รายงานการปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนประจำปี พ.ศ. 2559 ในส่วนที่เกี่ยวกับประเทศไทย

จัดทำโดยสำนักงานประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนและแรงงาน 

รายงานการปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนประจำปี พ.ศ. 2559

ประเทศไทย

รายงานสรุป

ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุขภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงดำรงตำแหน่งนี้จนเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นทรงราชย์เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ในเหตุการณ์รัฐประหารโดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557 ผู้นำฝ่ายทหารและตำรวจภายใต้ชื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะได้ยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลรักษาการนำโดยพรรคเพื่อไทยซึ่งเข้ามามีอำนาจตั้งแต่ปี พ.ศ. 2554 หลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศซึ่งโดยทั่วไปมองว่าเป็นไปอย่างเสรีและยุติธรรม   หลังเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อปี พ.ศ. 2557 ประชาชนไม่สามารถเลือกรัฐบาลตนเองผ่านกระบวนการเลือกตั้งที่เป็นไปอย่างเสรีและยุติธรรมได้

คสช. ที่มีฝ่ายทหารเป็นผู้กำกับดูแลยังคงควบคุมหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานราชการทุกหน่วย

รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่ คสช. ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. 2557 นั้นให้อภัยโทษต่อผู้นำรัฐประหารและเจ้าหน้าที่ใต้บังคับบัญชาสำหรับการกระทำทั้งก่อนและหลังรัฐประหารหากเป็นการกระทำที่ดำเนินการภายใต้คำสั่งของ คสช. ไม่ว่าการกระทำดังกล่าวนั้นจะผิดกฎหมายหรือไม่ คสช. กำกับดูแลกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในการลงประชามติเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม เมื่อถึงสิ้นปี รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ และร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2559 ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงลงพระปรมาภิไธย ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2559 กำหนดให้ คสช. ยังคงทำหน้าที่บริหารบ้านเมืองและมีอำนาจเต็มตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวจนกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะเข้ามาบริหารประเทศหลังการเลือกตั้งทั่วไปภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พระราชกฎษฎีกาหลายฉบับที่ประกาศใช้โดย คสช. ที่จำกัดสิทธิพลเมือง อันรวมถึงเสรีภาพทางการพูด เสรีภาพในการชุมนุมและเสรีภาพของสื่อยังคงมีผลบังคับใช้อยู่เมื่อถึงสิ้นปี คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 3/2015 ให้อำนาจแก่รัฐบาลทหารเป็นอย่างมากในการควบคุม “การกระทำที่พิจารณาว่าเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยและเสถียรภาพของชาติ” นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2559 ยังกำหนดให้คำสั่ง คสช. ทุกคำสั่ง “เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและถูกต้องตามกฎหมาย” และจะมีผลบังคับใช้จนกว่าจะมีประกาศยกเลิกโดย คสช. คำสั่งของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยฝ่ายทหาร นายกรัฐมนตรี หรือมติคณะรัฐมนตรี

นอกจากการจำกัดด้านสิทธิพลเมืองอันเกิดจากการดำเนินการของ คสช. แล้ว ปัญหาสิทธิมนุษยชนที่เรื้อรังมากที่สุดคือ การใช้อำนาจโดยมิชอบของฝ่ายความมั่นคงของทางการในบริบทของการก่อความไม่สงบอย่างต่อเนื่องของชาวมุสลิมเชื้อสายมลายูในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้แก่ ยะลา นราธิวาส ปัตตานี และบางส่วนของจังหวัดสงขลา ตลอดจนการใช้กำลังเกินเหตุของฝ่ายความมั่นคง อันรวมถึงการคุกคามและทารุณผู้ต้องสงสัยทางอาญา ผู้ถูกคุมขังและนักโทษ

ปัญหาสิทธิมนุษยชนอื่นๆ ได้แก่ การจับกุมและกักกันตามอำเภอใจ สภาพเรือนจำและสถานกักกันแออัดและไม่ถูกหลักสุขอนามัย การให้ความคุ้มครองอย่างไม่เพียงพอแก่กลุ่มประชาชนที่อ่อนแอซึ่งรวมถึงผู้ลี้ภัย การทุจริต ความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติต่อสตรี การท่องเที่ยวเพื่อวัตถุประสงค์ทางเพศ การแสวงประโยชน์ทางเพศกับเด็ก การค้ามนุษย์ การเลือกปฏิบัติต่อบุคคลทุพพลภาพ ชนกลุ่มน้อย ชาวเขาและแรงงานต่างด้าว ปัญหาแรงงานเด็ก และการจำกัดสิทธิบางประการของผู้ใช้แรงงาน

