศาล สิทธิที่จะได้รับเวลาและมีสถานที่อย่างเพียงพอในการเตรียมต่อสู้คดี นอกจากนี้ จำเลยยังมีสิทธิที่จะไม่ให้การหรือสารภาพผิด เผชิญหน้ากับพยาน นำเสนอพยาน และขออุทธรณ์ อย่างไรก็ตาม ทางการไม่ได้จัดหาทนายโดยอัตโนมัติให้แก่จำเลยที่มีฐานะยากจนโดยใช้งบประมาณของรัฐเสมอไป และมีการกล่าวหาว่าทางการไม่ได้ให้สิทธิทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นแก่จำเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเล็กๆ หรือจังหวัดที่อยู่ห่างไกล
เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม คสช. มีคำสั่งให้โอนคดีพลเรือนทุกคดีจากศาลทหารไปยังศาลพลเรือน ซึ่งเป็นการยุติการดำเนินคดีกระทำผิดบางประการในศาลทหาร ณ วันที่ 30 สิงหาคม ไม่มีคดีพลเรือนรอพิจารณาที่ศาลทหารแล้ว ข้อมูลจากสำนักงานพระธรรมนูญทหารระบุว่า นับตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2557 เป็นต้นมา ศาลทหารได้เริ่มดำเนินคดีทั้งหมด 1,728 คดี ซึ่งเกี่ยวข้องกับจำเลยที่เป็นพลเรือนอย่างน้อย 2,211 ราย ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นคดีเกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ การยุยงปลุกปั่น การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ คสช. การฝ่าฝืนกฎหมายควบคุมอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิด
นักโทษและผู้ต้องขังทางการเมือง
ก่อนหน้าการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ คสช. กักกันตัวบุคคลที่ คสช. เห็นว่าแสดงความคิดเห็นทางการเมืองรุนแรงอยู่เป็นประจำ (ดูหมวดที่ 1.ง.) กรมราชทัณฑ์รายงานว่า จนถึงเดือนสิงหาคม มีผู้รอการพิจารณาคดีหรือจำคุกภายใต้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ห้ามมิให้วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ (ดูหมวดที่ 2.ก.) ประมาณ 65 ราย กลุ่มสิทธิมนุษยชนอ้างว่า บุคคลหลายรายถูกดำเนินคดีและตัดสินลงโทษในความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเนื่องจากเหตุผลทางการเมือง ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ศาลยกฟ้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหลายคดี แต่ดำเนินคดีบุคคลภายใต้กฎหมายอื่นๆ แทน (ดูหมวดที่ 2.ก.)
ขั้นตอนและการเยียวยาคดีความแพ่ง
กฎหมายเปิดโอกาสให้มีการฟ้องร้องต่อศาลและหน่วยงานฝ่ายปกครองเพื่อเรียกค่าเสียหายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือเพื่อให้ยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ และโดยทั่วไปแล้ว รัฐบาลเคารพสิทธิดังกล่าว อย่างไรก็ตาม พระราชกำหนดฉุกเฉินที่บังคับใช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้กำหนดไว้ว่า ศาลปกครองหรือกระบวนการทางแพ่งหรืออาญาไม่สามารถตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ แต่ผู้เสียหายอาจเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้จากหน่วยงานรัฐ
ฉ. การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ครอบครัว บ้านพัก หรือเอกสารโต้ตอบโดยพลการหรือมิชอบด้วยกฎหมาย
ข้อกำหนดของคำสั่ง คสช. ฉบับหนึ่ง และพระราชกำหนดฉุกเฉินให้อำนาจฝ่ายความมั่นคงในการตรวจค้นโดยไม่มีหมายศาล ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงก็ใช้อำนาจดังกล่าวเป็นปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้และพื้นที่ชายแดนอื่นๆ พระราชบัญญัติอื่นกำหนดให้มีขั้นตอนการค้นหาและยึดคอมพิวเตอร์และข้อมูลคอมพิวเตอร์ในคดีที่จำเลยถูกกล่าวหาว่านำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูล “ที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” “เป็นเท็จ” หรือ “บิดเบือน” (ดูหมวดที่ 2.ก.) พระราชบัญญัติดังกล่าวให้อำนาจกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในการขอและบังคับให้มีการลบข้อมูลที่เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตได้ ในระหว่างปีมีการร้องเรียนว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงใช้อำนาจดังกล่าวในทางมิชอบ
ในเดือนกันยายน กลุ่มสิทธิมนุษยชนออกมาประณามการที่กองบัญชาการตำรวจสันติบาลส่งหนังสืออย่างเป็นทางการขอให้มหาวิทยาลัยทั่วประเทศแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มนักศึกษามุสลิมหลังจากมีการเผยแพร่คำสั่งดังกล่าว นายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอบโต้โดยกล่าวว่าคำขอดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากเชื่อว่าเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นหลายครั้งในกรุงเทพมหานครเมื่อเดือนสิงหาคม มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มมุสลิม ทั้งยังอ้างว่าข้อมูลดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ใน “การจัดทำฐานข้อมูลข่าวกรอง” และ “ไม่มีการละเมิดสิทธิใดๆ” อย่างไรก็ดี นักศึกษามุสลิมยื่นร้องเรียนว่าการเก็บข้อมูลดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิ ทั้งนี้ มีรายงานว่า กองบัญชาการตำรวจสันติบาลยกเลิกคำขอดังกล่าวในเดือนตุลาคม โดยนายรังสีมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร แจ้งว่ากองบัญชาการตำรวจสันติบาลยืนยันกับคณะกรรมาธิการฯ ว่าจะยุติการขอข้อมูลดังกล่าว อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 นายปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามการยกเลิกดังกล่าว โดยระบุว่าการเก็บข้อมูลถูกระงับชั่วคราวเท่านั้น ไม่ใช่การยุติการเก็บข้อมูล
มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ทหารคุกคามคนในครอบครัวของบุคคลที่ต้องสงสัยว่าต่อต้าน คสช. ซึ่งรวมถึงบิดามารดาของนักศึกษาที่ออกมาประท้วงต่อต้าน คสช. ครอบครัวของนักพิทักษ์สิทธิมนุษยชน และผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย (ดูหมวดที่ 2. ข.) ในเดือนเมษายน นายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ ปรามเยาวชนนักกิจกรรมที่รวบรวมรายชื่อเพื่อสนับสนุนการถอดถอนคณะกรรมการการเลือกตั้งกรณีจัดการการเลือกตั้งทั่วไปเดือนมีนาคมโดยส่อไปในทางไม่เป็นธรรม ทั้งยังวิจารณ์ผู้ปกครองที่ปล่อยให้เยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมในการรณรงค์ดังกล่าว
เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงติดตามความเคลื่อนไหวของบุคคลที่แสดงความคิดเห็นที่สร้างความขัดแย้ง ซึ่งรวมไปถึงบุคคลที่เป็นชาวต่างชาติด้วย นักวิชาการชาวอเมริกันรายงานว่าถูกตำรวจตรวจคนเข้าเมืองคุมตัวเป็นการชั่วคราวขณะเดินทางออกจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ เขากล่าวว่าเขาได้ทราบขณะถูกคุมตัวว่าเขาอยู่ในรายชื่อนักวิจัย “ด้านสังคม วัฒนธรรม การเมือง” ประมาณ 30 คนที่ทางการต้องการรู้ตำแหน่งที่อยู่และรายละเอียดติดต่อ เขายังกล่าวอีกว่าเขาน่าจะถูกคุมตัวเนื่องจากได้ลงชื่อสนับสนุนผู้ประท้วง 4 คนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คนเหล่านั้นถูกตั้งข้อหาจัดการชุมนุมทางการเมืองโดยผิดกฎหมาย ด้วยการชูป้ายประท้วงกรณีที่ตำรวจจำนวนมากเข้ามาในการจัดการประชุมวิชาการนานาชาติไทยศึกษาครั้งที่ 13 ในปี 2560 คดีเอาผิดผู้ประท้วงดังกล่าวถูกยกฟ้องในเดือนธันวาคม 2561 หลังจากมีการยกเลิกคำสั่ง คสช. ที่ใช้เอาผิดพวกเขา
ช. การใช้อำนาจในทางมิชอบอื่นๆ ในการจัดการปัญหาขัดแย้งภายในประเทศ
ความขัดแย้งภายในประเทศในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมเชื้อสายมลายูยังคงดำเนินต่อไป การโจมตีโดยผู้ก่อความไม่สงบและการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่ผ่านมาได้เพิ่มความตึงเครียดระหว่างชุมชนชาวมุสลิมเชื้อสายมลายูและชาวไทยพุทธในพื้นที่
พระราชกำหนดฉุกเฉินที่มีผลบังคับใช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งคือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และบางพื้นที่ของสงขลา ให้อำนาจอย่างมีนัยสำคัญแก่เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือนบางส่วน ในการจำกัดสิทธิพื้นฐานบางประการ ตลอดจนมอบหมายอำนาจด้านการรักษาความมั่นคงภายในบางประการแก่กองทัพ พระราชกำหนดฉุกเฉินยังคุ้มครองเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงให้ไม่ต้องถูกดำเนินคดี นอกจากนี้ กฎอัยการศึกที่ประกาศใช้ในปี 2549 ซึ่งยังมีผลบังคับใช้อยู่ ให้อำนาจอย่างมีนัยสำคัญแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้
การสังหาร: กลุ่มสิทธิมนุษยชนกล่าวหากองกำลังของรัฐบาลว่ากระทำการวิสามัญฆาตกรรมบุคคลที่ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบ ข้อมูลของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ ซึ่งเป็นองค์กรนอกภาครัฐ ระบุว่า มีคดีที่ได้รับรายงานที่เกี่ยวข้องกับการวิสามัญฆาตกรรมโดยกองกำลังฝ่ายรัฐบาลในจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งหมด 7 คดีด้วยกันนับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงสิงหาคม ในขณะที่องค์กรนอกภาครัฐกลุ่มด้วยใจระบุข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม ว่ามีการวิสามัญฆาตกรรมโดยกองกำลังรักษาความมั่นคง 9 คดี เจ้าหน้าที่รัฐยืนกรานว่าผู้ต้องสงสัยในแต่ละคดีขัดขืนการจับกุม จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้กำลังรุนแรงจนถึงแก่ความตาย ซึ่งครอบครัวของผู้ต้องสงสัยและกลุ่มสิทธิมนุษยชนออกมาโต้แย้งประเด็นข้ออ้างดังกล่าว
ข้อมูลของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ ณ เดือนพฤศจิกายนระบุว่า เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้น 384 ครั้งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 169 รายและได้รับบาดเจ็บ 231 ราย ซึ่งแสดงให้เห็นจำนวนที่ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2561 นอกจากนี้ ข้อมูลยังระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2547 จนถึงเดือนพฤศจิกายน ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 7,074 รายและได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 13,221 รายจากเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้น 20,485 ครั้งในพื้นที่ภาคใต้ ทั้งนี้ ศูนย์เฝ้าระวังฯ ไม่ได้จำแนกว่าเหตุรุนแรงดังกล่าวเกิดขึ้นจากผู้ก่อความไม่สงบ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง หรือกลุ่มอาชญากร และเช่นเดียวกันกับปีที่ผ่านมา กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบมักมุ่งเป้าโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งรวมถึงข้าราชการอำเภอและเทศบาล ทหาร และตำรวจ โดยใช้ระเบิดและการซุ่มยิง
อาสาสมัครป้องกันดินแดนที่เป็นพลเรือนบางส่วนได้รับการอบรมพื้นฐานและรับแจกอาวุธจากฝ่ายความมั่นคงของรัฐ องค์กรสิทธิมนุษยชนยังคงแสดงความกังวลว่าอาสาสมัครป้องกันดินแดนและพลเรือนอื่นๆ จะลงโทษบุคคลโดยพลการ
จากข้อมูลของศูนย์เฝ้าระวังฯ ระบุว่าแม้ว่าผู้ก่อความไม่สงบได้ก่อเหตุโจมตีพลเรือนหลายครั้ง แต่ทั้งเหตุความรุนแรงและความเสียหายที่เกี่ยวข้องมีจำนวนลดลงในช่วงครึ่งปีแรกเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2561
การทารุณกรรมทางกาย การลงโทษ และการทรมาน: องค์กรนอกภาครัฐในท้องถิ่นยังคงได้รับการร้องเรียนจากผู้ต้องหาก่อความไม่สงบว่าถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทรมานร่างกายในขณะถูกคุมขัง องค์กรเหล่านี้ระบุว่า การหาข้อเท็จจริงมาสนับสนุนการกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นเรื่องที่ทำได้ยากเพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่รัฐในการสืบสวนหาข้อเท็จจริงและการให้เข้าพบผู้ต้องหาในสถานที่ควบคุมตัว องค์กรสิทธิมนุษยชนยังคงยืนยันว่า การควบคุมตัวผู้ต้องหาเป็นการกระทำตามอำเภอใจและเกินกว่าเหตุ องค์กรเหล่านั้นยังวิจารณ์สภาพแออัดของสถานที่กักกันด้วย
กฎอัยการศึกที่บังคับใช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้อนุญาตให้ควบคุมตัวบุคคลได้สูงสุด 7 วันโดยไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหาและไม่ต้องได้รับอนุมัติจากศาลหรือหน่วยงานของรัฐ พระราชกำหนดฉุกเฉินที่มีผลบังคับใช้ในพื้นที่เดียวกันอนุญาตให้เจ้าหน้าที่รัฐจับกุมและคุมขังผู้ต้องหาเพิ่มได้นานสูงสุด 30 วันโดยไม่ต้องตั้งข้อกล่าวหา และหลังจากครบกำหนดระยะเวลานี้แล้ว เจ้าหน้าที่รัฐจะเริ่มคุมขังผู้ต้องสงสัยได้ภายใต้กฎหมายอาญาปกติ ซึ่งจะแตกต่างจากการคุมขังภายใต้กฎอัยการศึกตรงที่ต้องให้ศาลอนุมัติ แม้องค์กรสิทธิมนุษยชนนอกภาครัฐจะร้องเรียนว่าศาลไม่ใช้อำนาจในการพิจารณาการคุมขังเสมอไป
ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนใต้รายงานว่า จนถึงเดือนสิงหาคม ทางการจับกุมตัวบุคคล 82 รายตามหมายศาลภายใต้พระราชกำหนดฉุกเฉิน ในจำนวนนี้ มีผู้ได้รับการปล่อยตัว 34 ราย ถูกดำเนินคดี 47 ราย และกักขังเพื่อรอการสอบสวนเพิ่มเติม 1 ราย นอกจากนี้ รัฐบาลไม่ได้ใช้ศาลทหารในการพิจารณาคดีต่อจำเลยที่เป็นพลเรือนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
เหตุการณ์โจมตีกองกำลังด้านความมั่นคงที่รักษาความปลอดภัยโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดปัตตานีเมื่อเดือนมกราคม ส่งผลให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเสียชีวิต 4 ราย รัฐบาลมักแจกอาวุธแก่อาสาสมัครพลเรือนป้องกันดินแดนทั้งที่เป็นชาวไทยพุทธและชาวมุสลิมเชื้อสายมลายู จัดกำลังป้องกันโรงเรียนและวัดพุทธ และจัดทหารคุ้มกันพระสงฆ์และครู
ข้าราชการทหารที่ออกปฏิบัติงานสนับสนุนการต่อต้านการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังได้รับการอบรมพิเศษเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งรวมถึงการอบรมรับมือกับเหตุการณ์เฉพาะที่อาจเกิดขึ้นได้
หมวดที่ 2. การเคารพสิทธิเสรีภาพของพลเมือง อันประกอบด้วย:
ก. เสรีภาพในการพูดและเสรีภาพของสื่อมวลชน
รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ให้เสรีภาพประชาชนในการพูดและเสรีภาพของสื่อมวลชน อย่างไรก็ตาม สิทธินี้ถูกจำกัดโดยข้อกฎหมายและการดำเนินงานของรัฐบาล เช่น รัฐบาลกำหนดข้อจำกัดด้านกฎหมายเกี่ยวกับการวิจารณ์รัฐบาลและสถาบันพระมหากษัตริย์ ช่วยเหลือองค์กรสื่อที่อยู่ฝ่ายรัฐบาลในการดำเนินตามข้อบังคับต่างๆ ข่มขู่ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ตรวจสอบสื่อและอินเทอร์เน็ต ปิดกั้นเว็บไซต์ และใช้กฎหมายหมิ่นประมาททางอาญาเพื่อจำกัดเสรีภาพในการพูดและเสรีภาพของสื่อมวลชน
แม้ว่ากฎหมายและข้อบังคับที่สามารถจำกัดเสรีภาพของสื่อได้ยังคงมีผลบังคับใช้ก่อนหน้าการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม มีการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหารเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นแนวโน้มต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2561 เมื่อรัฐบาลทหารเริ่มผ่อนปรนข้อจำกัดพลเรือนบางประการ ขณะที่สถานีของรัฐบาลและสื่อที่อยู่ฝ่ายรัฐบาลทหารมีพื้นที่สื่อมากในช่วงก่อนหน้าการเลือกตั้ง สื่อที่มีความเป็นกลางและอยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลมีเสรีภาพค่อนข้างมาก
ในวันที่ 9 กรกฎาคม นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ ยกเลิกคำสั่ง คสช. 76 ฉบับ ซึ่งรวมถึงฉบับที่ห้ามการวิพากษ์วิจารณ์ด้วย “ประทุษร้าย” และ “ข้อมูลบิดเบือน” เพื่อหวังจะ “ทำลายความน่าเชื่อถือ” ของ คสช. หรือกองทัพ โดยเด็ดขาด สื่อยังคงมีข้อจำกัดเนื่องจากคำสั่งที่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่ทหารมีอำนาจในการห้ามการเผยแพร่สิ่งพิมพ์ใดๆ ที่อาจนำไปสู่ “ความตื่นตระหนกแก่ประชาชน” หรือ “มีข้อมูลบิดเบือนที่มีแนวโน้มที่จะสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชน” ซึ่งอาจเป็นภัยต่อความมั่นคง และอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ปิดสื่อที่วิจารณ์รัฐบาลทหาร
เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น: กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (“กฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ”) กำหนดว่าการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นความผิดทางอาญาที่มีโทษจำคุกสูงสุด 15 ปีต่อความผิดหนึ่งกระทง กฎหมายอนุญาตให้ประชาชนร้องเรียนพฤติกรรมหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้หากพบเห็นผู้ใดกระทำการดังกล่าว เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน นายศรีสุวรรณ จรรยา นักเคลื่อนไหวทางการเมืองยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ให้ตรวจสอบว่า นางสาวพรรณิการ์ วานิช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ได้โพสต์รูปภาพลงบนเฟซบุ๊ก เมื่อเกือบ 10 ปีก่อนหน้านั้นเป็นการดูหมิ่นพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัฐบาลยังคงพิจารณาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจากปีก่อนๆ เป็นการลับ และห้ามการเปิดเผยเนื้อหาที่มีการกล่าวหาว่ากระทำผิดนั้นต่อประชาชน องค์กรและนักวิชาการด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศและต่างประเทศแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบในแง่ลบของกฎหมายว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่มีต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ซึ่งเป็นองค์กรนอกภาครัฐระบุว่า จนถึงเดือนกันยายน มีการยื่นฟ้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ 98 คดีนับตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2557 ในจำนวนนี้ 67 คดีมีการสรุปสำนวนคดีแล้ว ในบางคดี ผู้ต้องหากระทำความผิดที่ถูกกล่าวอ้างก่อนเหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2557 แต่ทางการไม่ได้ดำเนินคดีจนกระทั่งหลังรัฐประหาร ข้อมูลสถิติปีปัจจุบันของกรมราชทัณฑ์ระบุว่า จนถึงเดือนสิงหาคม มีผู้ละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพรอการดำเนินคดีหรือถูกคุมขังแล้ว 65 ราย
คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ 2 คดีที่ดำเนินมาเป็นเวลานานมีความคืบหน้าในระหว่างปี เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ศาลทหารกรุงเทพ อนุญาตให้ประกันและปล่อยตัวนายสิรภพ กรณ์อรุษ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองและนักเขียนที่ถูกคุมขังเป็นเวลา 5 ปีด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ในวันที่ 17 กรกฎาคม นายธานัท ธนวัชรนนท์ หรือที่รู้จักกันในนาม “ทอม ดันดี” อดีตนักร้องและนักแสดง ได้รับพระราชทานอภัยโทษหลังจากต้องโทษจำคุก 5 ปีจากการกระทำผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนรายงานว่า แม้ว่าการฟ้องร้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจะลดลง แต่รัฐบาลหันไปใช้กฎหมายการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และ “การยุยงปลุกปั่น” มากขึ้นเพื่อจำกัดเสรีภาพในการพูดและห้ามการวิพากษ์วิจารณ์ พนักงานอัยการยื่นฟ้องสมาชิกขององค์การสหพันธรัฐไทหลายคดี เนื่องจากทางการกล่าวหาว่าบุคคลเหล่านั้นพยายามเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองปัจจุบันของประเทศ จากข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน พบว่า เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นดำเนินเรื่องฟ้องร้องบุคคล 20 รายใน 11 คดี ในข้อหายุยงปลุกปั่น เป็นสมาชิกของสมาคมลับ และละเมิดกฎหมายการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และการชุมนุมสาธารณะ