ทางการบางครั้งไล่ออก จับกุม ดำเนินคดีและพิพากษาลงโทษเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความมั่นคงที่มีพฤติกรรมใช้อำนาจโดยมิชอบ กระนั้น การที่เจ้าหน้าที่ไม่ต้องถูกลงโทษยังคงเป็นปัญหาร้ายแรง โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังมีการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ซึ่งต่อไปในรายงานฉบับนี้จะเรียกว่า “พระราชกำหนดฉุกเฉิน” นอกจากนี้ พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายใน พ.ศ. 2551 ยังคงมีผลใช้บังคับอยู่

ผู้ก่อความไม่สงบแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงละเมิดสิทธิมนุษยชนและโจมตีทำร้ายพลเรือน ซึ่งรวมถึงการก่อการในจังหวัดอื่นนอกเหนือจากพื้นที่ที่มีความขัดแย้งดั้งเดิม

หมวดที่ 1 การเคารพบูรณภาพแห่งบุคคล อันรวมถึงการปลอดจาก

ก. การสังหารตามอำเภอใจหรือการสังหารที่ผิดกฎหมาย

ยังคงมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงบางครั้งใช้กำลังรุนแรงเกินเหตุและใช้กำลังถึงตายกับผู้ต้องสงสัยคดีอาญา ตลอดจนกระทำการหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารนอกกระบวนการยุติธรรม การสังหารตามอำเภอใจ และการสังหารโดยผิดกฎหมาย แม้ว่าการกระทำแหล่านั้นจะมีจำนวนน้อยกว่าปีก่อนๆ ก็ตาม สำนักการสอบสวนและนิติการ กระทรวงมหาดไทยรายงานว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ซึ่งได้แก่ ตำรวจ ทหาร และเจ้าหน้าที่หน่วยงานอื่นๆ ได้สังหารผู้ต้องสงสัย 8 คน ขณะดำเนินการจับกุมระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2558 ถึงเดือนกันยายน 2559 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงจากปีที่แล้วร้อยละ 50

ไม่มีรายงานว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา รัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลทำการสังหารโดยมีเหตุจูงใจทางการเมือง มีรายงานว่า มีการสังหารที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ดูหมวด 1.ช.)

ข. การหายสาบสูญ

ไม่มีรายงานการหายสาบสูญที่มีเหตุจูงใจทางการเมือง ส่วนคดีดังหลายคดีจากปีก่อนๆ ยังคงไม่ได้รับการคลี่คลาย เมื่อเดือนตุลาคม กรมสอบสวนคดีพิเศษประกาศพักการสืบสวนคดีนายสมชาย นีละไพจิตร ซึ่งเป็นทนายความด้านสิทธิมนุษยชนที่หายสาบสูญไปเมื่อปี พ.ศ. 2547 ในขณะว่าความให้แก่บุคคลหลายคนที่กล่าวหาเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงว่ากระทำการทรมาน

เมื่อถึงเดือนกันยายน รัฐบาลยังคงไม่มีการดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับคำร้องขอเดินทางมาประเทศไทยของคณะทำงานด้านปัญหาการบังคับบุคคลสูญหายหรือการสูญหายโดยไม่สมัครใจของสหประชาชาติที่ได้ยื่นเรื่องไว้เมื่อปี พ.ศ. 2554

ค. การทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษด้วยวิธีการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือทำลายศักดิ์ศรีอื่นๆ

รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวซึ่งประกาศใช้หลังรัฐประหารเมื่อปี พ.ศ. 2557 ให้ความคุ้มครอง “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ” แต่มิได้มีบทบัญญัติเฉพาะห้ามการทรมาน ส่วนรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2559 ระบุว่า “การทรมาน ทารุณกรรม หรือการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรมจะกระทำมิได้” พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินและรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวระบุว่า เจ้าพนักงานด้านความมั่นคงไม่ต้องรับโทษจากการกระทำใดๆ ในระหว่างปฏิบัติราชการตามหน้าที่ เมื่อถึงเดือนกันยายน คณะรัฐมนตรีได้ขยายเวลาการประกาศใช้พระราชกำหนดฉุกเฉิน 45 ครั้งครั้งละสามเดือนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ตัวแทนจากองค์การนอกภาครัฐ (NGO) และองค์กรด้านกฎหมายรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารบางครั้งทรมานและซ้อมผู้ต้องสงสัยเพื่อบังคับให้รับสารภาพ และหนังสือพิมพ์รายงานหลายคดีที่ประชาชนกล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอื่นๆ ใช้ความรุนแรง มีการดำเนินคดีทางอาญากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2558 ถึงเดือนสิงหาคม 2559 กองวินัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติรายงานว่า มีการสอบสวนวินัยเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3,139 นาย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2558 โดยความผิดทางวินัยได้แก่ ประพฤติตนไม่สมควร ละเลยต่อหน้าที่ ทำร้ายประชาชนหรือผู้ต้องสงสัย มึนเมา ใช้สารเสพติด ยักยอก เล่นการพนัน มีอาวุธในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย และทุจริต การสอบสวนดังกล่าวมีผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ 221 นายถูกไล่ออกและอีก 2,918 นายรับโทษทางวินัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติรายงานว่า มีการ “ทำร้ายประชาชนหรือผู้ต้องสงสัย” เก้าคดีในปี พ.ศ. 2558 แต่ไม่มีรายงานเกี่ยวกับคดีลักษณะดังกล่าวจนถึงเดือนตุลาคม เมื่อเดือนพฤศจิกายน ทางการตำรวจฟ้องดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ็ดนายในเขตห้วยขวางด้วยข้อหาใช้กำลังถึงตายกับผู้ต้องสงสัยว่าเป็นหัวหน้าเครือข่ายพนันในพื้นที่

เมื่อเดือนมกราคม กลุ่มสิทธิมนุษยชนตีพิมพ์รายงานระบุรายละเอียด 54 กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารทรมานและการกระทำโหดร้าย ไร้มนุษยธรรมและเสื่อมทรามอื่นๆ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ระหว่างปี พ.ศ. 2557-2558 รายงานดังกล่าวอ้างว่า เหตุการณ์เหล่านั้นโดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานีและที่ศูนย์ปฏิบัติการตํารวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ จังหวัดยะลา เมื่อเดือนพฤษภาคม เจ้าหน้าที่ทหารยื่นฟ้องดำเนินคดีหมิ่นประมาทกับผู้สื่อข่าวสามคนที่เขียนรายงานดังกล่าว (กรุณาอ่านหมวดที่ 2.ก.) เมื่อเดือนกันยายน องค์การนิรโทษกรรมออกรายงานบันทึก 74 คดีที่กล่าวหาว่ามีการทรมานหรือการกระทำมิชอบทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อปี พ.ศ. 2557

มีรายงานจำนวนมากระบุว่า มีการกระทำเหยียดหยามให้อับอายและทารุณทางกายในหน่วยทหาร เมื่อเดือนเมษายน สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ (OHCHR) รายงานว่า ที่ค่ายพยัคฆ์ จ.ยะลา พลทหารหนึ่งนายเสียชีวิตและอีกนายบาดเจ็บสาหัสหลังจากเพื่อนทหารซ้อมทั้งสองคนอย่างรุนแรงเนื่องจากประพฤติผิดวินัย

สภาพของเรือนจำและสถานกักกัน

เรือนจำและสถานกักกันต่างๆ อันได้แก่ สถานบำบัดผู้ติดยาเสพติดและศูนย์กักขังของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่กักกันผู้อพยพ ผู้ลี้ภัย และผู้แสวงหาที่พักพิงที่ไม่มีเอกสารประจำตัว (IDC) นั้นยังคงมีสภาพไม่ค่อยดีและส่วนใหญ่จะแออัดมาก กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลสภาพเรือนจำ ส่วนสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองดูแลสภาพศูนย์กักขัง (IDC)

รัฐบาลทหารกักขังผู้ต้องสงสัยพลเรือนบางรายที่สถานกักกันของทหาร

สภาพเรือนจำและสถานกักกัน: สถิติเมื่อวันที่ 1 กันยายน มีผู้ต้องขังในเรือนจำและสถานกักกันประมาณ 306,000 คน แต่สถานที่ออกแบบให้รองรับสูงสุดเพียง 210,000 – 220,000 คน