ในเดือนตุลาคม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ที่ดูแลจังหวัดภาคใต้ แจ้งตำรวจให้ดำเนินคดีกับบุคคล 12 คนในข้อหายุยงปลุกปั่นขณะแสดงความคิดเห็นในเวทีเสวนาแก้ไขความขัดแย้งในจังหวัดภาคใต้ของประเทศเมื่อวันที่ 28 กันยายน ในจำนวนนั้น หลายคนเป็นผู้นำพรรคฝ่ายค้านและนักวิชาการ โดยใจความสำคัญของข้อร้องเรียนดังกล่าวเกี่ยวกับความคิดเห็นของนางชลิตา บัณฑุวงศ์ อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเสนอให้แก้ไขเนื้อหาในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ที่ยืนยันว่าประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้ ในระหว่างการอภิปรายถึงทางออกที่เป็นไปได้ในเรื่องการก่อความไม่สงบในภาคใต้ ข้อร้องเรียนกล่าวหาว่าผู้ร่วมเวทีเสวนาละเมิดกฎหมายที่ห้ามมิให้ยุยงปลุกปั่น และมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 7 ปี ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน 7 คนที่ถูกกล่าวหาตอบโต้โดยอ้างสิทธิในการพูดและยื่นฟ้องกลับเจ้าหน้าที่ทหาร 2 นายในข้อหาหมิ่นประมาทและให้ข้อมูลเท็จต่อเจ้าหน้าที่
กฎหมายใหม่ว่าด้วยขั้นตอนของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม ให้อำนาจกับศาลในการดำเนินการทางกฎหมายกับบุคคลที่พิจารณาแล้วว่าวิจารณ์การตัดสินของศาลโดยมิชอบ สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) รายงานว่า กฎหมายดังกล่าวห้ามมิให้บิดเบือนข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย หรือคำตัดสินของศาลในคดีต่างๆ ห้ามมิให้วิจารณ์โดยไม่สุจริต และห้ามมิให้ใช้ถ้อยคำถากถางหรือล้อเลียนศาล ในเดือนสิงหาคม ศาลออกหมายเรียกให้นักวิชาการคนหนึ่งให้ข้อชี้แจงหลังจากวิจารณ์คำตัดสินของศาลให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ยุติการปฏิบัติหน้าที่ โดยที่ไม่มีคำสั่งให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนอื่นๆ อีก 32 คนที่ถูกกล่าวหาคล้ายคลึงกันในการถือหุ้นสื่อโดยผิดกฎหมาย ยุติการปฏิบัติหน้าที่ นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนบางส่วนแสดงความกังวลว่า ความเห็นของศาลอาจจำกัดเสรีภาพในการพูด
มีรายงานจำนวนมากเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงคุกคามพลเมืองที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหารอย่างเปิดเผย รวมทั้งไปพบหรือสอดส่องที่บ้านหรือสถานที่ทำงานของบุคคลนั้น ก่อนหน้าการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายคนจากพรรคเพื่อไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออ้างว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงไปพบที่บ้านและมีท่าทางข่มขู่พวกเขา
ตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงมิถุนายน มีผู้วิจารณ์ต่อต้านรัฐบาลชื่อดัง 3 คนถูกทำร้ายร่างกายหลายครั้งโดยที่ไม่สามารถระบุตัวคนร้ายที่ใช้อาวุธได้ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ชายนิรนาม 2 คนบุกเข้าไปในบ้านของนายอนุรักษ์ “ฟอร์ด” เจนตวนิชย์ และทำร้ายเขา ในวันที่ 25 พฤษภาคม เขาถูกทำร้ายอีกครั้งขณะขี่รถจักรยานยนต์ คนร้าย 6 คนขี่จักรยานยนต์มาชนรถของเขาล้มและขี่ทับหลังของเขา จากนั้นใช้แท่งเหล็กตีเขา ในวันที่ 13 พฤษภาคม นายเอกชัย หงส์กังวาน ต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นเวลา 3 วันหลังจากถูกชาย 3 คนทำร้ายขณะลงจากรถประจำทางที่หน้าศาลอาญากรุงเทพ ซึ่งเขากำลังเดินทางไปให้การในคดีที่ถูกกล่าวหาว่ายุยงปลุกปั่นกรณีจัดการประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการเลือกตั้งขึ้น มีรายงานว่าเหตุการณ์นี้เป็นครั้งที่สิบที่นายเอกชัยเป็นผู้เสียหายจากการถูกทำร้ายร่างกายหรือทรัพย์สินนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2561 นายสิรวิชญ์ “จ่านิว” เสรีธิวัฒน์ ถูกทำร้ายในวันที่ 2 และ 28 มิถุนายน โดยในการซุ่มทำร้ายครั้งที่สองนั้น นายสิรวิชญ์ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสที่ดวงตาและต้องรับการรักษาในห้องผู้ป่วยหนัก หลังจากนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพของพลเมืองออกมาคัดค้านอย่างรุนแรงที่เจ้าหน้าที่ไม่จับกุมผู้กระทำความผิดในคดีใดๆ เหล่านี้ นายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ มีคำสั่งให้ตำรวจเร่งสืบสวนหาความจริง อย่างไรก็ดี ณ เดือนกันยายน คดีเหล่านี้ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย
เสรีภาพของสื่อมวลชน รวมทั้งสื่อออนไลน์: สื่ออิสระปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่องแต่ต้องเผชิญกับอุปสรรคในการทำหน้าที่อย่างเสรีหลายประการ รัฐบาล คสช. ที่กำลังจะยุติบทบาทยกเลิกคำสั่งหลายฉบับที่จำกัดเสรีภาพสื่อ
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ก่อนหน้าการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สั่งปิดสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวีของฝ่ายตรงข้ามหลังจากออกอากาศรายการ “Wake Up News” และ “Tonight Thailand” โดยเป็นสิ่งที่รัฐบาลเรียกว่ามีเนื้อหาที่ไม่เป็นกลางซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่สงบทางการเมืองได้
ในเดือนเมษายน รัฐบาลออกคำสั่งยกเลิกเงื่อนไขการชำระเงินค่าใบอนุญาตของผู้ประกอบการโทรทัศน์ดิจิทัลทุกช่อง โดยมีมูลค่ารวมทั้งหมด 13,600 ล้านบาท (453 ล้านเหรียญสหรัฐ) การดำเนินการดังกล่าวก่อให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับแนวทางการให้ความช่วยเหลือของรัฐบาล ซึ่งอาจถูกตีความว่าเป็นประโยชน์กับองค์กรสื่อที่สนับสนุนรัฐบาล และเป็นการแทรกแซงเสรีภาพของสื่อโดยอ้อม
รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 กำหนดให้เจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนอื่นต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐบาลเป็นเจ้าของและควบคุมกิจการสถานีวิทยุและโทรทัศน์ส่วนใหญ่
ในเดือนสิงหาคม นักเขียนและนักวิชาการ นางสาวสฤณี อาชวานันทกุล ถูกหมายเรียกจากแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกาหลังจากถูกกล่าวหาว่าหมิ่นศาลกรณีเผยแพร่บทความในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วิจารณ์การดำเนินงานของศาลในเรื่องหุ้นสื่อของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ศาลยกฟ้องหลังจากที่นางสาวสฤณี เผยแพร่บทความหลังจากนั้นเพื่อชี้แจงความคิดเห็นเกี่ยวกับการตัดสินใจของศาล ซึ่งนางสาวสฤณีตระหนักว่าอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิด นอกจากนี้ ในเดือนสิงหาคม นายโกวิท วงศ์สุรวัฒน์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับหนังสือเรียกตัวจากศาลรัฐธรรมนูญกรณีเผยแพร่ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ วิจารณ์ศาลที่ยุติการปฏิบัติหน้าที่ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เนื่องจากถือครองหุ้นสื่อ โดยที่ศาลไม่สั่งยุติการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนอื่นๆ ที่ถือครองหุ้นสื่อเช่นกัน นายโกวิท ขออภัยต่อศาล และโพสต์ข้อความทางทวิตเตอร์ชี้แจงเจตนาของตน ก่อนศาลตัดสินใจว่าเขาผิดฐานหมิ่นศาล แม้ว่าจะไม่มีการสั่งปรับหรือมีบทลงโทษก็ตาม
การตรวจสอบสื่อก่อนเผยแพร่ หรือการจำกัดเนื้อหา: คำสั่ง คสช. ยังคงให้อำนาจแก่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในการระงับชั่วคราวหรือเพิกถอนใบอนุญาตของผู้ดำเนินกิจการวิทยุหรือโทรทัศน์ที่เผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ หรือวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลทหารโดยใช่เหตุ ทั้งนี้ ทางการเฝ้าตรวจสอบข้อมูลที่สื่อมวลชนทุกแขนงนำเสนอ รวมทั้งสื่อต่างชาติด้วย สื่อในประเทศมีแนวโน้มที่จะตรวจสอบตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อหาที่อาจวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์หรือสมาชิกราชวงศ์
พระราชกำหนดฉุกเฉินในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีปัญหาความขัดแย้ง ให้อำนาจกับรัฐบาลในการ “ห้ามการตีพิมพ์และเผยแพร่ข่าวและข้อมูลที่อาจสร้างความตื่นตระหนก หรือมีเจตนาที่จะบิดเบือนข้อมูล” และยังให้อำนาจในการตรวจกรองข่าวที่พิจารณาว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติอีกด้วย
กฎหมายว่าด้วยการหมิ่นประมาท: ความผิดฐานหมิ่นประมาทเป็นความผิดทางอาญา มีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท (6,660 เหรียญสหรัฐ) และจำคุกไม่เกิน 2 ปี บุคคลในแวดวงทหารและนักธุรกิจฟ้องร้องนักเคลื่อนไหวทางการเมืองและสิ่งแวดล้อม นักพิทักษ์สิทธิมนุษยชน สื่อมวลชน และนักการเมืองฐานหมิ่นประมาททางอาญาและโฆษณาหมิ่นประมาท
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม บริษัทฟาร์มเลี้ยงไก่ ธรรมเกษตร ถอนฟ้องนางสาวสุธารี “กระติก” วรรณศิริ นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนในคดีหมิ่นประมาททางแพ่ง แต่ยังฟ้องคดีหมิ่นประมาททางอาญา ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 2 ปีและปรับสูงสุด 200,000 (6,670 เหรียญสหรัฐ) บริษัทธรรมเกษตรเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน 5 ล้านบาท (167,000 เหรียญสหรัฐ) หลังจากนางสาวสุธารีแสดงความคิดเห็นบนทวิตเตอร์ในปี 2560 โดยอ้างว่าข้อความเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ของนางสาวสุธารีทำให้บริษัทเสียชื่อเสียง และเรียกร้องให้นางสุธารีขอโทษ บริษัทธรรมเกษตร ถอนฟ้องหลังจากนางสาวสุธารี “แสดงความเสียใจ” ต่อศาลหากเนื้อหาบางส่วนในข้อความที่โพสต์ “ไม่ถูกต้อง” คดีหมิ่นประมาททางอาญาที่ยังค้างพิจารณาอยู่นั้นมีกำหนดไต่สวนในเดือนกุมภาพันธ์ 2563
ความมั่นคงของชาติ: คำสั่ง คสช. หลายฉบับภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ซึ่งต่อมายังคงมีผลบังคับใช้ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ยังคงให้อำนาจรัฐในการจำกัดการเผยแพร่เนื้อหาที่พิจารณาว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ แม้จะมีรัฐบาลใหม่แล้วก็ตาม
เสรีภาพทางอินเทอร์เน็ต
รัฐบาลยังคงจำกัดและขัดขวางการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ตลอดจนตรวจสอบเนื้อหาบนอินเทอร์เน็ตอยู่เป็นประจำ มีรายงานว่า รัฐบาลเฝ้าสังเกตการณ์การสื่อสารออนไลน์ส่วนบุคคลโดยไม่ได้มีอำนาจตามกฎหมายที่เหมาะสม
กฎหมายอนุญาตให้ทางการลงโทษจำคุกสูงสุด 5 ปีและปรับไม่เกิน 100,000 บาท (3,330 เหรียญสหรัฐ) ต่อผู้กระทำผิดฐานลงข้อมูลเท็จทางอินเทอร์เน็ตที่เป็นการคุกคามความมั่นคงของรัฐ ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชน หรือทำให้บุคคลอื่นได้รับความเดือดร้อน ซึ่งอิงจากคำนิยามที่คลุมเครือ นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเก็บบันทึกข้อมูลผู้ใช้งานทุกรายเป็นเวลา 90 วันเพื่อใช้ในกรณีที่ทางการต้องการข้อมูลเหล่านั้น และหากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายใดเห็นชอบหรือจงใจสนับสนุนการลงเผยแพร่ข้อความผิดกฎหมายก็จะถูกลงโทษด้วย ทั้งนี้ กฎหมายกำหนดให้ทางการต้องขอคำสั่งศาลในการปิดกั้นเว็บไซต์ แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับนี้เสมอไป นักเคลื่อนไหวด้านสื่อวิจารณ์ว่า กฎหมายนี้ให้คำจำกัดความการกระทำความผิดไว้กว้างเกินไปและบทลงโทษบางบทก็รุนแรงเกินไป
ในเดือนกุมภาพันธ์ รัฐสภาผ่านพระราชบัญญัติว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในเดือนพฤษภาคม กลุ่มประชาสังคมหลายกลุ่มแสดงความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและการเฝ้าติดตามเนื่องจากพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยกล่าวถึงภาษาที่คลุมเครือและขาดการป้องกัน ในเดือนกันยายน กลุ่มสิทธิมนุษยชนและผู้สนับสนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ เรียกร้องให้สภานิติบัญญัติแก้ไขพระราชบัญญัติดังกล่าวในหลายส่วนเพื่อจำกัดอำนาจที่ไม่ตรวจสอบไม่ได้อย่างแท้จริง ซึ่งพวกเขากล่าวว่าเป็นอำนาจที่อนุญาตให้รัฐบาลเฝ้าตรวจสอบสื่อออนไลน์ได้
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน “ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม” แห่งใหม่ของรัฐบาล เริ่มตรวจสอบข้อมูลบิดเบือนและผิดจากความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางสื่อสังคมออนไลน์ ทางศูนย์ฯ ออกหมายจับกรณีที่เชื่อว่าเนื้อหาข้อมูลส่งผลด้านลบต่อสังคม หลังจากตรวจพบเนื้อหา “ข่าวปลอม” ศูนย์ฯ ซึ่งดำเนินงานภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะแจ้งกระทรวงและหน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้องเพื่อดึงข้อมูลดังกล่าวกลับและแก้ไขให้ถูกต้อง โดยแบ่งข้อมูลข่าวสารปลอมออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ ประเด็นภัยพิบัติ ประเด็นเศรษฐกิจ ประเด็นการเงินการธนาคาร ประเด็นสุขภาพและผลิตภัณฑ์รวมทั้งบริการด้านสุขภาพที่ผิดกฎหมาย และประเด็นข่าวและข้อมูลเรื่องความมั่นคงของชาติ และเป็นความเสี่ยงต่อสังคมและศีลธรรมอันดี กลุ่มประชาสังคมแสดงความกังวลว่าศูนย์ฯ อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปราบปรามการอภิปรายทางการเมืองที่ถูกกฎหมาย
รัฐบาลตรวจสอบสื่อสังคมออนไลน์และการสื่อสารส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด
จากรายงานขององค์กรฟรีดอมเฮาส์ ระบุว่า สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เห็นชอบนโยบายการสอดส่องติดตาม ซึ่งรวมถึงศูนย์ติดตามสื่อสังคมออนไลน์ของส่วนกลางเพื่อพิจารณาว่าเนื้อหาบนสื่อสังคมออนไลน์ “ไม่เหมาะสม” หรือไม่ การสั่งซื้อเทคโนโลยีเพื่อสอดส่องติดตามที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการจำกัดความเป็นส่วนตัวทางอินเทอร์เน็ตโดยการกำหนดให้ต้องเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลเมื่อลงทะเบียนซิมการ์ดใหม่
โดยทั่วไปแล้ว บุคคลและกลุ่มบุคคลสามารถแสดงความคิดเห็นได้โดยสันติทางอินเทอร์เน็ต แม้ว่ายังคงมีข้อจำกัดด้านเนื้อหาหลายประการ ซึ่งรวมถึงการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ การพนัน และการวิพากษ์วิจารณ์ คสช. เมื่อครั้งที่ คสช. ยังมีอำนาจ
ภาคประชาสังคมรายงานว่า รัฐบาลใช้การดำเนินคดีหรือการข่มขู่ว่าจะดำเนินคดีภายใต้กฎหมายการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นเครื่องมือในการปราบปรามการแสดงความคิดเห็นทางออนไลน์ อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม สำนักงานอัยการสูงสุด ตัดสินใจไม่ดำเนินการต่อในคดีฟ้องร้องนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และผู้บริหารพรรค 2 คน ในข้อหาละเมิดกฎหมาย “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ” เมื่อกล่าวหาพรรคพลังประชารัฐซึ่งสนับสนุนรัฐบาลทหารว่า “ดึง” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคอื่น ขณะที่ปราศรัยสดทางเฟซบุ๊กในเดือนมิถุนายน 2561
รัฐบาลสอดส่องอย่างใกล้ชิดและปิดกั้นการเข้าเว็บไซต์หลายพันแห่งที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ การดำเนินคดีต่อสื่อมวลชน นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในฐานหมิ่นประมาททางอาญาหรือยุยงปลุกปั่นจากการลงเนื้อหาออนไลน์นั้นสร้างบรรยากาศของการตรวจสอบตัวเองมากยิ่งขึ้น เว็บบอร์ดและกระดานสนทนาทางการเมืองในอินเทอร์เน็ตจำนวนมากคอยสอดส่องข้อความสนทนาและตรวจสอบเนื้อหาของตนอย่างใกล้ชิดเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกปิดกั้น หนังสือพิมพ์จำกัดการเข้าถึงพื้นที่แสดงความคิดเห็นจากประชาชนเพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการถูกฟ้องข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือหมิ่นประมาท นอกจากนี้ กสทช. ยังชักจูงผู้ให้บริการเนื้อหาทางอินเทอร์เน็ตและผู้ให้บริการทางอินเทอร์เน็ตต่างชาติลบหรือตรวจสอบเนื้อหาของตนที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่มีการเผยแพร่ในประเทศ ผู้ให้ข้อมูลด้านสิทธิมนุษยชนรายงานว่า บางครั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจขอให้นักเคลื่อนไหวทางการเมืองเปิดเผยรหัสผ่านที่เข้าใช้บัญชีส่วนตัวในสื่อสังคมออนไลน์
เสรีภาพทางวิชาการและการแสดงทางวัฒนธรรม
ก่อนยุติบทบาทลงในเดือนกรกฎาคม คสช. แทรกแซงการอภิปรายทางวิชาการที่จัดขึ้นในมหาวิทยาลัย ข่มขู่นักวิชาการ และจับกุมผู้นำนักศึกษาที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐประหาร
ในระหว่างปี มหาวิทยาลัยรายงานว่า มีเจ้าหน้าที่ทหารเข้ามาในมหาวิทยาลัยอยู่เป็นประจำเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์การบรรยายและการเข้าร่วมกิจกรรมของนิสิตนักศึกษา มีหลายกรณีที่ทางการจับกุมนิสิตนักศึกษาจากการใช้เสรีภาพในการพูดและการแสดงความคิดเห็น มหาวิทยาลัยรายงานว่ายังคงมีการตรวจสอบเนื้อหาของตนเองอยู่หลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว
ในเดือนกันยายน มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามและมหาวิทยาลัยขอนแก่นต่างถอนข้อตกลงที่อนุญาตให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เสวนาในหัวข้อการปฏิรูปรัฐธรรมนูญภายในมหาวิทยาลัย โดยให้เหตุผลว่าเป็นข้อกำหนดในเรื่องการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ทั้งที่ก่อนหน้านั้นได้ให้อนุญาตแล้ว มีรายงานว่ามหาวิทยาลัยทั้งสองแห่งถูกเจ้าหน้าที่รัฐบาลกดดันให้ยกเลิกงานดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในเดือนสิงหาคม หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่สามารถจัดงานคล้ายคลึงกันนั้นที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยสงขลาได้
ข. เสรีภาพในการชุมนุมกันอย่างสงบและการจัดตั้งสมาคม
รัฐบาลจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมอย่างสงบและการจัดตั้งสมาคม
เสรีภาพในการชุมนุมอย่างสงบ
รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ให้เสรีภาพในการชุมนุมอย่างสงบ ซึ่งต้องเป็นไปตามข้อจำกัดของบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่บังคับใช้เพื่อ “คุ้มครองประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น” ในเดือนธันวาคม 2561 รัฐบาล คสช. ยกเลิกข้อจำกัดเหล่านี้หลายข้อ ซึ่งรวมถึงการห้ามการชุมนุมทางการเมืองของบุคคลตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และการรณรงค์หาเสียงของพรรคการเมือง ก่อนหน้าการเลือกตั้งทั่วประเทศในเดือนมีนาคม