ในเรือนจำบางแห่ง สถานที่นอนมีไม่เพียงพอ การขาดบริการทางการแพทย์เป็นปัญหาร้ายแรงและมีโรคติดต่อระบาด บางครั้ง ทางการจะส่งตัวนักโทษหรือผู้ต้องขังที่ป่วยหนักไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดหรือโรงพยาบาลของรัฐ

สภาพที่ไม่น่าพึงประสงค์ของเรือนจำเป็นเหตุให้ผู้ต้องขังก่อจลาจลในเรือนจำอย่างน้อยหนึ่งแห่ง เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ผู้ต้องขังจำนวน 200 คนในเรือนจำกลางปัตตานีก่อเหตุจลาจลประท้วงกฎระเบียบที่เข้มงวดและนโยบายการย้ายนักโทษ รวมถึงเรียกร้องให้ย้ายผู้อำนวยการเรือนจำ การจลาจลครั้งนี้เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตสามรายและบาดเจ็บ 10 ราย หลังจากเหตุการณ์นั้น นายอัสฮีร่า ดอเลาะ หนึ่งในสองแกนนำปลุกระดมชักจูงคนอื่นๆ ให้ก่อจลาจลถูกย้ายไปฝากขังที่เรือนกลางจำสงขลา และต่อมา ได้เสียชีวิตจากการบาดเจ็บภายในเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม

ประมาณร้อยละ 18 ของผู้ต้องขังทั้งหมดเป็นผู้ต้องขังที่รอการพิจารณาคดีซึ่งไม่ได้ถูกคุมขังแยกจากนักโทษทั่วไป ผู้ที่ถูกกักขังภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในจังหวัดชายแดนภาคใต้มักจะถูกขังที่ค่ายทหารหรือสถานีตำรวจมากกว่าในเรือนจำ

องค์การนอกภาครัฐรายงานว่า บางครั้ง ทางการคุมขังผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กรวมกันในห้องขังของสถานีตำรวจเพื่อรอคำสั่งฟ้อง โดยเฉพาะในสถานีตำรวจขนาดเล็กหรือที่อยู่ห่างไกล

ในศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ทางการคุมขังผู้หญิงและผู้ชายรวมกัน และคุมขังเยาวชนอายุเกิน 14 ปีรวมกับผู้ใหญ่ ทางการอาจควบคุมตัวบุคคลและบุตรในศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเป็นเวลาหลายปีได้หากพวกเขาไม่จ่ายค่าปรับและค่าเดินทางกลับประเทศตนเอง เนื่องจากกฎหมายระบุว่า “บุคคลต่างด้าวเป็นผู้เสียเงินค่าส่งตัวกลับประเทศ… และค่าใช้จ่ายในการกักตัวนี้ให้คนต่างด้าวผู้นั้นเป็นผู้เสีย” องค์การนอกภาครัฐเรียกร้องให้รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายและนโยบายเพื่อยุติการคุมขังเด็กที่วีซ่าหมดอายุโดยใช้หนทางอื่นแทน เช่น การปล่อยโดยมีเงื่อนไขให้คุมประพฤติ (Supervised Release) และการไม่ควบคุมตัว และจัดที่อยู่อาศัยโดยใช้ชุมชนเป็นแกนในขณะดำเนินการแก้ปัญหาสถานภาพการอพยพย้ายถิ่นของบุคคลเหล่านี้   องค์การนอกภาครัฐอื่นๆ รายงานว่า มีคำร้องทุกข์โดยเฉพาะจากผู้ต้องขังชาวมุสลิมว่า อาหารมีปริมาณไม่เพียงพอและไม่เหมาะสมตามวัฒนธรรม นอกจากนี้ มีรายงานอย่างต่อเนื่องว่า ผู้คุมบังคับใช้แรงงานหรือกรรโชกผู้ต้องขัง และสภาพถ่ายเทอากาศในศูนย์กักกันไม่ค่อยดี

บางครั้ง เจ้าหน้าที่เรือนจำใช้มาตรการขังเดี่ยวนานไม่เกินหนึ่งเดือนเพื่อลงโทษนักโทษชายที่ฝ่าฝืนกฎระเบียบของเรือนจำเป็นประจำหรือที่อาจเป็นภัยต่อผู้อื่น ซึ่งกฎหมายอนุญาตให้ดำเนินการได้ โดยกรมราชทัณฑ์รายงานว่า การขังเดี่ยวโดยเฉลี่ยจะมีระยะเวลาประมาณเจ็ดวัน นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังตีตรวนขาด้วยเหล็กขนาดใหญ่เพื่อควบคุมนักโทษประมาณที่เห็นว่า มีแนวโน้มจะหลบหนีหรือนักโทษที่อาจเป็นอันตรายต่อนักโทษคนอื่นๆ