รัฐบาลยังคงดำเนินคดีกับนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนอื่นๆ ที่ทำการประท้วงโดยสงบหลังจากการยกเลิกดังกล่าว เมื่อวันที่ 20 กันยายน ผู้พิพากษาศาลอาญาประกาศให้นักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย 6 คนพ้นผิดจากข้อหายุยงปลุกปั่นซึ่งมีโทษจำคุก 7 ปีฐานจัดการการชุมนุมในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 เรียกร้องให้รัฐบาลทหารจัดการเลือกตั้งทั่วประเทศที่รอคอยกันมาน อย่างไรก็ตาม นักเคลื่อนไหวผู้อยู่เบื้องหลังการรณรงค์ “คนอยากเลือกตั้ง” ได้แก่ นายสิรวิชญ์ “จ่านิว” เสรีธิวัฒน์, นายอานนท์ นำภา, นางสาวชลธิชา “เกด” แจ้งเร็ว, นางสาวณัฏฐา “โบว์” มหัทธนา และนายกาณฑ์ พงษ์ประภาพันธ์ ยังคงเผชิญข้อกล่าวหาในคดีอื่นๆ อีก 6 คดีซึ่งมีสาเหตุมาจากการจัดการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยหลายครั้งในปี 2561
ในเดือนกุมภาพันธ์ นักเคลื่อนไหวสองคน ได้แก่ นายพริษฐ์ “เพนกวิน” ชิวารักษ์ นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายธนวัฒน์ วงศ์ไชย นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถูกตั้งข้อหากระทำผิดกฎหมายกรณีจัดการชุมชนโดยสงบที่ทำเนียบรัฐบาลเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่งหลังจากนายกรัฐมนตรีท้าทายประชาชนให้ “มาไล่ดูสิ” ทั้งสองคนถูกตั้งข้อหากระทำผิดกฎหมายที่กำหนดให้ผู้จัดการชุมนุมแจ้งทางการล่วงหน้า 24 ชั่วโมง และในภายหลังได้รับการปล่อยตัวหลังจากเสียค่าปรับจำนวน 2,000 บาท (67 เหรียญสหรัฐ)
เสรีภาพในการจัดตั้งสมาคม
รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ให้บุคคลมีสิทธิในการจัดตั้งสมาคมโดยมีข้อจำกัดบางประการเพื่อ “ปกป้องประโยชน์ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีงามของส่วนรวม”
กฎหมายห้ามมิให้จดทะเบียนพรรคการเมืองในชื่อเดียวกันหรือใช้สัญลักษณ์เดียวกันกับพรรคการเมืองที่ถูกยุบตามกฎหมาย
ค. เสรีภาพในการนับถือศาสนา
สามารถอ่าน รายงานว่าด้วยเสรีภาพในการนับถือศาสนา ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ที่ https://www.state.gov/religiousfreedomreport/
ง. เสรีภาพในการเดินทาง
รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ให้เสรีภาพประชาชนในการเดินทางภายในประเทศ การเดินทางไปต่างประเทศ การโยกย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศ และการเดินทางกลับประเทศ รัฐบาลมีข้อยกเว้นบางกรณีโดยอ้างว่าเพื่อ “รักษาความมั่นคงของประเทศ ความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน การวางผังเมืองและการวางผังประเทศ หรือสวัสดิภาพของเยาวชน”
การเดินทางภายในประเทศ: รัฐบาลจำกัดเสรีภาพในการเดินทางภายในประเทศของชาวเขาและชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ที่ไม่มีสัญชาติไทยแต่ถือบัตรประจำตัวที่รัฐบาลออกให้ และลงทะเบียนไว้ว่าเป็นบุคคลไร้สัญชาติ ทางการห้ามผู้ถือบัตรเหล่านี้เดินทางออกนอกเขตจังหวัดที่อาศัยอยู่โดยไม่ได้รับอนุญาตล่วงหน้าจากนายอำเภอ ผู้ฝ่าฝืนจะถูกปรับหรือต้องโทษจำคุก 45-60 วัน ส่วนผู้ที่ไม่มีบัตรไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเลย องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ตำรวจตามจุดตรวจในประเทศมักเรียกเก็บสินบนเพื่อแลกกับการอนุญาตให้บุคคลไร้สัญชาติเดินทางจากจังหวัดหนึ่งไปยังอีกจังหวัดหนึ่ง
การเดินทางไปต่างประเทศ: ทางการกำหนดว่า บุคคลไร้สัญชาติอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ซึ่งรวมถึงชาวไทใหญ่และชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ที่ไม่ใช่ชาวเขาจำนวนหลายพันคนต้องขออนุญาตจากปลัดกระทรวงมหาดไทยหากต้องการเดินทางไปต่างประเทศ
แม้ว่ารัฐบาล คสช ได้ยกเลิกข้อห้ามเดินทางไปต่างประเทศส่วนใหญ่ในเดือนธันวาคม 2561 และยุติบทบาทของตนเองในเดือนกรกฎาคม แต่ข้อจำกัดการเดินทางยังคงมีผลสำหรับบุคคลบางคนเนื่องจากเงื่อนไขของข้อตกลงในการประกันตัวที่ลงวันที่ย้อนหลังไปสมัยรัฐบาล คสช. ผู้ที่วิจารณ์กล่าวว่าข้อจำกัดเหล่านี้มีมูลเหตุมาจากเรื่องการเมือง ไม่มีใครทราบจำนวนที่แท้จริงของคดีเหล่านี้
จ. ผู้ผลัดถิ่นในประเทศ
ไม่มีข้อมูล
ฉ. การคุ้มครองผู้ลี้ภัย
โดยทั่วไปแล้ว รัฐบาลให้ความร่วมมือกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) และองค์กรด้านมนุษยธรรมในการคุ้มครองและช่วยเหลือผู้ลี้ภัย ผู้แสวงหาที่พักพิง บุคคลไร้สัญชาติ และบุคคลในความห่วงใย (person of concern) อื่นๆ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดอยู่บ้างก็ตาม
การดูแลผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงของรัฐบาลยังคงมีลักษณะไม่สม่ำเสมอ อย่างไรก็ดี หน่วยงานภาครัฐยังคงให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงจำนวนมาก และให้ความคุ้มครองผู้ลี้ภัยเพื่อไม่ให้ถูกขับไล่หรือถูกส่งกลับประเทศ รวมทั้งอนุญาตให้ผู้ที่หนีการสู้รบหรือเหตุการณ์ความรุนแรงอื่นๆ ในประเทศเพื่อนบ้านข้ามพรมแดนมาพักในไทยได้จนกว่าการสู้รบจะยุติ นอกจากนี้ ผู้ลี้ภัยในเมืองที่ได้รับการรับรองสถานภาพจาก UNHCR รวมทั้งผู้ลี้ภัยชาวพม่าที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้วและอาศัยอยู่ในค่ายอพยพของทางการ ได้รับอนุญาตให้โยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สาม
การกระทำมิชอบต่อผู้อพยพ ผู้ลี้ภัย และบุคคลไร้สัญชาติ: ณ เดือนพฤศจิกายน ยังมีชาวโรฮีนจาถูกกักกันอยู่ 271 ราย โดยแบ่งเป็นที่ศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง 108 ราย และสถานที่อื่นๆ อีก 163 ราย ตั้งแต่ปี 2556-2558 รวมทั้งในช่วงวิกฤติผู้อพยพทางเรือในอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามันในปี 2558 มีผู้อพยพเข้าประเทศอย่างไม่ปกติ 64 ราย อีก 207 รายเดินทางเข้าประเทศอย่างไม่ปกติหลังจากปี 2559 เป็นต้นมา
ทางการยังคงปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงทุกคนที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองและที่ไม่มีวีซ่าถูกต้อง ประหนึ่งเป็นบุคคลเข้าเมืองผิดกฎหมาย บุคคลที่ถูกระบุสถานภาพว่าเป็นบุคคลเข้าเมืองผิดกฎหมายจะถูกจับและกักกันตามกฎหมาย ทางการอนุญาตให้มีการประกันตัวผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงที่ถูกกักกันได้บางประเภทเท่านั้น เช่น แม่ เด็ก และผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ ทางการใช้หลักเกณฑ์การอนุญาตโดยไม่แน่นอน
องค์การด้านมนุษยธรรมรายงานข้อกังวลว่า ผู้อพยพ ผู้ลี้ภัย และผู้แสวงหาที่พักพิงเผชิญกับสภาพที่แออัด ขาดโอกาสในการออกกำลังกาย มีเสรีภาพในการเดินทางที่จำกัด และถูกกระทำมิชอบโดยเจ้าหน้าที่ในศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
บางครั้งตำรวจตรวจคนเข้าเมืองในกรุงเทพฯ จับกุมและกักขังผู้แสวงหาที่พักพิงและผู้ลี้ภัย ซึ่งมีผู้หญิงและเด็กรวมอยู่ด้วย โดยเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายลดจำนวนผู้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและผู้ที่พำนักในประเทศเกินวันหมดอายุของวีซ่า ณ เดือนสิงหาคม มีผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงประมาณ 320 คนอาศัยอยู่ที่ศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และชาวอุยกูร์ 49 คนยังคงอยู่ระหว่างการกักตัวในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2558
การส่งผู้ลี้ภัยกลับไปสู่อันตราย: หลังจากถูกจับ บุคคลจากพม่าที่ไม่ได้มีสถานะผู้ลี้ภัยหรือเอกสารอนุญาตให้อยู่ในประเทศไทยได้ตามกฎหมาย มักจะถูกนำตัวไปส่งที่ชายแดนพม่า บางครั้งทางการให้สิทธิพิเศษกับชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ชาวพม่าบางกลุ่ม เช่น ชาวไทใหญ่ โดยผ่อนผันให้พวกเขาอยู่ในประเทศไทยได้โดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ นอกศูนย์กักกันฯ เจ้าหน้าที่ทางการจะไม่แยกความแตกต่างระหว่างชาวพม่าที่แสวงที่พักพิงกับชาวพม่าที่เข้าเมืองโดยไม่มีเอกสาร โดยพิจารณาว่า ทุกคนเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมายหมด อย่างไรก็ดี โดยปกติแล้ว ทางการอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยชาวพม่าที่ขึ้นทะเบียนและผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้วกลับไปที่ค่ายผู้ลี้ภัยได้หากถูกจับนอกค่าย
โดยปกติแล้ว ทางการไม่เนรเทศบุคคลในความห่วงใยที่มีสถานะผู้แสวงหาที่พักพิงหรือผู้ลี้ภัยของ UNHCR อย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ทางการบังคับบุคคลในความห่วงใยของ UNHCR ชาวกัมพูชารายหนึ่งกลับประเทศ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนนอกภาครัฐอ้างว่า ในเดือนมกราคม ทางการไทยร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของเวียดนามส่งตัวนาย เจือง ซุย เญิต บล็อกเกอร์ชาวเวียดนาม ซึ่งแจ้งความประสงค์อย่างเปิดเผยที่จะขอลี้ภัยกับ UNHCR ก่อนหน้านั้น กลับประเทศ
การเข้าพักค่ายพักพิง: กฎหมายไม่มีการให้สถานะผู้แสวงหาที่พักพิงหรือผู้ลี้ภัย และทางการไม่ได้จัดตั้งระบบเพื่อให้ความคุ้มครองแก่ผู้ลี้ภัย เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม รัฐบาลออกกฎหมายใหม่ (ซึ่ง UNHCR และองค์กรนอกภาครัฐเรียกว่าเป็น “ระบบคัดกรองระดับประเทศ”) ซึ่งอนุญาตให้บุคคลที่รัฐบาลถือว่าเป็นผู้ได้รับความคุ้มครองชั่วคราวจากการถูกส่งกลับประเทศ เข้าถึงบริการด้านสุขภาพ และได้รับการศึกษา (กรณีที่เป็นเด็ก) กฎหมายดังกล่าวไม่ได้ให้ใบอนุญาตทำงานแก่ผู้ที่ได้รับความคุ้มครอง และจะมีผลบังคับใช้หลังจากวันที่ประกาศใช้แล้ว 180 วัน
สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ยังคงถูกจำกัดการให้ความคุ้มครองแก่ผู้ลี้ภัยบางประเภทซึ่งอาศัยอยู่นอกค่ายผู้ลี้ภัยของทางการ การอนุญาตให้ UNHCR เข้าพบผู้แสวงหาที่พักพิงที่ศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อดำเนินการสัมภาษณ์พิจารณาสถานภาพ รวมทั้งสอดส่องดูแลผู้แสวงหาที่พักพิงที่เพิ่งมาถึงนั้น มีความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนตลอดช่วงปีที่ผ่านมา ทางการอนุญาตประเทศที่รับผู้แสวงหาที่พักพิงไปตั้งหลักแหล่งในประเทศของตนให้ดำเนินขั้นตอนต่างๆ ที่ศูนย์กักกันฯ ได้ ส่วนองค์กรด้านมนุษยธรรมก็ได้รับอนุญาตให้จัดบริการด้านสาธารณสุข อาหาร และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอื่นๆ ด้วย ทั้งนี้ มีรายงานว่าการเข้าถึงได้แตกต่างกันไปตามความพอใจของหัวหน้าศูนย์กักกันฯ แต่ละแห่ง ตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่ศูนย์กักกันฯ ที่สวนพลูในกรุงเทพฯ ไม่อนุญาตให้ UNHCR, องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) และองค์กรนอกภาครัฐอื่นๆ เข้าศูนย์กักกันฯ ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยอ้างว่ามีความจำเป็นต้องขยายพื้นที่สำหรับการดูแลสุขภาพ
รัฐบาลอนุญาตให้ UNHCR สอดส่องการคุ้มครองผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงชาวพม่าประมาณ 95,000 คนที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย 9 แห่งบริเวณชายแดนไทยที่ติดกับพม่า องค์กรนอกภาครัฐซึ่งได้รับเงินทุนจากประชาคมระหว่างประเทศให้ความช่วยเหลือปัจจัยพื้นฐานด้านมนุษยธรรมแก่ผู้ที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย เช่น บริการด้านสาธารณสุข อาหาร การศึกษา ที่พักพิง น้ำ บริการสุขอนามัย การฝึกอาชีพ และบริการอื่นๆ
ณ เดือนสิงหาคม รัฐบาลอำนวยความสะดวกให้ชาวพม่าประมาณ 2,200 คนย้ายจากค่ายลี้ภัยไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สามจำนวน 5 ประเทศ ทั้งนี้ ผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ในค่ายพักพิงตามชายแดนทั้ง 9 แห่ง แต่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางการไม่มีสิทธิโยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สาม ยกเว้นว่าจะได้เข้าร่วมกระบวนการพิสูจน์สัญชาติในปี 2558 หรือมีข้อกังวลด้านการแพทย์หรือการคุ้มครองที่รุนแรง นอกจากนี้ รัฐบาลยังร่วมกับทางการพม่าในการบันทึกข้อมูลและส่งตัวผู้ที่ขึ้นทะเบียนอาศัยอยู่ในค่ายที่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมในโครงการอาสากลับประเทศ กลับไปยังประเทศพม่า จนถึงเดือนสิงหาคม ผู้ลี้ภัยที่ลงทะเบียนไว้จำนวน 1,039 ราย อาสาเดินทางกลับพม่าในสี่กลุ่มภายใต้โครงการดังกล่าวตั้งแต่ปี 2559
เสรีภาพในการเดินทาง: ผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย 9 แห่งบริเวณชายแดนติดกับประเทศพม่าไม่มีเสรีภาพในการเดินทาง หากผู้ลี้ภัยถูกจับนอกเขตค่ายผู้ลี้ภัยอย่างเป็นทางการ ผู้ลี้ภัยอาจถูกคุกคาม ปรับ กักกันตัว ถอนทะเบียน และเนรเทศกลับประเทศ บางครั้งเจ้าหน้าที่อนุญาตให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในค่ายเดินทางออกนอกค่ายได้โดยจำกัดในกรณีเช่นไปรับการดูแลด้านการแพทย์
ผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงไม่มีสิทธิเข้ากระบวนการพิสูจน์สัญชาติอย่างเป็นทางการ ซึ่งกระบวนการนี้จะอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวจากพม่า กัมพูชา และลาว ซึ่งได้รับการพิสูจน์สัญชาติและมีหนังสือเดินทางสามารถเดินทางได้ทั่วประเทศ
การจ้างงาน: กฎหมายห้ามผู้ลี้ภัยทำงานในประเทศ รัฐบาลได้อนุญาตให้แรงงานต่างด้าวที่ไม่มีเอกสารประจำตัวที่มาจากประเทศพม่า กัมพูชา และลาว สามารถทำงานในภาคเศรษฐกิจบางส่วนได้อย่างถูกกฎหมายถ้าขึ้นทะเบียนกับทางการและดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดเพื่อขอทำเอกสารระบุสถานภาพของตน (ดูหมวดที่ 7.ง.) นอกจากนี้ กฎหมายยังอนุญาตให้ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ที่ให้ความร่วมมือกับคดีที่รออยู่ในชั้นศาลทำงานได้อย่างถูกกฎหมายเป็นระยะเวลาไม่เกิน 2 ปี (โดยอาจขยายเวลาได้) หลังจากที่การพิจารณาคดีของผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวแล้วเสร็จ ใบอนุญาตทำงานจะต้องระบุผู้ว่าจ้างโดยเฉพาะเจาะจง ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์บางราย รวมถึงชาวโรฮีนจา ยังคงมีความท้าทายในการหาโอกาสการจ้างงานที่เหมาะสมเพื่อที่จะมีใบอนุญาตทำงานได้ ค่าธรรมเนียมการลงทะเบียน การตรวจสุขภาพ และประกันสุขภาพ ยังคงเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ที่ต้องการว่าจ้างผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์
การเข้าถึงบริการพื้นฐาน: ประชาคมนานาชาติให้การบริการขั้นพื้นฐานแก่ผู้ลี้ภัยที่อาศัยภายในค่ายพักพิง 9 แห่งตามชายแดนพม่า ระบบการส่งต่อทางการแพทย์ทำให้ผู้ลี้ภัยสามารถขอรับการรักษาพยาบาลอื่นๆ ที่จำเป็นนอกเหนือจากการดูแลขั้นต้นได้ สำหรับประชากรผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงในเมืองที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร การเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขพื้นฐานยังมีน้อย องค์กรนอกภาครัฐ 3 แห่งซึ่งได้รับทุนสนับสนุนส่วนหนึ่งจากประชาคมนานาชาติ ให้บริการหรืออำนวยการดูแลสุขภาพขั้นต้นรวมถึงสุขภาพจิต สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ประสานงานการส่งต่อผู้ป่วยกรณีฉุกเฉินไปยังโรงพยาบาลท้องถิ่น
เนื่องจากเด็กผู้ลี้ภัยชาวพม่าโดยทั่วไปไม่อาจเข้ารับการศึกษาในระบบการศึกษาของรัฐบาลได้ องค์กรนอกภาครัฐจึงสนับสนุนองค์กรชุมชนที่ค่ายในการให้โอกาสทางการศึกษา และบางแห่งประสานงานกับกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับหลักสูตรการศึกษาด้วย ในกรุงเทพมหานคร ชุมชนผู้ลี้ภัยบางแห่งจัดตั้งโรงเรียนอย่างไม่เป็นทางของชุมชนเองเพื่อให้การศึกษาแก่ลูกหลานของตน บางแห่งก็ขวนขวายเรียนภาษาไทยโดยการสนับสนุนจาก UNHCR เพราะตามกฎหมายแล้ว โรงเรียนรัฐบาลจะต้องรับเด็กที่สามารถพูด อ่าน และเขียนภาษาไทยได้คล่องในระดับหนึ่งเข้าศึกษา ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะมีสถานะทางกฎหมายอย่างไรก็ตาม
การคุ้มครองชั่วคราว: โดยปกติแล้ว ทางการไม่เนรเทศบุคคลในความห่วงใยที่มีสถานะผู้แสวงหาที่พักพิงหรือผู้ลี้ภัยของ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) อย่างถูกต้อง รัฐบาลยังคงคุ้มครองผู้อพยพชาวโรฮีนจาส่วนใหญ่ที่ถูกกักกันจากทางการไม่ให้ถูกเนรเทศ รวมถึงผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศอย่างไม่ปกติในช่วงวิกฤตผู้อพยพทางเรือในอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามันเมื่อปี 2558 นอกจากนี้ ในระหว่างปี ทางการยังให้ชาวโรฮีนจากว่า 200 คนที่ถูกจับกุมขณะเดินทางผ่านประเทศไทย เข้าพักในสถานที่พักพิงภายใต้การดำเนินงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และให้ความคุ้มครองจากการถูกเนรเทศ UNHCR สามารถเข้าถึงสถานที่พักพิงเหล่านี้ในจังหวัดต่างๆ ได้ โดยที่เจ้าหน้าที่ดำเนินการคัดกรองอย่างเป็นทางการสำหรับผู้อพยพเข้าเกณฑ์ได้รับผลประโยชน์ในฐานะผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ อย่างไรก็ตาม ผู้อพยพชาวโรฮีนจาโดยส่วนใหญ่ถูกจำกัดขอบเขตให้อยู่ในสถานที่พักพิง และไม่มีเสรีภาพในการเดินทางหรือเข้าถึงใบอนุญาตทำงาน
ช. บุคคลไร้สัญชาติ
รัฐบาลยังคงดำเนินการระบุตัวบุคคลไร้สัญชาติ จัดหาเอกสารเพื่อแก้ปัญหาการไร้สัญชาติ และเปิดทางให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน รวมทั้งนักเรียนนักศึกษา สามารถขอความเป็นพลเมืองไทยได้ รัฐบาลประเมินว่า มีบุคคลราว 470,000 คนในประเทศไทยที่อาจเป็นบุคคลไร้สัญชาติหรือเสี่ยงต่อการไร้สัญชาติ โดยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในภาคเหนือ รวมถึงชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางการ และชนกลุ่มน้อยที่ไม่เคยมีเอกสารมาก่อน เจ้าหน้าที่ทางการกันชาวมุสลิมออกจากพม่า รวมทั้งบุคคลที่มีครอบครัวอาศัยอยู่ในแม่สอดใกล้ชายแดนพม่าเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน จากกระบวนการรับรองบุคคลไร้สัญชาติ
รัฐบาลมีมติที่จะทำให้คนไร้สัญชาติหมดไป และกำหนดแนวทางที่ทำให้เด็กและวัยรุ่นไร้สัญชาติประมาณ 80,000 คนได้รับสัญชาติไทย บุคคลเหล่านี้เกิดในประเทศไทยและมีบิดามารดาเป็นชนกลุ่มน้อย ขึ้นทะเบียนกับรัฐบาล และอาศัยอยู่ในประเทศมาเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 15 ปี นอกจากนี้ มติดังกล่าวยังใช้บังคับกับเยาวชนที่ไร้สัญชาติที่ไม่ทราบชาติกำเนิดที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานรัฐบาลว่า ได้อาศัยอยู่ในประเทศมาเป็นระยะเวลา 10 ปี ในเดือนเมษายน รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายเพิ่มเติมในพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร ซึ่งกำหนดแนวทางให้ทารกที่ถูกทอดทิ้งสามารถขอสูติบัตร และขอบัตรประจำตัวประชาชนไทยได้ หากบุคคลที่อยู่อาศัยในประเทศไทยต่อเนื่องเป็นเวลา 10 ปีขึ้นไป และมีคุณสมบัติอื่นๆ ครบถ้วน บุคคลดังกล่าวเข้าเกณฑ์ที่จะขอสัญชาติไทยได้
การเกิดในประเทศไม่ทำให้ได้สัญชาติโดยอัตโนมัติ ตามกฎหมาย การได้สัญชาติต้องเป็นการกำเนิดจากบุพการีที่อย่างน้อยหนึ่งคนเป็นพลเมืองไทย การสมรสกับชายไทย หรือการแปลงสัญชาติเป็นไทย นอกจากนี้ บุคคลอาจขอสัญชาติได้ตามหลักเกณฑ์พิเศษซึ่งรัฐบาลกำหนดขึ้นและดำเนินการโดยกระทรวงมหาดไทยซึ่งได้รับอนุมัติโดยคณะรัฐมนตรีหรือเป็นไปตามพระราชบัญญัติสัญชาติ (ดูหมวดที่ 6 หัวข้อ “เด็ก”) การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเมื่อเร็วๆ นี้ อนุญาตให้บุคคลไร้สัญชาติเชื้อสายไทยและบุตรที่มีคุณสมบัติตรงตามคำจำกัดความของ “ชาวไทยพลัดถิ่น” สามารถขอสถานภาพ “การมีสัญชาติไทยโดยกำเนิด” ได้
ตามกฎหมาย ชาวเขาผู้ไร้สัญชาติไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งหรือเป็นเจ้าของที่ดิน รวมทั้งถูกจำกัดการเดินทาง นอกจากนี้ บุคคลไร้สัญชาติยังไม่อาจประกอบอาชีพบางประเภทที่สงวนไว้สำหรับบุคคลสัญชาติไทย เช่น อาชีพเกษตรกรรม แม้ว่าในทางปฏิบัติ เจ้าหน้าที่ทางการจะอนุญาตให้ชาวเขาที่ไม่ได้เป็นพลเมืองไทยทำการเกษตรเพื่อยังชีพได้ บุคคลไร้สัญชาติประสบความยากลำบากในการขอกู้เงินและการเข้าถึงบริการต่างๆ ของรัฐ เช่น บริการด้านสาธารณสุข แม้ว่าเด็กไร้สัญชาติที่ไม่มีเอกสารสามารถเข้าโรงเรียนรัฐได้ แต่การศึกษาก็ด้อยคุณภาพ ผู้บริหารโรงเรียนระบุสถานภาพ “พลเมืองที่ไม่ใช่ชาวไทย” บนประกาศนียบัตรมัธยมศึกษาของเด็กเหล่านี้ซึ่งเป็นการจำกัดโอกาสทางเศรษฐกิจของพวกเขาเป็นอย่างมาก มหาวิทยาลัยไม่อนุญาตให้บุคคลไร้สัญชาติและผู้ที่ถือว่าเป็นผู้อพยพผิดกฎหมายเข้าเรียน
เนื่องจากไม่มีสถานภาพที่ถูกต้องตามกฎหมาย บุคคลไร้สัญชาติจึงเสี่ยงต่อการถูกกระทำมิชอบในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการขู่ว่าจะเนรเทศออกนอกประเทศ (ดูหมวดที่ 6 หัวข้อ “เด็กและชาวพื้นเมือง”)
หมวดที่ 3. เสรีภาพในการมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมือง
รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 กำหนดให้พลเมืองสามารถเลือกรัฐบาลของตนเองได้ด้วยการเลือกตั้งที่จัดขึ้นเป็นช่วงๆ อย่างเสรีและยุติธรรม โดยการลงคะแนนเป็นการลับ และมีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นสากลและเท่าเทียม เมื่อวันที่ 24 มีนาคม มีการจัดการเลือกตั้งทั่วประเทศขึ้นหลังจากรัฐบาล คสช. ที่นำโดยทหารเข้ามาบริหารประเทศหลังเหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2557 ช่วงเวลาการหาเสียงส่วนใหญ่เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย พรรคการเมืองจำนวนมากแข่งขันกันเพื่อให้ได้จำนวนที่นั่งในรัฐสภาและจัดให้มีการอภิปรายหาเสียงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี อย่างไรก็ตาม การจำกัดสิทธิในการหาเสียงเลือกตั้งและการใช้ข้อบังคับเพียงบางส่วนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ส่งผลกระทบต่อผลการเลือกตั้ง โดยเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคที่สนับสนุนพรรคพลังประชาติรัฐ
การเลือกตั้งและการมีส่วนร่วมทางการเมือง
การเลือกตั้งล่าสุด: มีการจัดการเลือกตั้งทั่วประเทศเมื่อวันที่ 24 มีนาคมหลังรัฐบาลทหารบริหารประเทศมาเป็นเวลา 5 ปี ในเดือนมิถุนายน สภาผู้แทนราษฎรลงคะแนนให้ ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ในเดือนกรกฎาคม คณะรัฐมนตรีของรัฐบาลประยุทธ์ สาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นการยุติบทบาทของ คสช. อย่างเป็นทางการ
มีรายงานความผิดปกติเล็กน้อยในระหว่างการเลือกตั้งทั่วประเทศเมื่อเดือนมีนาคม แม้ว่ามักจะมีรายงานว่าพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านซื้อเสียง เครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรี (ANFREL) ซึ่งเป็นองค์กรนอกภาครัฐระดับโลกเพียงองค์กรเดียวที่รัฐบาลอนุญาตให้สังเกตการณ์การเลือกตั้งได้ พบว่าการเลือกตั้ง “อิสระบางส่วน แต่ไม่เป็นธรรม” ANFREL ตั้งข้อสังเกตว่า กิจกรรมโดยเฉพาะในวันเลือกตั้งเป็นไปด้วยดีหลายประการ เช่น มีผู้ออกมาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจำนวนมาก ประชาชนสามารถเข้าถึงคูหาเลือกตั้งได้โดยเสรี และมีความสงบเรียบร้อยระหว่างการรณรงค์หาเสียงและในวันเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม ANFREL พบว่า การจำกัดสิทธิและใช้ข้อบังคับกฎหมายอย่างอคติของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ขาดความโปร่งใส หมายความว่า ทางการ “ล้มเหลวในการสร้างบรรยากาศทางการเมืองที่ดีอันเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการ เลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม”
พรรคการเมืองและการมีส่วนร่วมทางการเมือง: แม้ว่าข้อห้ามเกี่ยวกับกิจกรรมทางการเมืองจะถูกยกเลิกไปในเดือนธันวาคม 2561 แต่พรรคการเมืองหลายพรรค ร้องเรียนว่ากฎหมายเกี่ยวกับกิจกรรมรณรงค์หาเสียงกว้างและคลุมเครือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการหาเสียงด้วยสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งนำไปสู่การตรวจสอบเนื้อหาตนเอง มีการวิพากษ์วิจารณ์บ่อยครั้งว่า พรรคที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทหารที่กำลังจะหมดอำนาจนั้นได้รับประโยชน์จากการรณรงค์หาเสียงที่ผิดกฎหมายสำหรับพรรคตรงข้าม ซึ่งรวมถึงการใช้ทรัพยากรของรัฐบาลเพื่อวัตถุประสงค์ในการหาเสียงด้วย คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคไทยรักษาชาติ ซึ่งเป็นพรรคต่อต้านรัฐบาลทหาร กรณีเสนอชื่อทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นนายกรัฐมนตรี ยิ่งเป็นประโยชน์กับพรรคที่สนับสนุนรัฐบาลทหาร โดยบังคับให้ผู้สมัครบัญชีรายชื่อพรรคจำนวน 282 คน ต้องออกจากการลงสมัครรับเลือกตั้ง รวมทั้งตัดสิทธิ์ทางการเมืองของคณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติเป็นเวลา 10 ปี
การมีส่วนร่วมของสตรีและชนกลุ่มน้อย: รัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ก่อนรัฐประหารสนับสนุนให้พรรคการเมืองมีสมาชิกพรรคที่เป็นหญิงและชาย “ในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน” รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ไม่มีบทบัญญัติดังกล่าว ไม่มีกฎหมายที่ห้ามมิให้ผู้หญิงและชนกลุ่มน้อยมีส่วนร่วมทางการเมือง อย่างไรก็ดี ผู้หญิงและชนกลุ่มน้อยก็มีส่วนร่วมได้อย่างจำกัด ถึงแม้ว่าผู้หญิงและชนกลุ่มน้อยในสภาผู้แทนราษฎรและคณะรัฐมนตรีจะมีจำนวนน้อยแต่ก็เพิ่มสูงขึ้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้หญิง 81 คนจากสมาชิกทั้งหมด 500 คน และมีผู้หญิง 3 คนดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีทั้งหมด 36 คน ทั้งสามคนมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง เมื่อเทียบกันแล้ว สภานิติบัญญัติแห่งชาติที่แต่งตั้งโดย คสช. มีสมาชิกที่เป็นผู้หญิง 13 คนจากทั้งหมด 249 คน ส่วนคณะรัฐมนตรีรักษาการมีรัฐมนตรีที่เป็นผู้หญิง 1 คน จากสมาชิกทั้งหมด 36 คน สภาผู้แทนราษฎรมีสมาชิกจากกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTI) เป็นครั้งแรก โดยมีบุคคลข้ามเพศได้รับเลือกเข้ามาใหม่ 4 คน นอกจากนี้ ยังมีสมาชิกกลุ่มชาติพันธุ์ม้งได้รับเลือกให้เข้าสภาเป็นครั้งแรกด้วย
หมวดที่ 4. การทุจริตและการขาดความโปร่งใสในวงราชการ
กฎหมายกำหนดโทษทางอาญาสำหรับการทุจริตในวงราชการ ทว่า ในบางครั้งข้าราชการก็พัวพันกับการกระทำการทุจริตโดยไม่ต้องรับโทษ ในช่วงปีที่ผ่านมามีรายงานเกี่ยวกับการทุจริตในวงราชการหลายกรณี
การทุจริต: ในเดือนกรกฎาคม กลุ่มนักเคลื่อนไหวยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเพื่อขอให้ตรวจสอบการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างและการใช้งบประมาณของรัฐในทางมิชอบที่อาจเกิดขึ้น หลังจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดซื้อเครื่องบินไอพ่นของรัฐในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดประมาณ 300 ล้านบาท (10 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพื่อใช้สำหรับการเดินทางของนายประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในเดือนธันวาคม 2561 คณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติให้นายประวิตรไม่มีความผิดกรณีไม่แจ้งข้อมูลรายการทรัพย์สิน รวมถึงนาฬิกาและแหวนมูลค่ารวมประมาณ 45 ล้านบาท (1.5 ล้านเหรีญสหรัฐ) ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน เนื่องจากมีหลักฐานไม่เพียงพอ เมื่อเดือนมิถุนายน ศาลได้อ่านคำพิพากษาลับหลังนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่ง ณ ขณะนั้นอาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร และพิพากษาจำคุกนายทักษิณเป็นเวลา 2 ปี ฐานมีส่วนรู้เห็นในการทุจริตโครงการสลากกินแบ่งรัฐบาล ปี 2546
ในเดือนกรกฎาคม มิตซูบิชิ ฮิตาชิ พาวเวอร์ ซิสเต็มส์ ขอต่อรองคำรับสารภาพกับอัยการญี่ปุ่น โดยรับสารภาพตามข้อกล่าวหาว่าหนึ่งในพนักงานของบริษัทติดสินบนกับข้าราชการไทยคนหนึ่ง เพื่อแลกเปลี่ยนกับการได้รับอนุญาตให้นำอุปกรณ์เครื่องมือสำหรับโรงงานของบริษัทขึ้นท่าเรือไทยได้
ในเดือนกันยายน นายมานะ นิมิตมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้กล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่รัฐบางคนจ่ายเงิน 9.75 ล้านบาท (325,000 เหรียญสหรัฐ) ถึง 29.4 ล้านบาท (980,000 เหรียญสหรัฐ) เพื่อซื้อตำแหน่งระดับสูงในรัฐบาลที่เพิ่งได้รับการเลือกตั้งเข้ามา โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องอนุมัติโครงการบางอย่างหลังได้รับการแต่งตั้งด้วย ทว่า จนถึงเดือนพฤศจิกายน ยังไม่มีการเปิดเผยว่ามีการตั้งข้อกล่าวหาหรือการสืบสวนสอบสวนข้าราชการคนใด
การทุจริตและการรับสินบนเล็กๆ น้อยๆ ยังคงมีอยู่เป็นวงกว้างในวงการตำรวจ ทั้งนี้ ตำรวจไทยจะต้องซื้อชุดเครื่องแบบและอาวุธด้วยเงินของตนเอง ในเดือนกันยายน ตำรวจยศพันเอกนายหนึ่งจากจังหวัดอุทัยธานีถูกสั่งพักงานและต้องรับโทษทางวินัย หลังถูกจับกุมบนรถโดยสารที่ด่านตรวจของตำรวจเนื่องจากพบยาบ้าจำนวน 200,000 เม็ดในกระเป๋าเดินทางของตำรวจนายนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแจ้งว่ามีการสืบสวนเพื่อระบุตัวผู้มีส่วนร่วมรายอื่นๆ ในขบวนการลักลอบค้ายาเสพติดเดียวกันนี้ เมื่อถึงสิ้นปี การสืบสวนดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไป
การแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน: กฎหมายและระเบียบราชการกำหนดให้ข้าราชการที่ได้รับการเลือกตั้งและที่ได้รับการแต่งตั้งแจ้งรายการทรัพย์สินและรายได้ของตนตามแบบฟอร์มที่เป็นมาตรฐาน กฎหมายกำหนดบทลงโทษข้าราชการที่ไม่ได้แจ้งรายการทรัพย์สิน หรือแจ้งรายการไม่ตรงตามความเป็นจริง หรือปกปิดทรัพย์สิน โดยบทลงโทษมีดังต่อไปนี้ คือ ตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี ยึดทรัพย์ ปลดออกจากตำแหน่ง และจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท (333 เหรียญสหรัฐ) หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในเดือนสิงหาคม คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนายประหยัด พวงจำปา รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยเหตุจงใจปกปิดทรัพย์สินในรายการที่ต้องแจ้ง หลังตรวจสอบพบว่านายประหยัดได้ปกปิดการถือครองทรัพย์สินในต่างประเทศ ได้แก่ ตึกแถวในกรุงลอนดอนที่มีมูลค่า 6.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ตามคำกล่าวของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และทรัพย์สินในต่างประเทศมูลค่า 400,000 เหรียญสหรัฐ เป็นทรัพย์สินของภรรยา ในภายหลัง นายประหยัดชี้แจงว่าภรรยาของตนถือครองทรัพย์สินดังกล่าวแทนบุคคลอื่น จนถึงเดือนธันวาคม คดีนี้ยังไม่เป็นที่สิ้นสุด
หมวดที่ 5. ท่าทีของรัฐบาลต่อการสืบสวนโดยองค์กรระหว่างประเทศและองค์กรนอกภาครัฐในประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
องค์กรสิทธิมนุษยชนในประเทศและระหว่างประเทศหลายประเภทดำเนินกิจกรรมอยู่ในไทย คำสั่งต่างๆ ที่มีผลบังคับใช้ภายใต้ คสช. ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานขององค์กรนอกภาครัฐ ซึ่งรวมถึงการห้ามชุมนุมและจัดกิจกรรมทางการเมือง ตลอดจนการจำกัดบทบาทของสื่อมวลชน องค์กรนอกภาครัฐที่ดำเนินการเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองที่อ่อนไหว เช่น การปฏิรูปการเมืองหรือการคัดค้านโครงการพัฒนาที่รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุน ยังคงเผชิญกับการคุกคามเป็นระยะๆ
เจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนที่ทำงานเรื่องความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้เสี่ยงต่อการถูกคุกคามและข่มขู่จากเจ้าหน้าที่รัฐและกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบมากเป็นพิเศษ รัฐบาลให้สิทธิยกเว้นภาษีแก่องค์กรนอกภาครัฐเพียงไม่กี่ราย ซึ่งบางครั้งก็เป็นอุปสรรคต่อการหาเงินทุนขององค์กรเหล่านี้
สหประชาชาติและองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆ: สหประชาชาติรายงานว่า ยังคงไม่มีความคืบหน้าใดๆ เกี่ยวกับการขออนุญาตเดินทางมาไทยของคณะทำงานของสหประชาชาติด้านการหายสาบสูญ ผู้เสนอรายงานพิเศษของสหประชาชาติด้านเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออก ผู้เสนอรายงานพิเศษของสหประชาชาติด้านเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและการจัดตั้งสมาคม หรือผู้เสนอรายงานพิเศษของสหประชาชาติด้านสถานการณ์ของผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชน ผู้อพยพ ผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ การทรมาน ชาวพื้นเมือง และอัตลักษณ์ทางเพศและวิถีทางเพศ ณ เดือนกันยายน มีคำขออนุญาตเดินทางเยือนไทยตามกลไกพิเศษของสหประชาชาติที่ยังคงค้างอยู่รวม 21 เรื่อง
องค์กรสิทธิมนุษยชนภาครัฐ: คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เป็นคณะกรรมการอิสระที่มีภารกิจในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและจัดทำรายงานประจำปี กสม. ได้รับคำร้อง 727 เรื่อง นับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงธันวาคม ในจำนวน 446 เรื่องนี้ มี 52 เรื่องที่ กสม. รับไว้สืบสวนสอบสวนเพิ่มเติม และ 22 เรื่องเกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาการกระทำมิชอบโดยตำรวจ กลุ่มสิทธิมนุษยชนยังคงวิพากษ์วิจารณ์ กสม. กรณีไม่ยื่นฟ้องร้องผู้กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยตนเองหรือในนามของผู้ร้องเรียน นางอังคณา นีละไพจิตร และ นางเตือนใจ ดีเทศน์ นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ ลาออกจาก กสม. เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม โดยมีรายงานว่าสาเหตุมาจากความไม่พอใจวิธีการดำเนินงานภายในซึ่งขัดขวางไม่ให้กรรมการรับคำร้องโดยตรงจากสาธารณชน และลิดรอนการมีส่วนร่วมกับภาคประชาสังคมของกรรมการ เนื่องจากมีกรรมการ 2 คนลาออกจาก กสม. ก่อนหน้านี้ การลาออกของนางอังคณาและนางเตือนใจทำให้จำนวนกรรมการลดลงเหลือ 3 คน จากปกติ 7 คน ในเดือนพฤศจิกายน ประธานศาลฎีกาและประธานศาลปกครองสูงสุดใช้อำนาจหน้าที่ในการแต่งตั้งกรรมการ 4 คนเป็นการชั่วคราว ทำให้กสม. มีกรรมการเต็มจำนวน 7 อีกคนอีกครั้ง กรรมการผู้ได้รับการแต่งตั้งใหม่ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรักษาการเช่นเดียวกับกรรมการ 3 คนที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนแล้ว จนกว่ารัฐบาลจะเลือกกรรมการถาวรขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ซึ่งกระบวนการคัดเลือกดังกล่าวควรเกิดขึ้นในปี 2560 ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นหน่วยงานอิสระและมีอำนาจพิจารณาและสอบสวนคำร้องเรียนจากประชาชน หลังจากดำเนินการสอบสวน สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินอาจส่งเรื่องต่อไปยังศาลเพื่อพิจารณาต่อไป หรือให้คำแนะนำแก่หน่วยงานที่เหมาะสมเพื่อดำเนินการต่อไป สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบเรื่องร้องเรียนทั้งหมด แต่ไม่มีอำนาจบังคับให้หน่วยงานต่างๆ ดำเนินการตามคำแนะนำ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2561 จนถึงเดือนกันยายน สำนักผู้ตรวจการแผ่นดินรับเรื่องร้องเรียนใหม่ 2,609 เรื่อง โดยในจำนวนนี้มี 637 เรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาการกระทำมิชอบโดยตำรวจ
หมวดที่ 6. การเลือกปฏิบัติ การกระทำมิชอบในสังคม และการค้ามนุษย์
สตรี
การข่มขืนและความรุนแรงในครอบครัว: การข่มขืนกระทำชำเราบุรุษและสตรีเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แม้ว่ารัฐบาลไม่ได้บังคับใช้กฎหมายดังกล่าวอย่างมีประสิทธิผลเสมอไป กฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีกับผู้ที่ข่มขืนคู่สมรสของตน และมีการดำเนินคดีประเภทนี้ กฎหมายกำหนดบทลงโทษหลายระดับสำหรับคดีข่มขืนหรือการใช้กำลังทำร้ายทางเพศ เริ่มตั้งแต่โทษจำคุก 4 ปีจนถึงประหารชีวิต รวมถึงโทษปรับ
องค์กรนอกภาครัฐยืนยันว่า การข่มขืนเป็นปัญหาร้ายแรง และเห็นชอบต่อการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาในเดือนพฤษภาคม ซึ่งยกเลิกมาตรการตามกฎหมายเดิมที่ผ่อนผันให้ผู้กระทำผิดในคดีใช้กำลังทำร้ายทางเพศที่อายุต่ำกว่า 18 ปีสามารถหลีกเลี่ยงการดำเนินคดีได้ด้วยการเลือกที่จะแต่งงานกับผู้เสียหาย การแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวกำหนดให้ผู้กระทำผิดที่เป็นเยาวชนสามารถหลีกเลี่ยงการดำเนินคดีได้ภายหลังสำเร็จโครงการบำบัดแก้ไขฟื้นฟูที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกำหนดให้เข้าร่วมเท่านั้น อย่างไรก็ตาม องค์กรนอกภาครัฐแสดงความกังวลว่า การแก้ไขเพิ่มเติมในครั้งนี้ได้ทำให้คำนิยามของการข่มขืนแคบลง โดยระบุว่าการข่มขืนคือการใช้อวัยวะเพศชายล่วงล้ำผู้อื่นทางกาย ส่งผลให้ผู้เสียหายที่ถูกล่วงละเมิดโดยการใช้อวัยวะอื่นหรือวัตถุต่างๆ ไม่ได้รับการเยียวยาตามกฎหมาย
องค์กรนอกภาครัฐยังยืนยันด้วยว่า ผู้เสียหายเข้าแจ้งความคดีข่มขืนกระทำชำเราหรือการประทุษร้ายในครอบครัวน้อยกว่าความเป็นจริง ส่วนหนึ่งเนื่องจากการขาดความเข้าใจของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการตามกฎหมายเกี่ยวกับความรุนแรงต่อสตรีอย่างมีประสิทธิผล
องค์กรนอกภาครัฐระบุว่า รัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่แก้ปัญหาอย่างไม่เพียงพอ และผู้เสียหายมักมองว่า ตำรวจไม่สามารถนำผู้กระทำผิดมาลงโทษได้
การใช้ความรุนแรงต่อสตรีเป็นปัญหาสำคัญ กระทรวงสาธารณสุขบริหารจัดการศูนย์ช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกกระทำรุนแรง (One Stop Crisis Center: OSCC) ซึ่งให้ข้อมูลและบริการแก่ผู้เสียหายที่ถูกทำร้ายร่างกายและล่วงละเมิดทางเพศทั่วประเทศ กฎหมายยังกำหนดมาตรการอำนวยความสะดวกในการแจ้งความเหตุรุนแรงในครอบครัวและการรอมชอมระหว่างผู้เสียหายและผู้กระทำผิด นอกจากนี้ กฎหมายยังห้ามมิให้สื่อรายงานคดีความรุนแรงในครอบครัวระหว่างที่คดียังอยู่ในระบบกระบวนการยุติธรรม องค์กรนอกภาครัฐแสดงข้อกังวลเกี่ยวกับกฎหมายว่า การเน้นการส่งเสริมครอบครัวมั่นคงจะสร้างแรงกดดันต่อผู้เสียหายให้ยอมรอมชอมโดยไม่มีการแก้ปัญหาสวัสดิภาพและเป็นเหตุให้อัตราการพิพากษาลงโทษต่ำ
ทางการได้ดำเนินคดีความรุนแรงในครอบครัวบางคดี ตามบทบัญญัติว่าด้วยการทำร้ายร่างกายหรือการใช้ความรุนแรงต่อผู้อื่นซึ่งผู้กระทำผิดอาจได้รับโทษที่หนักขึ้น อย่างไรก็ตาม กลุ่มสิทธิสตรีรายงานว่า บ่อยครั้งไม่มีการแจ้งความการใช้ความรุนแรงในครอบครัว และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มักไม่กระตือรือร้นที่จะติดตามคดีประเภทนี้ รัฐบาลดำเนินงานศูนย์พักพิงสำหรับผู้เสียหายจากความรุนแรงในครอบครัวจังหวัดละ 1 แห่ง ศูนย์ช่วยเหลือของรัฐที่จัดตั้งขึ้นในโรงพยาบาลรัฐทุกแห่งให้การดูแลรักษาสตรีและเด็กที่ถูกทำร้าย