สำนักการสอบสวนและนิติการ กระทรวงมหาดไทยรายงานว่า มีบุคคลเสียชีวิตระหว่างอยู่ภายใต้การควบคุมของทางการ 762 คน ระหว่างเดือนตุลาคม 2558 ถึงเดือนกันยายน 2559 โดยแปดคนอยู่ภายใต้การควบคุมของตำรวจ และ 728 คนอยู่ภายใต้การควบคุมของกรมราชทัณฑ์ เป็นอัตราเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 15 ทางการระบุว่า ส่วนใหญ่เสียชีวิตด้วยสาเหตุธรรมชาติ   กลุ่มสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ทางการไม่ได้ดำเนินการในด้านสืบสวนสาเหตุการเสียชีวิตของบุคคลเสียชีวิตระหว่างอยู่ภายใต้การควบคุมของทางการอย่างเพียงพอ

กฎหมายกำหนดว่า ผู้ติดยาเป็นผู้ป่วยไม่ใช่อาชญากร และบุคคลที่เสพยาอาจถูกทางการกักตัวในศูนย์บำบัดเชิงบังคับเป็นเวลาประมาณ 120 หรือ 180 วัน เพื่อช่วยเหลือผู้ติดยาเสพติดให้กลับเป็น “พลเมืองดี”   ศูนย์เหล่านี้เป็นโครงการความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กองทัพไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยตั้งอยู่ตามค่ายทหารประมาณ 57 แห่งและศูนย์ของพลเรือน 29 แห่ง ณ เดือนกันยายน มีบุคคลถูกกักตัวอยู่ตามศูนย์เหล่านี้ประมาณ 10,000-15,000 คน เจ้าหน้าที่ดำเนินการศูนย์บำบัดส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่ทหารที่ไม่มีความรู้พื้นฐานทางการแพทย์

กรมคุมประพฤติยืนยันว่า รัฐบาลดำเนินการประเมินประสิทธิผลของการดำเนินการบำบัดยาเสพติดดังกล่าวข้างต้นเป็นระยะๆ และค่ายทหารส่วนใหญ่มีเจ้าหน้าที่การแพทย์หรือคณะเจ้าหน้าที่การแพทย์ไปที่ค่ายทหารหลายแห่งอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ก่อนการกักกันผู้เสพยา เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นไม่ทำการประเมินทางการแพทย์ว่า บุคคลติดยารุนแรงในระดับใดและไม่มีการดำเนินกระบวนการทางกฎหมาย   และเมื่อได้รับการปล่อยตัวแล้ว ผู้ป่วยก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือด้านการติดตามผลการบำบัด สื่อมวลชนรายงานการกระทำมิชอบต่อผู้ติดยาเสพติดที่ถูกกักกัน เช่น การทารุณทางกาย นอกจากนี้ ยังขาดการให้ดูแลรักษาพยาบาลบางประการ เช่น การป้องกัน รักษา ดูแลและให้ความช่วยเหลือบำบัดเชื้อเอ็ชไอวี การล้างพิษโดยใช้กระบวนการทางการแพทย์ ตลอดจนการบำบัดการติดยาเชิงประจักษ์

การดำเนินงานของเรือนจำ: ทางการอนุญาตให้นักโทษและผู้ต้องขัง หรือผู้แทนของนักโทษและผู้ต้องขังสามารถยื่นคำร้องต่อสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินโดยไม่ต้องผ่านการตรวจพิจารณาก่อน แต่ไม่สามารถยื่นคำร้องต่อฝ่ายตุลาการได้โดยตรง สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถดำเนินการพิจารณาและสอบสวนคำร้องเรียนหรือคำร้องทุกข์ที่ได้รับจากนักโทษและให้คำแนะนำแก่กรมราชทัณฑ์ แต่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจที่จะดำเนินการในนามของนักโทษ และไม่สามารถเข้าไปมีส่วนในคดีใดๆ ยกเว้นแต่จะได้รับคำร้องทุกข์อย่างเป็นทางการจากบุคคล ทางการไม่ค่อยสอบสวนคำร้องทุกข์และไม่ประกาศผลการสอบสวนให้สาธารณชนทราบ