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ยังคงพัฒนาระบบเครือข่ายชุมชนที่ช่วยป้องกันสตรีจากปัญหาความรุนแรงในครอบครัวต่อไปโดยดำเนินการทั่วทุกภาคของประเทศ โครงการดังกล่าวมุ่งเน้นอบรมตัวแทนจากแต่ละชุมชนเกี่ยวกับสิทธิสตรีและการป้องกันการถูกกระทำมิชอบเพื่อยกระดับความตระหนักรู้ในชุมชน
การขริบอวัยวะเพศสตรี: ไม่มีกฎหมายเฉพาะเจาะจงที่ห้ามมิให้ขริบอวัยวะเพศสตรี องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า แม้ไม่มีข้อมูลทางสถิติเผยแพร่ แต่มีกรณีการขริบอวัยวะเพศสตรีในภาคใต้ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ไม่มีรายงานว่ารัฐบาลพยายามป้องกันหรือแก้ไขการปฏิบัติดังกล่าว
การคุกคามทางเพศ: การคุกคามทางเพศเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน กฎหมายกำหนดปรับโทษผู้ที่ถูกศาลตัดสินว่าคุกคามทางเพศต่อผู้อื่นเป็นจำนวนเงินไม่เกิน 20,000 บาท (666 เหรียญสหรัฐ) โดยการคุกคามทางเพศที่ถือว่าเป็นการกระทำอนาจารอาจต้องโทษจำคุกสูงสุด 15 ปีและโทษปรับสูงสุด 30,000 บาท (1,000 เหรียญสหรัฐ) นอกจากนี้ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนห้ามมิให้คุกคามทางเพศ และกำหนดบทลงโทษไว้ 5 ระดับ คือ ภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน ลดขั้นเงินเดือน สั่งพักราชการ และไล่ออก องค์กรนอกภาครัฐอ้างว่า คำจำกัดความตามกฎหมายของคำว่าการคุกคามทางเพศมีความคลุมเครือและทำให้การดำเนินคดีประเภทนี้เป็นเรื่องลำบาก ซึ่งทำให้การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวไม่มีประสิทธิผล
การบังคับให้ควบคุมจำนวนประชากร: ไม่มีรายงานว่ามีการบังคับให้ทำแท้ง หรือทำหมัน
การเลือกปฏิบัติ: รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ระบุว่า “ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองจะกระทำมิได้”
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ โดยจัดสรรงบประมาณในการสร้างความตระหนักเกี่ยวกับพระราชบัญญัติดังกล่าวและส่งเสริมการศึกษาเกี่ยวกับเพศสภาพและความเท่าเทียมระหว่างเพศ รวมถึงพิจารณาไต่สวนข้อร้องเรียนจากผู้ที่ถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ นับตั้งแต่ปี 2558 กระทรวง พม. ได้รับข้อร้องเรียนมากกว่า 41 เรื่อง และให้การตัดสินแล้ว 24 เรื่อง คดีส่วนใหญ่เป็นกรณีบุคคลข้ามเพศถูกเลือกปฏิบัติ (ดูหมวดย่อย “การกระทำรุนแรง การเลือกปฏิบัติ และการถูกกระทำมิชอบอื่น ๆ เนื่องจากวิถีทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศภาวะ” ด้านล่าง) ผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชนแสดงข้อกังวลเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ เนื่องจากการทบทวนข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติมีความล่าช้ามาก นอกจากนี้ ประชาชนและสำนักงานประจำจังหวัดของกระทรวง พม. ยังขาดความเข้าใจกฎหมายดังกล่าวอีกด้วย
โดยทั่วไป ผู้หญิงมีสถานะและสิทธิทางกฎหมายเช่นเดียวกับผู้ชาย อย่างไรก็ตาม บางครั้ง ผู้หญิงก็ประสบกับการเลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการจ้างงาน ผู้ที่มีความผิดว่าด้วยการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศต้องระวางโทษจำคุกสูงสุด 6 เดือนหรือปรับสูงสุด 20,000 บาท (666 เหรียญสหรัฐ) หรือทั้งจำทั้งปรับ กฎหมายห้ามมิให้เลือกปฏิบัติในการจ้างงานเนื่องจากเพศและอัตลักษณ์ทางเพศภายใต้นโยบาย กฎ ระเบียบ ประกาศ โครงการหรือขั้นตอนใดๆ ของหน่วยงานรัฐ หน่วยงานเอกชน และปัจเจกชน แต่ยังคงระบุข้อยกเว้นไว้ 2 ประการซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของกลุ่มประชาสังคม อันได้แก่ หลักการทางศาสนาและความมั่นคงของชาติ
คู่สมรสชาวต่างชาติของผู้หญิงไทยไม่สามารถขอความเป็นพลเมืองตามสัญชาติของภรรยาได้ ซึ่งต่างจากคู่สมรสชาวต่างชาติของผู้ชายไทย
ในจำนวนกำลังพลทั่วประเทศ มีทหารหญิงประมาณร้อยละ 9 นโยบายของกระทรวงกลาโหมจำกัดจำนวนบุคลากรหญิงในหน่วยงาน โดยส่วนใหญ่อยู่ที่ไม่เกินร้อยละ 25 ยกเว้นหน่วยงานด้านการแพทย์หรือการพยาบาลเฉพาะทาง งบประมาณ และการเงิน ซึ่งอนุญาตให้มีเจ้าหน้าที่หญิงได้ร้อยละ 35 ของจำนวนเจ้าหน้าที่ในหน่วยงาน สถาบันการศึกษาของทหาร (ยกเว้นวิทยาลัยพยาบาล) ไม่รับผู้หญิงเข้าศึกษา แม้ว่าสถาบันเหล่านี้จะมีอาจารย์ที่เป็นเพศหญิงอยู่จำนวนมากก็ตาม
ตั้งแต่เดือนกันยายน 2561 โรงเรียนนายร้อยตำรวจยกเลิกการรับสมัครผู้หญิงเข้าเป็นนักเรียน นักเคลื่อนไหววิจารณ์ว่า การตัดสินใจดังกล่าวขัดกับความมุ่งหมายของพระราชบัญญัติความเท่าเทียมทางเพศ นอกจากนี้ นักเคลื่อนไหวยังได้ส่งคำร้องอย่างเป็นทางการให้กับสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อพิจารณาการตัดสินใจดังกล่าวอีกครั้ง ในอีกกรณีหนึ่ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุข้อกำหนดในประกาศจ้างงานในตำแหน่งพนักงานสอบสวนใหม่ว่า ต้องเป็น “เพศชาย” กสม. และชมรมพนักงานสอบสวนหญิงได้แสดงการคัดค้านอย่างเปิดเผยต่อคำประกาศนี้ รายงานของสื่อระบุว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติกล่าวถึงความจำเป็นที่ต้องกำหนดเฉพาะเพศชาย โดยอ้างเหตุผลและข้อสังเกตว่าตำแหน่งพนักงานสอบสวนต้องแบกรับภาระปริมาณงานมากและพนักงานสอบสวนหญิงมักจะลาป่วยบ่อยครั้งหรือลาออกโดยกะทันหัน
เด็ก
การจดทะเบียนเกิด: เด็กได้รับสัญชาติไทยตั้งแต่แรกเกิดหากมีบิดาหรือมารดาถือสัญชาติไทย การเกิดในประเทศไม่ได้ทำให้ได้รับสัญชาติโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ดี เด็กทุกคนที่เกิดในประเทศไทยมีสิทธิได้รับสูติบัตร ซึ่งจะทำให้เด็กได้รับสิทธิประโยชน์บางอย่างจากทางการ โดยไม่สำคัญว่าถือสัญชาติใด (ดูหมวดที่ 2.ง.) กฎหมายกำหนดว่า เด็กทุกคนที่เกิดในประเทศจะได้รับสูติบัตรจากทางการไม่ว่าบิดามารดาจะมีสถานภาพทางกฎหมายอย่างไร บิดามารดาหลายคนไม่ขอสูติบัตรให้แก่บุตรของตนเพราะขั้นตอนยุ่งยากและไม่ตระหนักถึงความสำคัญของเอกสารนี้ องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า บางครั้งชาวเขาและบุคคลไร้สัญชาติอื่นๆ ไม่ได้แจ้งเกิดกับเจ้าหน้าที่รัฐ เนื่องจากข้าราชการท้องถิ่นมีข้อมูลไม่ถูกต้องหรือไม่มีคุณธรรม อุปสรรคด้านภาษา และการถูกจำกัดการเดินทางทำให้การขอสูติบัตรเป็นเรื่องลำบาก
การศึกษา: คำสั่ง คสช. กำหนดให้เด็กทุกคนได้รับ “การศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปี ตั้งแต่ก่อนประถมศึกษาจนถึงการศึกษาภาคบังคับ อย่างมีคุณภาพ” โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ซึ่งหมายถึงจนสำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 องค์กรนอกภาครัฐระบุว่า บุตรของแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนแล้ว แรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน ผู้ลี้ภัย และผู้แสวงหาที่พักพิง เข้าถึงการศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลได้อย่างจำกัด
การกระทำทารุณเด็ก: กฎหมายมีบทบัญญัติคุ้มครองเด็กจากการถูกกระทำทารุณ และกฎหมายว่าด้วยการข่มขืนกระทำชำเราและการทอดทิ้งกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงขึ้นในกรณีที่ผู้เสียหายเป็นเด็ก กฎหมายกำหนดให้ผู้ที่ข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีต้องระวางโทษจำคุก 4 ถึง 20 ปีและปรับ 80,000 ถึง 400,000 บาท (2,670 ถึง 13,300 เหรียญสหรัฐ) ผู้ที่ทอดทิ้งเด็กอายุต่ำกว่า 9 ปีต้องระวางโทษจำคุก 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท (2,000 เหรียญสหรัฐ) หรือทั้งจำทั้งปรับ มีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองพยาน ผู้เสียหายและผู้กระทำผิดที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีในคดีการกระทำมิชอบและคดีละเมิดทางเพศต่อเด็ก กลุ่มผู้สนับสนุนด้านสิทธิรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงไม่เต็มใจสืบสวนสอบสวนคดีการกระทำมิชอบเหล่านี้นัก ซึ่งส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินคดีกระทำมิชอบต่อเด็ก
การแต่งงานก่อนวัยอันควรและการบังคับแต่งงาน: กฎหมายกำหนดให้ทั้งหญิงและชายที่จะแต่งงานต้องมีอายุอย่างน้อย 17 ปี อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปีต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองก่อนจึงจะแต่งงานได้ ศาลอาจอนุญาตให้ผู้ที่มีอายุ 15-16 ปีแต่งงานได้
เกิร์ลส น็อต บรายด์ส ซึ่งเป็นองค์กรนอกภาครัฐระหว่างประเทศ รายงานว่า ร้อยละ 23 ของเด็กหญิงในไทยแต่งงานก่อนจะมีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ และร้อยละ 4 แต่งงานก่อนอายุ 15 ปี อ้างอิงสถิติจากปี 2558-2559 ซึ่งเป็นข้อมูลล่าสุด
ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวและมรดกอนุญาตให้เด็กหญิงแต่งงานได้หลังจากมีประจำเดือนครั้งแรกหากได้รับการยินยอมจากบิดามารดา ผู้สนับสนุนด้านสิทธิเด็กและสื่อมวลชนรายงานว่า ชายชาวมาเลเซียมักจะข้ามฝั่งมาทางภาคใต้ของไทยเพื่อแต่งงานกับเด็ก ในเดือนธันวาคม 2561 คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยเพิ่มอายุขั้นต่ำในการสมรสจาก 15 เป็น 17 ปี อย่างไรก็ตาม ระเบียบใหม่นี้อนุญาตให้เด็กชาวมุสลิมที่อายุน้อยกว่า 17 ปีแต่งงานได้หากมีหนังสืออนุญาตจากศาลหรือหนังสือแสดงความยินยอมจากผู้ปกครอง ซึ่งจะต้องได้รับการพิจารณาจากคณะอนุกรรมการพิเศษ 3 คน และในจำนวนนี้ เป็นสตรีที่มีความรู้ความเข้าใจในศาสนาอิสลามอย่างน้อย 1 คน
การแสวงหาประโยชน์ทางเพศกับเด็ก: กฎหมายกำหนดบทลงโทษรุนแรงต่อผู้ที่จัดหา ล่อลวง บังคับ หรือข่มขู่เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีให้ค้าประเวณี และกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงขึ้นต่อผู้ที่จ่ายเงินเพื่อมีเพศสัมพันธ์กับเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ทางการยังอาจลงโทษบิดามารดาที่ยอมให้บุตรเข้าสู่ธุรกิจการค้าประเวณี ตลอดจนเพิกถอนสิทธิในฐานะบิดามารดาได้ กฎหมายห้ามมิให้ผลิต เผยแพร่ นำเข้า หรือส่งออกสื่อลามกอนาจารเด็ก นอกจากนี้ ยังกำหนดบทลงโทษรุนแรงสำหรับบุคคลที่แสวงประโยชน์ทางเพศกับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ซึ่งรวมถึงการจัดหาผู้ค้าประเวณี การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมทางเพศต่อเด็กในรูปแบบอื่นๆ
การค้าประเวณีเด็กยังคงเป็นปัญหาอยู่ และประเทศไทยก็ยังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อมีเพศสัมพันธ์กับเด็กอยู่ แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามต่อสู้กับปัญหานี้อย่างต่อเนื่องก็ตาม เด็กต่างด้าวและเด็กที่เป็นชนกลุ่มน้อย ตลอดจนเด็กในครอบครัวยากจนยังคงเสี่ยงต่อการถูกบังคับค้าประเวณีมากเป็นพิเศษ และมีกรณีที่ตำรวจจับกุมบิดามารดาที่บังคับให้บุตรของตนค้าประเวณี ทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติยังคงก่ออาชญากรรมล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก ซึ่งรวมถึงการแสวงหาประโยชน์ทางเพศเชิงพาณิชย์จากเด็ก และการผลิตและการเผยแพร่สื่อลามกอนาจารเด็กด้วย
รัฐบาลได้พยายามมาตลอดปีที่จะต่อสู้กับการแสวงประโยชน์ทางเพศกับเด็ก ซึ่งรวมถึงการเปิดศูนย์ช่วยเหลือเด็กจำนวน 2 แห่งที่จังหวัดอุบลราชธานีและกาญจนบุรี เพิ่มเติมจากศูนย์เดิมที่มีอยู่แล้วในจังหวัดเชียงใหม่ เมืองพัทยา และจังหวัดภูเก็ต ซึ่งช่วยให้การสัมภาษณ์ผู้เสียหายและพยานที่เป็นเด็กมีความเหมาะสมกับพัฒนาการ นอกจากนี้ ทางศูนย์ยังมีการสัมภาษณ์เชิงนิติวิทยาศาสตร์ และการให้ความช่วยเหลือในระยะแรกเริ่มแก่เด็กที่ถูกทารุณ ค้ามนุษย์ และแสวงหาประโยชน์ คณะทำงานปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งประกอบไปด้วยหลากหลายหน่วยงาน ยังคงเร่งรัดการปฏิบัติงานโดยใช้ข้อบังคับและวิธีสืบสวนใหม่ๆ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการติดตามผู้ที่แสวงหาประโยชน์จากเด็กทางอินเทอร์เน็ต
เด็กพลัดถิ่น: โดยทั่วไป ทางการจะส่งเด็กที่อาศัยอยู่ตามข้างถนนไปที่สถานพักพิงที่รัฐบาลจัดให้ในแต่ละจังหวัด แต่ผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารประจำตัวมักเลี่ยงที่จะเข้าไปอยู่ในสถานพักพิงเหล่านั้นเพราะเกรงว่าจะถูกเนรเทศออกนอกประเทศ จนถึงเดือนกันยายน 2561 รัฐบาลรายงานว่ามีเด็กข้างถนนที่แสวงหาสถานพักพิง 4,323 คนทั่วประเทศ ในเดือนกรกฎาคม 2562 มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก ซึ่งเป็นองค์กรนอกภาครัฐ รายงานว่ามีเด็กที่อาศัยอยู่ตามข้างถนนประมาณ 50,000 คนในประเทศไทย และในจำนวนดังกล่าวเป็นเด็กต่างด้าว 20,000 คน โดยทั่วไปแล้ว รัฐบาลจะส่งเด็กไร้บ้านที่เป็นคนไทยเข้าเรียนที่โรงเรียน ศูนย์ฝึกอาชีพ หรือส่งกลับครอบครัวภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ รัฐบาลส่งตัวเด็กข้างถนนบางคนที่มาจากประเทศอื่นกลับมาตุภูมิ
เด็กในสถานสงเคราะห์: มีการรายงานอย่างจำกัดเกี่ยวกับการกระทำมิชอบในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าหรือสถานสงเคราะห์อื่นๆ
การลักพาเด็กระหว่างประเทศ: ประเทศไทยเป็นภาคีอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการดำเนินการทางแพ่งต่อการลักพาเด็กระหว่างประเทศ พ.ศ. 2523 ทั้งนี้ สามารถอ่าน รายงานประจำปีเรื่องการลักพาตัวลูกข้ามชาติโดยพ่อหรือแม่ ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ที่ https://travel.state.gov/content/travel/en/International-Parental-Child-Abduction/for-providers/legal-reports-and-data/reported-cases.html
การต่อต้านยิว
ชาวยิวในไทยมีจำนวนน้อยมาก และไม่มีรายงานเกี่ยวกับการต่อต้านชาวยิว อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งภาพบุคคลและสัญลักษณ์นาซีถูกนำมาแสดงบนสินค้าและใช้ในโฆษณา นางสาวพิชญาภา นาถา สมาชิกวงทีนพอป BNK48 ถูกวิพากษ์วิจารณ์หลังสวมเสื้อยืดที่มีสัญลักษณ์สวัสดิกะของพรรคนาซี เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนหน้าวันรำลึกถึงเหตุการณ์การฆ่าล้างเผาพันธุ์ชาวยิวสากล และในภายหลังนางสาวพิชญาภาออกมาขอโทษสำหรับการกระทำนี้
การค้ามนุษย์
สามารถอ่าน รายงานว่าด้วยการค้ามนุษย์ ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกอบที่ https://www.state.gov/trafficking-in-persons-report/
คนทุพพลภาพ
รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ห้ามมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยมีสาเหตุมาจากความพิการ และสภาวะทางร่างกายหรือสุขภาพ กฎหมายให้สิทธิพิเศษทางภาษีกับนายจ้างที่ว่าจ้างคนทุพพลภาพเข้ามาทำงานตามจำนวนที่กำหนดไว้ ประมวลรัษฎากรให้สิทธิลดหย่อนภาษีเป็นพิเศษเพื่อส่งเสริมให้มีการจ้างงานคนทุพพลภาพ
รัฐบาลปรับแต่งสิ่งอำนวยความสะดวกและอาคารสาธารณะหลายแห่งเพื่อให้เอื้อต่อคนทุพพลภาพ แต่การบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลยังไม่มีประสิทธิผลโดยสม่ำเสมอกัน กฎหมายกำหนดให้คนทุพพลภาพต้องสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การสื่อสาร และอาคารที่สร้างใหม่ แต่บทบัญญัติเหล่านี้ไม่ได้มีการบังคับใช้อย่างเป็นเอกภาพ กฎหมายกำหนดให้คนทุพพลภาพที่ขึ้นทะเบียนไว้กับทางราชการมีสิทธิได้รับบริการตรวจโรค รถเข็น และไม้ยันรักแร้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
โครงการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการโดยชุมชนของรัฐบาลและโครงการศูนย์การเรียนรู้คนพิการในชุมชนยังคงดำเนินงานอยู่ในทุกจังหวัด นอกจากนี้ รัฐบาลยังให้เงินกู้ปลอดดอกเบี้ยเป็นเวลา 5 ปีแก่คนทุพพลภาพที่ดำเนินธุรกิจขนาดย่อม
รัฐบาลมีโรงเรียนพิเศษและศูนย์การศึกษาสำหรับเด็กที่มีความพิการ ตลอดจนศูนย์พัฒนาศักยภาพและอาชีพคนพิการหลายสิบแห่งสำหรับผู้ใหญ่ที่มีความพิการ กฎหมายกำหนดให้โรงเรียนของรัฐทั่วประเทศต้องรับนักเรียนทุพพลภาพเข้าศึกษา และในช่วงปีที่ผ่านมา โรงเรียนส่วนใหญ่ก็จัดการเรียนการสอนให้แก่นักเรียนทุพพลภาพ รัฐบาลยังมีสถานสงเคราะห์และศูนย์ฟื้นสมรรถภาพสำหรับคนทุพพลภาพโดยเฉพาะ รวมถึงศูนย์ดูแลเด็กออทิสติก
องค์กรคนพิการรายงานว่า การเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับบริการสาธารณะต่างๆ รวมทั้งแพลตฟอร์มทางการเมืองก่อนหน้าการเลือกตั้งนั้นกระทำได้ยาก
นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิผู้ทุพพลภาพบางคนอ้างว่าเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ของสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ กระทรวง พม. และบริษัทเอกชนมักจะทำสัญญากับองค์กรคนพิการเพื่อจ้างงานบุคคลทุพพลภาพ ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ที่ไม่สุจริตในภาครัฐและองค์กรคนพิการหักค่าจ้างส่วนหนึ่งของลูกจ้างเหล่านี้ได้
ชนกลุ่มน้อยทางสัญชาติ/เชื้อชาติ/ชาติพันธุ์
คน 2 กลุ่มคือ อดีตทหารในสงครามกลางเมืองของจีนและลูกหลานที่อาศัยอยู่ในไทยมาหลายทศวรรษ และลูกของชาวเวียดนามอพยพที่อาศัยอยู่ใน 13 จังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยังคงดำรงชีวิตอยู่ภายใต้กฎหมายและกฎข้อบังคับที่จำกัดการเดินทาง ที่พักอาศัย การศึกษา และการเข้าถึงการจ้างงานของภาครัฐ กฎหมายจำกัดให้ชาวจีนกลุ่มนี้พักอาศัยอยู่ใน 3 จังหวัดทางภาคเหนือ คือ เชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน
ชาวพื้นเมือง
ชาวเขาที่ไม่มีสัญชาติไทยยังคงถูกจำกัดการเดินทาง ไม่สามารถมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ประสบความยากลำบากในการกู้ยืมเงินจากธนาคาร และเผชิญกับการเลือกปฏิบัติในการจ้างงาน ถึงแม้ว่ากฎหมายแรงงานจะให้สิทธิแก่ชาวพื้นเมืองเหล่านี้ให้ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมในฐานะลูกจ้าง แต่นายจ้างยังคงละเมิดสิทธินั้นบ่อยครั้งโดยจ่ายค่าแรงให้พวกเขาน้อยกว่าเพื่อนร่วมงานชาวไทยและน้อยกว่าอัตราค่าแรงขั้นต่ำ กฎหมายยังจำกัดอาชีพสำหรับบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย อีกทั้งกีดกันบุคคลเหล่านี้จากสวัสดิการของรัฐ แต่กำหนดให้พวกเขาสามารถเข้าถึงการรักษาฟรีที่รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนได้อย่างจำกัด
กฎหมายให้สิทธิการขอสัญชาติแก่ชาวเขาบางกลุ่มที่ก่อนหน้านี้ไม่มีสิทธิ (ดูหมวดที่ 2.ง.) รัฐบาลสนับสนุนความพยายามในการให้สัญชาติและให้ความรู้ชาวเขาเกี่ยวกับสิทธิของตน
การกระทำรุนแรง การเลือกปฏิบัติ และการถูกกระทำมิชอบอื่นๆ เนื่องจากวิถีทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศ
ไม่มีกฎหมายใดระบุว่า การแสดงออกซึ่งวิถีทางเพศหรือการมีเพศสัมพันธ์โดยสมัครใจระหว่างบุคคลเพศเดียวกันที่บรรลุนิติภาวะแล้วเป็นความผิดทางอาญา
กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTI) รายงานว่า เมื่อพวกตนตกเป็นผู้เสียหายจากอาชญากรรม ตำรวจจะปฏิบัติต่อพวกตนเช่นที่ปฏิบัติต่อคนทั่วไป ยกเว้นในกรณีอาชญากรรมทางเพศ ซึ่งตำรวจมักมีแนวโน้มที่จะไม่ให้ความสำคัญกับการละเมิดทางเพศมากนัก หรือไม่เห็นการคุกคามทางเพศเป็นเรื่องจริงจัง
กฎหมายไม่อนุญาตให้บุคคลข้ามเพศเปลี่ยนการระบุเพศของตนในเอกสารแสดงตน ซึ่งเมื่อรวมกับการเลือกปฏิบัติของสังคมกลุ่มใหญ่แล้ว ทำให้โอกาสสมัครงานของบุคคลข้ามเพศถูกจำกัด
โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) และองค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศถูกเลือกปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตชนบท UNDP ยังระบุอีกว่า สื่อนำเสนอบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในลักษณะเหมารวมและเป็นไปให้ทางลบ ซึ่งส่งผลให้เกิดการเลือกปฏิบัติกับคนกลุ่มนี้
กฎหมายว่าด้วยความเท่าเทียมระหว่างเพศห้ามไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติ “เพราะเหตุที่บุคคลนั้นเป็นเพศชายหรือเพศหญิง หรือมีการแสดงออกที่แตกต่างจากเพศโดยกำเนิด” และปกป้องนักศึกษาข้ามเพศจากการถูกเลือกปฏิบัติ ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติอยู่ระหว่างการทบทวนแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2562-2566 โดยแผนสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ฉบับ พ.ศ. 2557-2561 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีเนื้อหาเกี่ยวกับขั้นตอนการปกป้องสิทธิของ “ผู้มีความหลากหลายทางเพศ/อัตลักษณ์ทางเพศ”
องค์กรนอกภาครัฐและสหประชาชาติรายงานว่า บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศถูกเลือกปฏิบัติในหลายภาคส่วน รวมทั้งในกระบวนการการเกณฑ์ทหาร ขณะถูกคุมขัง และจากนโยบายที่เคร่งครัดเกี่ยวกับเครื่องแบบของโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ซึ่งกำหนดให้นักเรียนนักศึกษาต้องสวมเครื่องแบบที่ตรงกับเพศกำเนิด ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบการแต่งกายของโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย อาจถูกปฏิเสธไม่ให้เอกสารแสดงการจบการศึกษา ถูกลดเกรด หรือทั้งสองอย่าง
ในเดือนพฤษภาคม กระทรวงศึกษาธิการบรรจุหลักสูตรการเรียนการสอนใหม่ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับวิถีทางเพศและความหลากหลายทางเพศสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังกลุ่ม LGBTI รณรงค์สนับสนุนประเด็นดังกล่าวมาเป็นเวลา 2 ปี
มีการเลือกปฏิบัติในทางธุรกิจเนื่องจากวิถีทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศอยู่บ้าง
การตีตราทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวีและเอดส์
บุคคลที่ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคเอดส์ต้องเผชิญกับการตีตราทางสังคมอยู่บ้าง แม้ว่ารัฐบาลและองค์กรนอกภาครัฐจะพยายามให้ความรู้อย่างแพร่หลายในเรื่องนี้ มีรายงานว่า นายจ้างบางรายปฏิเสธที่จะจ้างงานผู้ที่ตรวจพบว่ามีเชื้อเอชไอวี
หมวดที่ 7. สิทธิของคนงาน
ก. เสรีภาพในการจัดตั้งสมาคมและสิทธิในการร่วมเจรจาต่อรองแบบรวมกลุ่ม
รัฐธรรมนูญกำหนดให้บุคคลมีเสรีภาพในการรวมตัวกันและจัดตั้งสมาคม สหกรณ์ สหภาพ องค์การ ชุมชน หรือหมู่คณะอื่นๆ โดยกฎหมายแรงงานรับรองสิทธิในการจัดตั้งสหภาพแรงงานและการเจรจาต่อรองแบบกลุ่มของพนักงานในภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจ ข้าราชการพลเรือนสามารถรวมตัวกันจัดตั้งกลุ่มได้ ตราบใดที่การรวมกลุ่มไม่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินและความต่อเนื่องของบริการสาธารณะ และวัตถุประสงค์ของกลุ่มจะต้องไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง
ในจำนวนพนักงานที่รับค่าจ้างและเงินเดือนทั้งหมด มีร้อยละ 3.5 เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน และมีเพียง 34 จาก 77 จังหวัดเท่านั้นที่มีการจัดตั้งสหภาพแรงงาน
กฎหมายอนุญาตให้พนักงานในภาคเอกชนจัดตั้งและเข้าร่วมสหภาพแรงงานที่ตนเลือกโดยไม่ต้องขออนุญาตก่อน รวมถึงให้ร่วมเจรจาต่อรองแบบรวมกลุ่มได้ และนัดประท้วงหยุดงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แม้ว่าสิทธิเหล่านี้จะมีข้อจำกัดต่างๆ เช่น ลูกจ้างมีสิทธิในการนัดหยุดงานตามกฎหมาย โดยมีเงื่อนไขว่าลูกจ้างจะต้องยื่นจดหมายแจ้งทางการล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง และการประท้วงจะต้องไม่กระทำบนถนนสาธารณะและไม่ฝ่าฝืนกฎหมายใดๆ
เมื่อเจรจาต่อรองแบบกลุ่ม ลูกจ้างสามารถยื่นข้อเรียกร้องผ่านสหภาพแรงงานได้หากสหภาพมีสมาชิกอย่างน้อย 1 ใน 5 ของจำนวนพนักงานทั้งหมด หรือในกรณีที่สถานประกอบการไม่มีสหภาพแรงงาน ข้อเรียกร้องจะต้องได้มีลายมือชื่อของพนักงานอย่างน้อยร้อยละ 15 ของจำนวนพนักงานทั้งหมด กฎหมายกำหนดว่าลูกจ้างต้องมีนายจ้างคนเดียวกันหรือต้องอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันจึงจะสามารถก่อตั้งเป็นสหภาพได้ คนงานตามสัญญาจ้างไม่สามารถเข้าร่วมสหภาพได้แม้จะทำงานในโรงงานเดียวกันและทำงานในลักษณะเดียวกันกับลูกจ้างเต็มเวลา เนื่องจากคนงานตามสัญญาจ้างจัดว่าเป็นพนักงานประเภทอุตสาหกรรมบริการ ในขณะที่ลูกจ้างเต็มเวลาจัดอยู่ในประเภท “อุตสาหกรรมการผลิต”อย่างไรก็ดี กฎหมายกำหนดให้คนงานตามสัญญาจ้างมีสิทธิได้รับผลประโยชน์ต่างๆ เช่นเดียวกับสมาชิกสหภาพแรงงาน การที่คนงานตามสัญญาจ้างและลูกจ้างเต็มเวลาไม่สามารถเข้าร่วมสหภาพแรงงานเดียวกันได้อาจลดผลประโยชน์จากการเจรจาต่อรองในฐานะกลุ่มใหญ่ นอกจากนี้ คนงานตามสัญญาจ้างระยะสั้นยังมีแนวโน้มที่จะเข้าร่วมสหภาพแรงงานน้อยกว่าลูกจ้างประเภทอื่นเพราะกลัวว่าตนจะตกงาน ผู้สนับสนุนด้านแรงงานกล่าวอ้างว่า มีบริษัทหลายแห่งที่จ้างคนงานตามสัญญาจ้างเพื่อบั่นทอนความพยายามในการจัดตั้งสหภาพแรงงานของลูกจ้าง จากการสำรวจอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์พบว่า คนงานมากกว่าร้อยละ 45 เป็นคนงานตามสัญญาจ้าง และในจำนวนดังกล่าว ประมาณครึ่งหนึ่งเป็นคนงานตามสัญญาจ้างระยะสั้น
กฎหมายอนุญาตให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งมีสหภาพแรงงานได้ 1 กลุ่ม รัฐวิสาหกิจในประเทศไทยนั้นมีทั้งธนาคาร รถไฟ สายการบิน สนามบิน ท่าเรือ และบริการไปรษณีย์ของรัฐ หากสมาชิกภาพของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจใดมีจำนวนลดลงต่ำกว่าร้อยละ 25 ของจำนวนลูกจ้างทั้งหมด สหภาพแรงงานนั้นจะต้องถูกยุบตามข้อบังคับด้านแรงงาน
กฎหมายห้ามมิให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจกับสหภาพแรงงานภาคเอกชนของอุตสาหกรรมหรือธุรกิจประเภทเดียวกันเข้าอยู่ในเครือเดียวกัน เนื่องจากสหภาพทั้งสองประเภทอยู่ภายใต้อำนาจของกฎหมายคนละฉบับ
กฎหมายอนุญาตให้พนักงานในสถานประกอบการที่ไม่มีสหภาพแรงสามารถยื่นข้อเรียกร้องร่วมได้ หากว่าพนักงานอย่างน้อยร้อยละ 15 ลงชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องดังกล่าว พนักงานในบริษัทเอกชนที่มีลูกจ้างมากกว่า 50 คนขึ้นไปสามารถจัดตั้ง “คณะกรรมการลูกจ้าง” เพื่อเป็นตัวแทนของลูกจ้างโดยรวมในประเด็นเกี่ยวกับผลประโยชน์ทางการเงินและต่อรองกับนายจ้าง และยังสามารถจัดตั้ง “คณะกรรมการสวัสดิการ” เพื่อเป็นตัวแทนของลูกจ้างโดยรวมในประเด็นที่ไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ทางการเงิน คณะกรรมการลูกจ้างและคณะกรรมการสวัสดิการอาจให้ข้อเสนอแนะแก่นายจ้าง แต่ไม่สามารถยื่นข้อเรียกร้องด้านแรงงานหรือนัดหยุดงานได้ กฎหมายห้ามมิให้นายจ้างกระทำการที่ส่งผลเสียต่อการจ้างงานของพนักงานอันเนื่องมาจากการที่พนักงานเข้าร่วมเป็นสมาชิกคณะกรรมการดังกล่าว และห้ามมิให้นายจ้างขัดขวางการทำงานของคณะกรรมการ ผู้นำสหภาพแรงงานจึงมักจะเข้าเป็นสมาชิกคณะกรรมการลูกจ้างหรือคณะกรรมการสวัสดิการเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองนี้ตามกฎหมาย จากจำนวนวิสาหกิจทั่วประเทศ 11,600 แห่งที่มีคนงานมากกว่า 50 คน มีสหภาพแรงงาน 1,689 แห่ง คณะกรรมการสวัสดิการ 14,888 คณะ และคณะกรรมการลูกจ้าง 739 คณะ องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า มักจะไม่มีการจัดตั้งคณะกรรมการสวัสดิการในแถบชายแดน ซึ่งคนงานในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นผู้อพยพ
รัฐบาลอาจห้ามมิให้มีการชุมนุมประท้วงของภาคเอกชนในกรณีที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อประชาชนโดยรวม อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ได้ใช้อำนาจตามกฎหมายเพื่อดำเนินการดังกล่าวเลยในช่วงปีที่ผ่านมา
กฎหมายห้ามมิให้มีการประท้วงและปิดกิจการในรัฐวิสาหกิจ โดยผู้ฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุก ปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในเดือนมีนาคม 2561 ศาลฎีกามีคำสั่งให้ผู้นำสหภาพแรงงาน 7 คน จ่ายค่าปรับจำนวน 15 ล้านบาท (500,000 เหรียญสหรัฐ) พร้อมดอกเบี้ยสะสมให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เนื่องจากจัดการนัดหยุดงานโดยผิดกฎหมายหลังเกิดเหตุรถไฟตกรางในปี 2552 แม้องค์การแรงงานระหว่างประเทศจะมีข้อบ่งชี้ว่าผู้นำสหภาพแรงงานได้ปฏิบัติตามมาตรฐานสากลว่าด้วยบทบาทของสหภาพแรงงานที่เกี่ยวข้องกับอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ในเดือนพฤศจิกายน 2561 รฟท. ดำเนินการตามคำสั่งศาลด้วยการเริ่มหักเงินเดือนและยึดทรัพย์สินของผู้นำสหภาพแรงงาน นอกจากนี้ ผู้นำสหภาพแรงงาน รฟท. หลายคนยังถูกตั้งข้อหาทุจริตและอาจถูกตัดสินให้ต้องโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี พร้อมทั้งจ่ายค่าปรับ ในเดือนตุลาคม คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินคดีอาญาข้อหาทุจริตกับผู้นำสหภาพแรงงานทั้งเจ็ดคน หากศาลตัดสินว่ามีความผิด พวกเขาอาจต้องโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี
แรงงานต่างด้าวไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ขึ้นทะเบียนแล้วหรือผู้ที่ไม่มีเอกสารอย่างถูกกฎหมาย ไม่มีสิทธิจัดตั้งสหภาพแรงงานหรือดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ในสหภาพ แรงงานต่างด้าวสามารถเข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานที่จัดตั้งขึ้นและบริหารโดยพลเมืองไทย แต่การมีส่วนร่วมของแรงงานต่างด้าวในสหภาพแรงงานอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากอุปสรรคทางด้านภาษา การขาดความเข้าใจสิทธิของตนภายใต้กฎหมาย การเปลี่ยนงานบ่อยครั้ง ค่าสมาชิก กฎระเบียบของสหภาพแรงงานที่เข้มงวด และการแบ่งแยกแรงงานไทยจากแรงงานต่างด้าวตามภาคอุตสาหกรรมและเขตพื้นที่ (โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ชายฝั่งทะเล) ในทางปฏิบัติ สมาคม องค์กรชุมชน หรือกลุ่มศาสนาที่ไม่ได้จดทะเบียนมักเป็นตัวแทนในการรักษาผลประโยชน์ของแรงงานต่างด้าว ในสถานประกอบการที่ลูกจ้างส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าว บางครั้งแรงงานต่างด้าวจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการสวัสดิการหรือคณะกรรมการลูกจ้าง แรงงานต่างด้าวสามารถยื่นข้อเรียกร้องแบบกลุ่มได้ หากข้อเรียกร้องนั้นมีชื่อและลายมือชื่อของลูกจ้างอย่างน้อยร้อยละ 15 ของจำนวนลูกจ้างทั้งหมด อย่างไรก็ตาม องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า ข้อเรียกร้องแบบกลุ่มของแรงงานต่างด้าวที่ประสบความสำเร็จในการสร้างความเปลี่ยนแปลงนั้นมีน้อยมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน
กฎหมายไม่ได้คุ้มครองสมาชิกสหภาพแรงงานจากการกระทำของนายจ้างที่เป็นการต่อต้านสหภาพแรงงานจนกว่าสหภาพแรงงานนั้นจะได้รับการจดทะเบียน ในการจดทะเบียนสหภาพแรงงานจะต้องมีลูกจ้างอย่างน้อย 10 คนร่วมกันยื่นรายชื่อของตนต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ซึ่งจะดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องของรายชื่อและสถานภาพการจ้างงานกับนายจ้าง กระบวนการดังกล่าวอาจทำให้ลูกจ้างเหล่านี้เสี่ยงต่อการถูกตอบโต้จากนายจ้างก่อนที่การจดทะเบียนจะแล้วเสร็จ นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดว่า เจ้าหน้าที่สหภาพแรงงานต้องเป็นพนักงานเต็มเวลาของบริษัทหรือรัฐวิสาหกิจ และห้ามมีเจ้าหน้าที่ที่ทำงานประจำกับสหภาพแรงงานอีกด้วย
กฎหมายให้ความคุ้มครองพนักงานและสมาชิกสหภาพจากการดำเนินคดีอาญาหรือคดีแพ่งอันเนื่องมาจากการเข้าร่วมการเจรจาต่อรองกับนายจ้าง ริเริ่มการนัดหยุดงาน จัดชุมนุมประท้วง และอธิบายข้อขัดแย้งด้านแรงงานต่อสาธารณชน แต่กฎหมายไม่ให้ความคุ้มครองลูกจ้างและสมาชิกสหภาพในความผิดทางอาญาว่าด้วยการสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียง และองค์กรนอกภาครัฐระบุว่า บางครั้งจะมีการใช้ข้อหาหมิ่นประมาทเพื่อข่มขู่สมาชิกสหภาพแรงงานและลูกจ้าง กฎหมายยังไม่ได้ห้ามการฟ้องร้องคดีที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อควบคุม คุกคาม และปิดปากกระบอกเสียงของลูกจ้างโดยใช้การสู้คดีความทางกฎหมายที่มีค่าใช้จ่ายสูงเป็นเครื่องมือ ในเดือนมีนาคม รัฐบาลแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเพื่อคุ้มครองจำเลยจากการถูกดำเนินคดีในกรณีที่มีการฟ้องหมิ่นประมาทเพื่อกลั่นแกล้ง ซึ่งส่งผลให้ศาลสามารถสั่งยกฟ้องคดีหมิ่นประมาทได้หากพิจารณาแล้วว่าเป็นการฟ้องโดยไม่สุจริต นักพิทักษ์สิทธิมนุษยชนคาดหวังว่าการแก้ไขเพิ่มเติมนี้จะช่วยลดการฟ้องร้องคดีต่อลูกจ้างโดยมุ่งหวังผลเป็นอื่นให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และทำให้ผู้เปิดเผยข้อมูลด้วยความสุจริตได้รับการคุ้มครอง ในเดือนมิถุนายน ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนได้ช่วยเหลือแรงงานต่างด้าว 5 คนในการฟ้องกลับเพื่อเรียกร้องสินไหมทดแทนสำหรับค่าจ้างที่เสียไป ความเสียหายต่อชื่อเสียง และค่าธรรมเนียมในการดำเนินคดี หลังจากที่ศาลสั่งยกฟ้องคดีที่นายจ้างเป็นโจทก์ฟ้องร้องแรงงานต่างด้าวกลุ่มนี้ในข้อหาเข้าเมืองและพำนักอยู่ต่อโดยผิดกฎหมาย รวมถึงข้อหาลักทรัพย์
กฎหมายห้ามมิให้เลิกจ้างผู้ที่นัดหยุดงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่อนุญาตให้นายจ้างมีสิทธิที่จะจ้างคนงานหรือลูกจ้างรับเหมาค่าแรงมาทำงานแทนได้ ข้อกฎหมายกำหนดไว้ว่า ต้องมีการเรียกประชุมใหญ่สมาชิกสหภาพแรงงานเพื่อขอความเห็นชอบจากที่ประชุมเรื่องที่จะนัดหยุดงาน โดยต้องได้รับความเห็นชอบไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของสมาชิกทั้งหมด และเนื่องจากโรงงานจำนวนมากว่าจ้างคนงานเป็นกะ สมาชิกสหภาพจึงรวมตัวกันเพื่อให้ครบองค์ประชุมได้ยาก
การบังคับใช้กฎหมายแรงงานมีความไม่สม่ำเสมอ และในบางกรณีก็ไม่มีประสิทธิผลในการให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างที่เข้าร่วมกิจกรรมของสหภาพแรงงาน นายจ้างอาจเลิกจ้างลูกจ้างด้วยเหตุผลใดก็ได้ยกเว้นการเข้าร่วมกิจกรรมของสหภาพ โดยมีเงื่อนไขว่านายจ้างจะต้องจ่ายเงินชดเชย มีรายงานกรณีที่ลูกจ้างถูกเลิกจ้างเนื่องจากเข้าร่วมกิจกรรมของสหภาพ ทั้งก่อนและหลังจดทะเบียนสหภาพ ในบางกรณี ศาลแรงงานสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างเข้าทำงานตามเดิม ศาลแรงงานหรือคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์อาจตัดสินเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการให้ออกจากงานหรือการใช้แรงงานอย่างไม่เป็นธรรมได้ และอาจเรียกร้องให้พนักงานหรือผู้นำสหภาพได้รับเงินชดเชยหรือกลับเข้าทำงานโดยได้รับค่าตอบแทนและผลประโยชน์เหมือนเช่นที่เคยได้รับก่อนหน้านั้น คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ประกอบด้วยตัวแทนของนายจ้าง รัฐบาล และกลุ่มลูกจ้าง รวมทั้งผู้พิพากษาสมทบศาลแรงงานซึ่งเป็นตัวแทนของลูกจ้างและนายจ้าง มีรายงานว่าภายหลังจากที่มีคำสั่งของศาล นายจ้างพยายามที่จะต่อรองเงื่อนไขในการรับกลับเข้าทำงาน ด้วยการเสนอให้เงินและสิทธิประโยชน์ชดเชยสำหรับผู้ที่สมัครใจลาออก ปฏิเสธไม่ให้ผู้นำสหภาพที่ได้รับกลับเข้าทำงานแล้วเข้ามาในสถานประกอบการ หรือลดตำแหน่งของลูกจ้างให้ไปทำงานที่มีค่าตอบแทนและผลประโยชน์น้อยลง
ในบางกรณี ผู้พิพากษากลับคำตัดสินให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายแทนการรับพนักงานกลับเข้าทำงานในกรณีที่นายจ้างหรือพนักงานอ้างว่าตนไม่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างปกติสุข อย่างไรก็ตาม ทางการมักจะไม่ลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายแรงงาน ซึ่งเป็นโทษจำคุก ปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ บทลงโทษไม่เพียงพอที่จะยับยั้งการฝ่าฝืนกฎหมาย การตรวจแรงงานมุ่งเน้นสถานประกอบการที่มีความเสี่ยงสูงและใช้ข้อมูลที่ได้จากภาคีเครือข่ายประชาสังคมมากขึ้น อย่างไรก็ดี การตรวจแรงงานมักเกิดขึ้นอย่างไม่สม่ำเสมอ นอกจากนี้ พนักงานตรวจแรงงานและทรัพยากรที่จำเป็นยังมีจำนวนไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับจำนวนของลูกจ้างทั้งหมด ผู้นำสหภาพเสนอแนะว่า พนักงานตรวจแรงงานควรตรวจสอบสถานประกอบการในเชิงรุกมากกว่าที่จะตรวจสอบเอกสารแบบพอเป็นพิธี ผู้สนับสนุนด้านสิทธิรายงานว่า พนักงานตรวจแรงงานในระดับจังหวัดพยายามไกล่เกลี่ยคดีต่างๆ อยู่บ่อยครั้งแม้จะมีหลักฐานบ่งชี้ว่าเกิดการละเมิดสิทธิแรงงานที่ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย
มีรายงานว่า นายจ้างใช้กลวิธีหลากหลายรูปแบบเพื่อบั่นทอนการรวมตัวกันของสหภาพแรงงานและความพยายามในการเจรจาต่อรองแบบกลุ่มของลูกจ้าง ซึ่งรวมถึงการให้ลูกจ้างรับเหมาค่าแรงปฏิบัติงานแทนลูกจ้างที่นัดหยุดงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่กฎหมายอนุญาตให้ทำได้หากลูกจ้างที่นัดหยุดงานยังได้รับค่าจ้างเหมือนเดิม, ยืดเวลาการต่อรองออกไปโดยการไม่ปรากฏตัวในการประชุมคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์หรือส่งตัวแทนที่ไม่มีอำนาจตัดสินใจเข้าร่วมในการต่อรอง, ข่มขู่ผู้นำสหภาพและลูกจ้างที่นัดหยุดงาน, กดดันให้ผู้นำสหภาพและลูกจ้างที่นัดหยุดงานต้องลาออก, ปลดผู้นำสหภาพโดยอ้างเหตุผลทางธุรกิจ การละเมิดกฎของบริษัท หรือการมีทัศนคติทางลบต่อบริษัท, ห้ามลูกจ้างชุมนุมประท้วงในบริเวณสถานประกอบการ, ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงเพื่อขอหมายศาลสั่งห้ามการประท้วง, โยกย้ายผู้นำสหภาพให้ไปทำงานที่สาขาอื่น ทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมคณะกรรมการลูกจ้างหรือคณะกรรมการสวัสดิการได้, โยกย้ายผู้นำสหภาพและลูกจ้างที่นัดหยุดงานให้ไปทำงานในตำแหน่งอื่นที่ไม่น่าพึงใจเท่าเดิม หรือปลดออกจากตำแหน่งบริหาร และสนับสนุนให้มีการก่อตั้งสหภาพมาแข่งขันกับสหภาพเดิมที่ปฏิเสธไม่ยอมรับข้อตกลงที่นายจ้างเสนอ
ในบางครั้ง นายจ้างยื่นฟ้องต่อผู้นำสหภาพและพนักงานที่นัดหยุดงานในความผิดฐานบุกรุกสถานที่ หมิ่นประมาท และทำลายทรัพย์สิน ตัวอย่างเช่น ในปี 2558 ศาลแรงงานกลางสั่งให้ผู้นำสหภาพ 4 คนจ่ายค่าเสียหายให้แก่บริษัทการบินไทย 326 ล้านบาท (10.9 ล้านเหรียญสหรัฐ) เนื่องจากสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียง ในขณะนี้คดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา องค์การแรงงานระหว่างประเทศแสดงความกังวลว่า คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางสวนทางกับหลักการของเสรีภาพในการจัดตั้งสมาคม และค่าเสียหายจำนวนมหาศาลอาจทำให้สหภาพแรงงานการบินไทยเกิดความเกรงกลัวและขัดขวางไม่ให้สหภาพดำเนินกิจกรรมที่ถูกต้องตามสิทธิทางกฎหมายได้ นักพิทักษ์สิทธิมนุษยชนกล่าวว่า คดีความต่างๆ ในลักษณะนี้ รวมทั้งคำขู่ว่าจะให้ผู้นำสหภาพออกจากงาน เป็นการขัดขวางเสรีภาพในการแสดงออกและการรวมกลุ่ม (ดูหมวดที่ 7.ข.)
องค์กรนอกภาครัฐและผู้สนับสนุนด้านสิทธิแรงงานรายงานว่า เจ้าหน้าที่ของตนถูกนายจ้างสะกดรอยตามหรือข่มขู่ หลังจากที่มีผู้พบเห็นพวกเขารณรงค์ส่งเสริมสิทธิแรงงาน
ข. การห้ามการบังคับใช้แรงงาน
กฎหมายห้ามมิให้บังคับใช้แรงงานทุกรูปแบบ ยกเว้นในกรณีที่ประเทศตกอยู่ในภาวะฉุกเฉิน เกิดสงคราม มีการประกาศกฎอัยการศึก หรือกำลังจะเกิดภัยพิบัติสาธารณะ บทลงโทษฐานค้ามนุษย์เข้มงวดพอที่จะยับยั้งการฝ่าฝืนกฎหมาย รัฐบาลแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 5 ปี โดยการแก้ไขเพิ่มเติมใหม่นี้นิยามว่า การบังคับใช้แรงงานคือการกระทำผิดที่เป็นเอกเทศ และกำหนดให้ผู้เสียหายจากการบังคับใช้แรงงานสามารถเข้าถึงบริการและการคุ้มครองในลักษณะที่คล้ายคลึงกับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ นอกจากนี้ยังกำหนดบทลงโทษเทียบเท่ากับคดีค้ามนุษย์หากผู้เสียหายจากการบังคับใช้แรงงานได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต หน่วยงานภาครัฐและกลุ่มนอกภาครัฐได้ทบทวนกฎระเบียบซึ่งเป็นกฎหมายลูกบท แนวปฏิบัติการระบุผู้เสียหาย และมาตรฐานการปฏิบัติงานต่างๆ เพื่อบังคับใช้กฎหมายที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมนี้ กระทรวง พม. กระทรวงแรงงาน และสำนักงานอัยการสูงสุดได้จัดการอบรมเชิงปฏิบัติการสำหรับกลุ่มผู้บังคับใช้กฎหมายและคณะปฏิบัติงานสหวิชาชีพ เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของกฎหมายดังกล่าว
มีรายงานจำนวนมากเกี่ยวกับการบังคับใช้แรงงานในภาคการประมง ภาคการเกษตร งานรับใช้ตามบ้าน และการขอทาน รัฐบาลไม่ได้บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิผล บทลงโทษไม่เพียงพอที่จะยับยั้งการฝ่าฝืนกฎหมาย
องค์กรนอกภาครัฐยอมรับว่า การแสวงหาประโยชน์ด้านแรงงานในรูปแบบที่ร้ายแรงที่สุดลดน้อยลงในภาคการประมง อย่างไรก็ดี องค์กรนอกภาครัฐบางแห่งชี้ให้เห็นว่า การบังคับใช้กฎหมายแรงงานยังคงไม่มีความสม่ำเสมอ โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายค่าจ้างไม่เป็นเวลาหรือล่าช้า การหักค่าจ้างโดยผิดกฎหมาย การเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการจัดหางานโดยผิดกฎหมาย การเก็บยึดเอกสาร และการไม่จัดทำสัญญาจ้างเป็นลายลักษณ์อักษรในภาษาที่แรงงานเข้าใจ ในเดือนมีนาคม เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลเริ่มจ่ายเงินทดแทนกรณีประสบอุบัติเหตุให้กับแรงงานประมงซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าวทั้งหมด โดยไม่จำกัดสถานภาพการจดทะเบียนแรงงาน
กลุ่มสิทธิด้านแรงงานรายงานว่า นายจ้างบางรายพยายามป้องกันไม่ให้แรงงานต่างด้าวย้ายงานหรือบังคับให้ทำงานด้วยการจ่ายค่าแรงล่าช้า การก่อเกิดหนี้ หรือการกล่าวหาว่าแรงงานลักทรัพย์ องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า มีนายจ้างที่สมรู้ร่วมคิดกันขึ้นบัญชีดำแรงงานที่รายงานการละเมิดแรงงาน เข้าร่วมสหภาพแรงงาน หรือย้ายงาน
รัฐบาลและองค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า จำนวนผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ซึ่งเป็นผู้อพยพที่ถูกลักลอบเข้ามาในประเทศไทยนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะผู้อพยพที่มาจากพม่า คดีเหล่านี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับองค์กรค้ามนุษย์ข้ามชาติทั้งที่อยู่ในประเทศไทยและประเทศต้นทาง ผู้เสียหายจำนวนมากต้องเผชิญกับการหลอกลวง การกักขังหน่วงเหนี่ยว การอดอาหาร การประทับตราบนร่างกาย และการกระทำมิชอบตลอดการเดินทาง บางครั้งผู้ลักลอบค้ามนุษย์จะทำลายหนังสือเดินทางและเอกสารประจำตัวของผู้เสียหาย ผู้เสียหายบางคนถูกขายให้กับผู้ลักลอบค้ามนุษย์รายอื่นและตกเป็นแรงงานขัดหนี้
บริษัทเอกชนยังคงดำเนินคดีทางแพ่งและอาญากับแรงงาน องค์กรนอกภาครัฐ และสื่อมวลชน (ดูหมวดที่ 7.ก. ประกอบ) ตั้งแต่ปี 2559 บริษัทฟาร์มเลี้ยงไก่ธรรมเกษตรในจังหวัดลพบุรีได้ยื่นฟ้องอดีตลูกจ้าง นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิแรงงาน และสื่อมวลชนจำนวน 14 คนในคดีอาญาและคดีแพ่งทั้งหมด 13 คดีในหลากหลายข้อหา เช่น การหมิ่นประมาทในทางอาญา การขโมยบัตรตอกเวลาทำงาน และอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ โดยการยื่นฟ้องครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม ทางการและศาลไม่รับเรื่องร้องเรียนและไม่สั่งฟ้องข้อหาส่วนใหญ่ที่ฟาร์มสัตว์ปีกธรรมเกษตรยื่น อีกทั้งยังมีคำสั่งให้ฟาร์มซึ่งมีความผิดฐานละเมิดกฎหมายแรงงานนั้น จ่ายเงินชดเชยจำนวน 1.7 ล้านบาท (56,600 เหรียญสหรัฐ) ให้กับอดีตลูกจ้าง 14 คน เพื่อเป็นค่าจ้างย้อนหลัง ค่าแรงล่วงเวลา และค่าแรงในวันหยุดนักขัตฤกษ์ จนถึงเดือนกันยายน บางคดีที่บริษัทธรรมเกษตรเป็นโจทก์ยื่นฟ้องยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
องค์การแรงงานระหว่างประเทศชี้ว่า กฎหมายเปิดช่องทางให้เกิดการบังคับใช้แรงงานในเรือนจำได้ในหลายสถานการณ์ เช่น การบังคับใช้แรงงานเพื่อลงโทษผู้ที่นัดหยุดงาน หรือผู้ที่ยึดถือหรือแสดงมุมมองด้านการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่ง
สามารถอ่าน รายงานว่าด้วยการค้ามนุษย์ ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกอบที่ https://www.state.gov/trafficking-in-persons-report/
ค. การห้ามใช้แรงงานเด็กและเกณฑ์อายุต่ำสุดของการจ้างงาน
กฎหมายไม่ได้ให้ความคุ้มครองเด็กจากการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดโดยครอบคลุมทุกรูปแบบ กฎหมายคุ้มครองเด็กจากการค้ามนุษย์ที่ผู้เสียหายเป็นเด็ก การแสวงหาประโยชน์ทางเพศเชิงพาณิชย์ การให้เด็กกระทำสิ่งผิดกฎหมาย และการบังคับใช้แรงงาน แต่ไม่ได้ห้ามกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ได้อยู่ภายใต้รัฐในการเกณฑ์เด็กไปเป็นทหาร ซึ่งถือว่าไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล กฎหมายกำหนดหลักการการจ้างงานเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี และห้ามการจ้างงานเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี กฎหมายห้ามมิให้ว่าจ้างเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีให้ทำงานใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์โลหะ สารเคมีอันตราย วัสดุมีพิษ กัมมันตรังสี และอุณหภูมิหรือระดับเสียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย การสัมผัสกับจุลินทรีย์ที่เป็นพิษ การใช้อุปกรณ์ที่มีน้ำหนักมาก ตลอดจนการทำงานใต้ดินหรือใต้น้ำ รวมทั้งห้ามมิให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีทำงานในสถานที่ที่อันตราย เช่น โรงฆ่าสัตว์ บ่อนการพนัน สถานที่ที่มีการจำหน่ายแอลกอฮอล์ สถานอาบอบนวด สถานบันเทิง เรือประมงทะเล และสถานประกอบการแปรรูปอาหารทะเล ดังนั้น เด็กอายุ 15 ถึง 17 ปีจึงอาจทำ “งานที่บ้าน” (งานที่ผู้จ้างในธุรกิจอุตสาหกรรมมอบหมายให้ลูกจ้างผลิตหรือประกอบในที่อยู่อาศัยของลูกจ้างเองนอกสถานประกอบการ) ซึ่งเป็นงานเสี่ยงอันตรายได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย กฎหมายให้ความคุ้มครองอย่างจำกัดแก่แรงงานเด็กในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการบางภาคส่วน เช่น ภาคการเกษตร งานรับใช้ตามบ้าน และธุรกิจที่บ้าน เด็กที่มีอาชีพอิสระและเด็กที่ทำงานโดยไม่ได้มีความสัมพันธ์ในการจ้างงาน (ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อมีการจัดทำข้อตกลงหรือสัญญา และทำงานแลกกับค่าตอบแทน) ไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานแห่งชาติ แต่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายคุ้มครองเด็กและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ อย่างไรก็ตาม เด็กที่เข้าแข่งขันมวยไทย ทั้งที่ได้รับและไม่ได้รับค่าจ้าง ต่างไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายแรงงานแห่งชาติ และยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ากฎหมายคุ้มครองเด็กให้ความคุ้มครองแก่เด็กที่ขึ้นชกมวยไทยอย่างเพียงพอ
ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายคุ้มครองการใช้แรงงานเด็กอาจจะต้องรับโทษจำคุกหรือปรับ โดยส่วนใหญ่แล้วบทลงโทษมีประสิทธิผลเพียงพอในการยับยั้งการฝ่าฝืนกฎหมาย บุพการีที่ศาลตัดสินว่าให้ผู้สืบสันดานทํางานหรือให้บริการเพราะ “เหตุความยากจนเหลือทนทาน” อาจไม่ต้องรับโทษตามกฎหมาย
รัฐบาลและบริษัทภาคเอกชนใช้การตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกและการตรวจสภาพฟันเพื่อระบุผู้สมัครงานที่อาจมีอายุต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตาม การตรวจดังกล่าวไม่ได้ให้ข้อมูลครอบคลุมเสมอไป พนักงานตรวจแรงงานใช้ข้อมูลจากภาคประชาสังคมในการมุ่งตรวจตราการใช้แรงงานเด็กและการบังคับใช้แรงงาน
องค์กรภาคประชาสังคมและองค์กรระหว่างประเทศรายงานว่า มีคดีจำนวนน้อยลงเกี่ยวกับแรงงานเด็กในอุตสาหกรรมการผลิต การประมง การจับกุ้ง และการแปรรูปอาหารทะเล โดยคาดว่าน่าจะมาจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและระเบียบข้อบังคับในปี 2557 ที่ได้เพิ่มจำนวนประเภทงานที่เสี่ยงอันตรายซึ่งเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีไม่สามารถทำได้ และการเปลี่ยนแปลงในปี 2560 ที่ได้เพิ่มโทษของการใช้แรงงานเด็ก
อย่างไรก็ตาม องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า เด็กบางส่วนจากประเทศไทย พม่า กัมพูชา ลาว และชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ ทำงานในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการและธุรกิจขนาดเล็ก รวมทั้งการทำไร่ทำนา ธุรกิจที่บ้าน ร้านอาหาร การขายอาหารตามข้างถนน บริการเกี่ยวกับรถยนต์ การแปรรูปอาหาร งานก่อสร้าง งานรับใช้ตามบ้าน และการขอทาน เด็กบางคนถูกบังคับให้ค้าประเวณี ปรากฏตัวในสื่อลามกอนาจาร ขอทาน รวมทั้งผลิตและลักลอบค้ายาเสพติด (ดูหมวดที่ 6 หัวข้อ “เด็ก”) คณะทำงานปราบปรามการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ตได้สืบสวนคดีการค้าประเวณีเด็ก 19 คดี และคดีการครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็ก 60 คดี
ทางการไม่ได้บังคับใช้กฎหมายห้ามใช้แรงงานเด็กอย่างมีประสิทธิภาพ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบด้านการบังคับใช้กฎหมายและนโยบายว่าด้วยแรงงานเด็ก ในปี 2561 รัฐบาลเพิ่มจำนวนพนักงานตรวจแรงงานและล่าม ระหว่างปี ร้อยละ 94 ของการตรวจสอบแรงงานมุ่งเน้นตรวจสอบท่าเรือหาปลาและสถานประกอบการที่มีความเสี่ยงสูง เช่น โรงงานเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมการแปรรูปกุ้งและอาหารทะเล ฟาร์มสัตว์ปีกและสุกร ร้านรับซ่อมยานยนต์ สถานที่ก่อสร้าง และในภาคธุรกิจบริการ เช่น ร้านอาหาร บาร์คาราโอเกะ โรงแรม และสถานีบริการน้ำมัน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานระบุว่า มีการดำเนินคดี 99 คดีจากจำนวนข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายการใช้แรงงานเด็กทั้งหมด 206 ข้อ โดยในคดีส่วนใหญ่ นายจ้างไม่ได้แจ้งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานว่าตนได้จ้างงานเด็กอายุ 15 ถึง 18 ปี มีเพียง 16 คดีเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานเด็กอายุต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด บทลงโทษไม่เพียงพอที่จะยับยั้งการฝ่าฝืนกฎหมาย
ผู้สังเกตการณ์ตั้งข้อสังเกตว่า มีปัจจัยหลายประการที่ทำให้การบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยแรงงานเด็กมีประสิทธิผลจำกัด เช่น พนักงานตรวจแรงงานมีจำนวนไม่เพียงพอ ล่ามสำหรับการตรวจแรงงานมีจำนวนไม่เพียงพอ วิธีการตรวจสอบไม่มีประสิทธิผล(โดยเฉพาะวิธีการสำหรับสถานประกอบการที่เข้าถึงได้ยาก เช่น บ้านพักส่วนบุคคล สถานประกอบธุรกิจครอบครัวขนาดเล็ก ฟาร์ม และเรือประมง) และแรงงานต่างด้าวที่เป็นผู้เยาว์จากประเทศเพื่อนบ้านไม่มีเอกสารประจำตัวที่ทางการออกให้ นอกจากนี้ การขาดความตระหนักรู้ของสาธารณชนเกี่ยวกับกฎหมายและมาตรฐานแรงงานเด็กก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นเดียวกัน
ในเดือนมิถุนายน รัฐบาลตีพิมพ์รายงานผลสำรวจการทำงานของเด็กในประเทศไทยเล่มแรก โดยใช้ระเบียบวิธีสถิตที่สัมพันธ์กับแนวปฏิบัติสากล การสำรวจดังกล่าวเป็นผลจากความร่วมมือระหว่างกระทรวงแรงงาน สํานักงานสถิติแห่งชาติ และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ รายงานฉบับนี้เปิดเผยว่า ร้อยละ 3.9 ของเด็กอายุ 5 ถึง 17 ปีจำนวน 10.47 ล้านคน เป็นเด็กที่ทำงาน ซึ่งในจำนวนนี้ ร้อยละ 1.7 เป็นแรงงานเด็ก (เด็กที่ทำงานโดยถูกแสวงประโยชน์), ร้อยละ 1.3 ทำงานเสี่ยงอันตราย และอีกร้อยละ 0.4 ทำงานที่ไม่เสี่ยงอันตราย แรงงานเด็กส่วนใหญ่ทำงานเสี่ยงอันตรายในครัวเรือนหรือธุรกิจครอบครัว (ร้อยละ 55), ภาคการเกษตร (ร้อยละ 56), ธุรกิจบริการ (ร้อยละ 23) และภาคการผลิต (ร้อยละ 20) สัดส่วนแรงงานเด็กเป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง และมากกว่าครึ่งของแรงงานเด็กไม่ได้เข้าศึกษาในโรงเรียน จากลักษณะการทำงานอันตราย 3 ประเภทแรก ร้อยละ 22 เกี่ยวข้องกับการยกของหนัก, ร้อยละ 8 เป็นการทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีความร้อนจัด เย็นจัด และเสียงดังหรือทำงานในเวลากลางคืน และร้อยละ 7 ทำงานที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีอันตรายและสารพิษ
สามารถอ่าน รายงานผลการสำรวจรูปแบบการใช้แรงงานเด็กที่เลวร้ายที่สุด ประกอบที่ https://www.dol.gov/agencies/ilab/resources/reports/child-labor/findings และอ่าน บัญชีรายชื่อสินค้าที่ผลิตโดยการใช้แรงงานเด็กหรือแรงงานบังคับ ประกอบที่ https://www.dol.gov/agencies/ilab/reports/child-labor/list-of-goods เอกสารทั้งสองฉบับจัดทำโดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ
ง. การเลือกปฏิบัติเกี่ยวกับการจ้างงานและอาชีพ
กฎหมายแรงงานไม่ได้ระบุห้ามการเลือกปฏิบัติในสถานที่ทำงานไว้โดยชัดแจ้ง แต่กำหนดให้ลงโทษจำคุกหรือปรับผู้กระทำผิดว่าด้วยการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศ ซึ่งรวมถึงการตัดสินใจจ้างงานด้วย นอกจากนี้ มีกฎหมายอีกฉบับที่กำหนดให้สถานประกอบการที่มีพนักงานมากกว่า 100 คน จ้างลูกจ้างที่มีภาวะทุพพลภาพอย่างน้อย 1 คนต่อสัดส่วนลูกจ้างทุก 100 คน
การเลือกปฏิบัติเกี่ยวกับการจ้างงานเกิดขึ้นกับกลุ่ม LGBTI สตรี และแรงงานต่างด้าว (ดูหมวดที่ 7.จ.) ระเบียบข้อบังคับทางราชการกำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าแรงและผลประโยชน์แก่ลูกจ้างที่ทำงานเหมือนกันอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่คำนึงว่าเป็นเพศใด ผู้นำสหภาพแรงงานระบุว่า โดยทั่วไปแล้ว ความแตกต่างของค่าจ้างระหว่างผู้ชายและผู้หญิงมีน้อย และสาเหตุหลักมาจากทักษะ ระยะเวลาการจ้างงาน ประเภทงานที่ไม่เหมือนกัน รวมไปถึงข้อกำหนดตามกฎหมายที่ห้ามมิให้ผู้หญิงทำงานที่อันตราย อย่างไรก็ตาม รายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ พ.ศ. 2559 ว่าด้วยแรงงานต่างด้าวเพศหญิงที่ทำงานในอุตสาหกรรมการก่อสร้างในประเทศ ระบุว่า แรงงานต่างด้าวเพศหญิงได้รับค่าจ้างน้อยกว่าแรงงานเพศชายเหมือนเช่นที่เป็นมาตลอด และแรงงานต่างด้าวเพศหญิงกว่ากึ่งหนึ่งได้รับค่าจ้างต่ำกว่าอัตราค่าแรงขั้นต่ำที่ทางการกำหนดด้วย โดยเฉพาะค่าล่วงเวลา (ดูหมวดที่ 6 หัวข้อ “สตรี”)
ในเดือนกันยายน 2561 โรงเรียนนายร้อยตำรวจประกาศว่าจะไม่รับสมัครผู้หญิงเข้ามาเรียนอีกต่อไป การตัดสินใจครั้งนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า เป็นการกระทำที่เลือกปฏิบัติและเป็นผลเสียต่อศักยภาพของกองกำลังตำรวจในการตรวจสอบกรณีการละเมิดแรงงานหญิง นอกจากนี้ ยังมีการเลือกปฏิบัติต่อคนทุพพลภาพในเรื่องการจ้างงาน การเข้าถึงงาน และการฝึกอบรม กลุ่มผู้สนับสนุนด้านสิทธิของคนทุพพลภาพยื่นข้อร้องเรียนกรณีการยักยอกทรัพย์และการหักค่าจ้างของลูกจ้างผู้พิการโดยผิดกฎหมายในเดือนเมษายน ซึ่งข้อร้องเรียนอยู่ระหว่างการสืบสวนโดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
กลุ่ม LGBTI มักเผชิญกับการถูกเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน ส่วนหนึ่งเพราะอคติของคนทั่วไปและการไม่มีกฎหมายและนโยบายมารองรับเรื่องการเลือกปฏิบัติ มีรายงานว่าพนักงานที่เป็นบุคคลข้ามเพศต้องเผชิญกับข้อจำกัดหลายประการมากกว่าที่กล่าวมาข้างต้น และทำงานจำกัดอยู่ในสาขาอาชีพเพียงไม่กี่สาขา เช่น ธุรกิจความงามและความบันเทิง
จ. สภาพการทำงานที่ยอมรับได้
ค่าแรงขั้นต่ำสูงกว่าเส้นแบ่งความยากจนที่รัฐบาลคำนวณไว้ 3 เท่า
กฎหมายกำหนดเวลาทำงานสูงสุดต่อสัปดาห์ คือ 48 ชั่วโมง หรือ 8 ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลา 6 วัน และทำงานล่วงเวลาได้ไม่เกิน 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ลูกจ้างที่ต้องทำงาน “อันตราย” เช่น ในอุตสาหกรรมเคมี อุตสาหกรรมเหมืองแร่ หรืออุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับเครื่องจักรหนัก ห้ามทำงานเกิน 42 ชั่วโมงต่อสัปดาห์และห้ามทำงานล่วงเวลา พนักงานในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีห้ามทำงานเกิน 12 ชั่วโมงต่อ 1 วัน และทำงานต่อเนื่องได้ไม่เกิน 28 วัน
กฎหมายกำหนดให้สถานประกอบการ ซึ่งรวมถึงธุรกิจที่บ้าน ต้องมีความปลอดภัยและถูกสุขอนามัย นอกจากนี้ ยังห้ามสตรีมีครรภ์และเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีทำงานในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตราย กฎหมายยังกำหนดให้นายจ้างแจ้งลูกจ้างถึงสภาพการทำงานที่เป็นอันตรายตั้งแต่ก่อนจ้างงาน ทว่า ลูกจ้างไม่มีสิทธิพาตัวเองออกจากสถานการณ์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือความปลอดภัยโดยไม่เกิดความเสี่ยงต่อหน้าที่การงาน
กฎหมายคุ้มครองแรงงานไม่ได้ครอบคลุมทุกภาคส่วนอย่างเท่าเทียมกัน ตัวอย่างเช่น ค่าแรงขั้นต่ำรายวันไม่ได้บังคับใช้กับลูกจ้างที่ทำงานในหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ งานรับใช้ตามบ้าน งานที่ไม่แสวงหากำไร และงานเกษตรกรรมตามฤดูกาล กฎกระทรวงให้ความคุ้มครองบางประการแก่แรงงานรับใช้ตามบ้านในเรื่องเกี่ยวกับวันลา อายุขั้นต่ำ และการจ่ายค่าแรง แต่ไม่ได้กล่าวถึงค่าแรงขั้นต่ำ ชั่วโมงทำงานปกติ ประกันสังคม หรือการลาคลอด องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า คนงานตามสัญญาจ้างในภาครัฐได้รับค่าจ้างต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำ เนื่องจากลูกจ้างประเภทดังกล่าวอยู่ภายใต้อำนาจของกฎหมายฉบับที่ต่างออกไป
ยังคงมีช่องว่างด้านรายได้เป็นอย่างมากระหว่างการจ้างงานอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ โดยแรงงานนอกภาคการเกษตรได้รับค่าจ้างมากกว่าแรงงานในภาคการเกษตรเฉลี่ย 3 เท่า สถิติของรัฐระบุว่า ร้อยละ 55 ของแรงงานทำงานอยู่ในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ โดยได้รับความคุ้มครองอย่างจำกัดภายใต้กฎหมายแรงงานและระบบประกันสังคม
องค์การแรงงานระหว่างประเทศและองค์กรนอกภาครัฐหลายแห่งรายงานว่า บริษัทขนาดเล็ก พื้นที่บางแห่ง (โดยเฉพาะพื้นที่ชนบนหรือบริเวณชายแดน) หรืออุตสาหกรรมบางประเภท (โดยเฉพาะภาคการเกษตร ก่อสร้าง และประมง) ไม่ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านค่าแรงขั้นต่ำรายวัน ค่าล่วงเวลา และค่าจ้างสำหรับวันหยุด สหภาพแรงงานประมาณการว่า ร้อยละ 5-10 ของลูกจ้างได้รับค่าจ้างต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำ อย่างไรก็ดี สัดส่วนของแรงงานที่ได้รับค่าจ้างน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำน่าจะมีสูงกว่าในกลุ่มของแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนและในบริเวณชายแดน แรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนไม่ค่อยขอรับการเยียวยาตามกฎหมาย เนื่องจากขาดสถานภาพทางกฎหมายและกลัวว่าจะขาดรายได้เลี้ยงชีพ ในเดือนกันยายน ตำรวจเข้าตรวจค้นโรงงานเครื่องนุ่งห่มขนาดกลางหลายแห่งในอำเภอแม่สอด ซึ่งอยู่ใกล้กับชายแดนไทย-พม่า และสอบสวนแรงงานหลายร้อยคนหลังจากสื่อรายงานว่าแรงงานได้รับค่าตอบแทนน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำรายวัน พนักงานตรวจแรงงานของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมีคำสั่งให้นายจ้างของโรงงานเหล่านี้จ่ายค่าตอบแทนย้อนหลังให้แก่แรงงานตามที่กฎหมายกำหนด
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับแรงงานสัมพันธ์และความปลอดภัยและอาชีวอนามัยในการทำงาน กฎหมายกำหนดโทษปรับและโทษจำคุกหากนายจ้างไม่จ่ายค่าแรงขั้นต่ำตามที่กำหนด อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ได้บังคับใช้กฎหมายว่าด้วยค่าแรงขั้นต่ำนี้อย่างมีประสิทธิผล และบทลงโทษไม่เพียงพอที่จะยับยั้งการฝ่าฝืนกฎหมาย ตลอดทั้งปีมีรายงานหลายครั้งว่า คดีที่นายจ้างไม่จ่ายค่าแรงขั้นต่ำตามกำหนดได้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย โดยที่คนงานตกลงที่จะระงับข้อพิพาท และอนุญาตให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างที่ค้างชำระในอัตราที่น้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำรายวัน ในปี 2561 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมีคำสั่งไปยังสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัด ห้ามพนักงานตรวจแรงงานระงับข้อพิพาทในกรณีที่ลูกจ้างได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด
การละเมิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับอาชีวอนามัยและความปลอดภัยมีบทลงโทษคือจำคุกและปรับ อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้เชี่ยวชาญและการตรวจสอบด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยยังไม่เพียงพอ การตรวจสอบส่วนใหญ่เกิดขึ้นหลังจากมีผู้ร้องเรียน นอกจากนี้พนักงานตรวจแรงงานยังมีจำนวนไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับจำนวนแรงงานทั้งหมด ผู้นำสหภาพประมาณการว่า สถานประกอบการเพียงร้อยละ 20 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดใหญ่ของบริษัทต่างประเทศ ปฏิบัติตามมาตรฐานอาชีวอนามัยและความปลอดภัยของรัฐ วิธีปฏิบัติและการฝึกอบรมเกี่ยวกับความปลอดภัยในที่ทำงานส่วนใหญ่เป็นภาษาไทย ซึ่งมีแนวโน้มส่งผลให้อัตราการเกิดอุบัติเหตุในแรงงานต่างด้าวสูงกว่าแรงงานไทย
โรงงานขนาดกลางและขนาดใหญ่มักดำเนินการตามมาตรฐานด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยที่ทางการกำหนด แต่การบังคับใช้มาตรฐานด้านความปลอดภัยโดยรวมยังไม่เข้มงวด โดยเฉพาะในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการและธุรกิจขนาดเล็ก องค์กรนอกภาครัฐและผู้นำสหภาพตั้งข้อสังเกตว่า ปัจจัยที่ทำให้การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวไม่มีประสิทธิผล ได้แก่ จำนวนพนักงานตรวจแรงงานที่มีคุณภาพมีไม่เพียงพอ ใช้วิธีตรวจสอบเอกสารมากเกินไป (แทนที่จะตรวจสอบสถานประกอบการ) ไม่มีการคุ้มครองแรงงานที่ยื่นคำร้องทุกข์ ไม่มีล่าม และไม่สามารถลงโทษนายจ้างที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิผล ในปี 2561 กระทรวงแรงงานได้จ้างและฝึกอบรมพนักงานตรวจแรงงานและล่ามภาษาต่างประเทศเพิ่มเติม ล่ามเหล่านี้ส่วนใหญ่ปฏิบัติหน้าที่ที่ศูนย์ตรวจสอบตามท่าเรือประมงและทีมปฏิบัติงานสหวิชาชีพด้านการค้ามนุษย์ รวมไปถึงสำนักงานแรงงานจังหวัดในพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของแรงงานต่างด้าวสูง
ประเทศไทยมีโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้แก่พลเมืองทุกคน และมีโครงการประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนเพื่อคุ้มครองลูกจ้างในกรณีที่ได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย อีกทั้งมีสิทธิประโยชน์สำหรับการตั้งครรภ์ ภาวะทุพพลภาพ การเสียชีวิต การช่วยเหลือผู้มีบุตร การว่างงาน และเกษียณอายุ แรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียน ตลอดจนผู้อยู่ในอุปการะ ทั้งในภาคเศรษฐกิจที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการมีสิทธิซื้อประกันสุขภาพจากกระทรวงสาธารณสุข
องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า คนงานก่อสร้างจำนวนมาก โดยเฉพาะลูกจ้างรับเหมาค่าแรงและแรงงานต่างด้าว ไม่มีชื่อในระบบประกันสังคม หรือไม่ได้รับการคุ้มครองจากโครงการกองทุนเงินทดแทนแม้ว่ากฎหมายจะกำหนดไว้ก็ตาม กฎหมายระบุให้ลูกจ้างทุกคนต้องทำประกันสังคม แต่ไม่รวมถึงลูกจ้างที่ทำงานในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ อย่างไรก็ดี ลูกจ้างที่ทำงานในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ ลูกจ้างชั่วคราว ลูกจ้างตามฤดูกาล หรือผู้ที่มีอาชีพอิสระ อาจสมทบเงินเข้าสู่โครงการกองทุนเงินทดแทนด้วยตนเองได้ และได้รับเงินสมทบจากกองทุนร่วมลงทุนรัฐบาล
ในเดือนมีนาคม กระทรวงแรงงานออกระเบียบข้อปฏิบัติให้ลูกจ้างทุกคน ยกเว้นแรงงานค้าเร่แผงลอยและแรงงานรับใช้ตามบ้าน เข้าโครงการกองทุนเงินทดแทน อย่างไรก็ตาม ผู้นำสหภาพแรงงานรายงานว่า แรงงานมักไม่ได้รับเงินทดแทนสำหรับการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน เนื่องจากการพิสูจน์ความเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพและสถานประกอบการนั้นมักจะเป็นเรื่องยาก
ในเดือนพฤศจิกายน มีการประกาศใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่สำหรับแรงงานในอุตสาหกรรมประมง โดยกฎหมายดังกล่าวกำหนดให้แรงงานสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ด้านการดูแลสุขภาพและประกันสังคมได้ อีกทั้งระบุว่า สำหรับเรือประมงที่มีขนาดตั้งแต่ 300 ตันกรอสขึ้นไป หรือเรือประมงที่ออกทะเลนานกว่า 3 วันต่อครั้ง นายจ้างจะต้องจัดให้เรือประมงมีสภาพเหมาะสมสำหรับให้แรงงานพักอาศัยบนเรือได้ อย่างไรก็ตาม สิทธิประโยชน์จากประกันสังคมและกฎหมายส่วนอื่นๆ ยังไม่มีผลบังคับใช้เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาเห็นชอบกฎหมายลูกบทโดยคณะกรรมการกฤษฎีกา ข้อกำหนดของรัฐในปัจจุบันมีไว้เพื่อกำหนดให้แรงงานประมงต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนซื้อประกันสุขภาพ และให้เจ้าของเรือประมงสมทบเงินเข้าสู่กองทุนเงินทดแทน ในเดือนสิงหาคม องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า แรงงานประมงต่างด้าวที่ถือบัตรผ่านแดนคนหนึ่งมีสิทธิได้รับค่าชดเชยอุบัติเหตุเป็นรายแรก ปัจจัยที่เพิ่มความเปราะบางของแรงงานประมง ได้แก่ การขาดแคลนการฝึกอบรมด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยอย่างเพียงพอด้วยภาษาของแรงงานต่างด้าว ตลอดจนการขาดแคลนการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย การปฐมพยาบาล และระบบที่ดีซึ่งจะทำให้สามารถส่งตัวแรงงานที่บาดเจ็บจากอุบัติเหตุขั้นรุนแรงไปรับการรักษาในโรงพยาบาลได้ทันท่วงที ระหว่างปี องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า มีหลายกรณีที่กองทัพเรือได้ช่วยเหลือแรงงานประมงที่ประสบอุบัติเหตุในทะเล
องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า แรงงานต่างด้าว รวมถึงแรงงานต่างด้าวที่ทำงานใกล้จุดผ่านแดน ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ย่ำแย่และไม่ได้รับความคุ้มครองด้านแรงงาน เมื่อเดือนกรกฎาคม 2561 พระราชกําหนดการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว มีผลบังคับใช้โดยสมบูรณ์ โดยกำหนดบทลงโทษทางแพ่งกับผู้ที่ว่าจ้างหรือให้ที่พักอาศัยแก่แรงงานต่างดาวที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน และยกระดับความคุ้มครองแรงงาน ด้วยการมิให้ห้ามนายหน้าจัดหาแรงงานและนายจ้างไทยเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจัดหางานเพิ่มเติมกับแรงงานต่างด้าว นอกจากนี้ยังห้ามมิให้ทำสัญญาจ้างเหมา ห้ามมิให้นายจ้างยึดเอกสารของแรงงานต่างด้าว และห้ามมิให้ผู้ที่ถูกพิพากษาว่ามีความผิดตามกฎหมายแรงงานหรือกฎหมายปราบปรามการค้ามนุษย์ ประกอบธุรกิจสำนักงานจัดหางาน ในเดือนตุลาคม ศาลจังหวัดเชียงใหม่พิพากษาให้จำคุกนายจ้างรายหนึ่งที่ยึดเอกสารประจำตัวของลูกจ้างต่างด้าวเป็นเวลา 1 เดือน และปรับเป็นเงิน 10,000 บาท (333 เหรียญสหรัฐ) แต่ภายหลังได้ลดโทษเหลือจำคุก 15 วันและปรับ 5,000 บาท (167 เหรียญสหรัฐ)
บริษัทนายหน้าจัดหาแรงงานใช้ “ระบบสัญญาจ้างเหมางาน” โดยคนงานจะเซ็นสัญญาเป็นรายปี กฎหมายกำหนดให้บริษัทต้องให้ “ผลประโยชน์และสวัสดิการอย่างยุติธรรมโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ” แก่คนงานที่ทำสัญญาเหมา อย่างไรก็ดี นายจ้างมักจะจ่ายค่าจ้างแก่คนงานที่ทำสัญญาเหมาน้อยกว่าและให้สวัสดิการน้อยกว่าหรือไม่ให้เลย
กรมการจัดหางานออกกฎจำกัดค่าธรรมเนียมสูงสุดในการจัดหางาน ทว่า การบังคับใช้ระเบียบดังกล่าวยังขาดประสิทธิผล เนื่องจากแรงงานไม่เต็มใจให้ข้อมูลและขาดเอกสารหลักฐานทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดหางานใต้ดินและค่าธรรมเนียมเอกสาร ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการอพยพ สำนักงานจัดหางานที่แสวงหาผลประโยชน์จากพลเมืองไทยที่ทำงานในต่างประเทศยังคงคิดค่าธรรมเนียมการจัดหางานเป็นจำนวนเงินที่สูงและผิดกฎหมาย ซึ่งอาจสูงถึง 500,000 บาท (16,700 เหรียญสหรัฐ) หรือเทียบเท่ากับรายได้ 2 ปีแรกของการทำงาน องค์กรนอกภาครัฐรายงานว่า คนงานมักกู้ยืมเงินในอัตราดอกเบี้ยสูงจากเจ้าหนี้นอกระบบเพื่อนำไปจ่ายค่าหัวคิว
ในปี 2561 ซึ่งเป็นปีที่มีข้อมูลล่าสุด มีรายงานการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยในสถานประกอบการ 86,297 ครั้ง จากจำนวนดังกล่าว ร้อยละ 2 ส่งผลให้สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต สำนักงานประกันสังคมรายงานว่า อุบัติเหตุในสถานประกอบการที่ร้ายแรงส่วนใหญ่เกิดขึ้นในโรงงานผลิต อุตสาหกรรมการค้าส่งและปลีก การก่อสร้าง การคมนาคม โรงแรม และร้านอาหาร ผู้สังเกตการณ์กล่าวว่า มีการรายงานอุบัติเหตุในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการและภาคการเกษตร และอุบัติเหตุในกลุ่มแรงงานต่างด้าวน้อยกว่าความเป็นจริง นอกจากนี้ ผู้ที่เจ็บป่วยอันมีสาเหตุเกี่ยวข้องกับอาชีพมักไม่ค่อยได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์หรือเงินชดเชยจากนายจ้าง อีกทั้งมีแพทย์หรือคลินิกเฉพาะทางสำหรับโรคเหล่านี้จำนวนน้อยมาก