ศูนย์กักกันคนเข้าเมืองซึ่งบริหารจัดการโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและขึ้นต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบส่วนใหญ่ที่กำกับระบบราชทัณฑ์ตามปกติทั่วไป

การตรวจสอบจากหน่วยงานอิสระ: รัฐบาลอำนวยความสะดวกให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเข้าชมเรือนจำได้ รวมถึงการเข้าเยี่ยมนักโทษในเรือนจำโดยไม่ต้องมีบุคคลที่สามอยู่ด้วย อีกทั้ง ยังสามารถเข้าเยี่ยมอีกได้หลายครั้ง กลุ่มสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ไม่มีการตรวจสอบระบบฑัณฑสถานจากหน่วยงานภายนอกหรือต่างประเทศรวมถึงเรือนจำทหาร เช่น เรือนจำในมณฑลทหารบกที่ 11 ในกรุงเทพมหานคร องค์การสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศแห่งหนึ่งรายงานว่า ได้ร่วมมือกับหน่วยงานทางทหารและตำรวจเกี่ยวกับมาตรฐานสากลว่าด้วยการดำเนินงานของตำรวจและการใช้อำนาจของตำรวจ

ผู้แทนขององค์การต่างประเทศได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยมผู้ต้องขังบางรายที่ศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศเพื่อให้บริการและดำเนินการโยกย้ายถิ่นฐาน

 ง. การจับกุมหรือการกักกันตามอำเภอใจ

ภายใต้คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 2/2558 ทหารสามารถกักกันบุคคลได้สูงสุดไม่เกินเจ็ดวันโดยไม่ต้องมีหมายศาลหรือการพิจารณาคดีในศาล และเจ้าหน้าที่ทหารมักใช้อำนาจนั้น สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติรายงานว่า รัฐบาลทหารเรียกตัว จับกุมและกักขังบุคคลประมาณ 1,500 คนนับตั้งแต่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557 ก่อนปล่อยตัว เจ้าหน้าที่ทหารมักให้ผู้ถูกกักขังลงนามในเอกสารยืนยันว่า พวกเขาได้รับการปฏิบัติอย่างดี จะไม่ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง และจะขออนุญาตทางการก่อนเดินทางออกนอกพื้นที่ กลุ่มสิทธิมนุษยชนบางกลุ่มรายงานว่า เจ้าหน้าที่ทางการมักไม่อนุญาตให้ญาติพี่น้องหรือทนายพบผู้ถูกกักขัง เจ้าหน้าที่ทหารข่มขู่ผู้ที่ไม่มารายงานตัวตามคำสั่งว่าจะต้องถูกจำคุกและยึดทรัพย์

พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินซึ่งให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ทางการในการควบคุมตัวบุคคลไว้ในสถานที่กักกันอย่างไม่เป็นทางการได้นานสูงสุด 30 วันโดยไม่ต้องมีข้อกล่าวหานั้นยังมีผลบังคับใช้อยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กรุณาอ่านหมวดที่ 1.ง)

บทบัญญัติแห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินทำให้ยากแก่การร้องขอต่อศาลเพื่อโต้แย้งการกักขัง พระราชกำหนดฯ ระบุว่า ผู้ถูกกักขังมีสิทธิที่จะมีทนายได้ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ไม่มีหลักประกันว่า ผู้ถูกกักขังจะได้พบทนายหรือญาติพี่น้องทันที และไม่มีมาตรการที่โปร่งใสเพื่อป้องกันการทารุณผู้ถูกกักขัง นอกจากนี้ พระราชกำหนดฯ ระบุว่า เจ้าพนักงานด้านความมั่นคงไม่ต้องรับโทษทั้งทางอาญา ทางแพ่งและทางวินัยจากการกระทำใดๆ ในระหว่างปฏิบัติราชการตามหน้าที่ภายใต้พระราชกำหนดฯ

บทบาทของเจ้าหน้าที่ตำรวจและเครื่องมือรักษาความมั่นคง

กฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ทหารเหนือหน่วยงานพลเรือนซึ่งรวมถึงตำรวจในกรณีที่เกี่ยวข้องกับรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง   ภายใต้คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 13/255 ข้าราชการทหารซึ่งมียศตั้งแต่ชั้นร้อยตรี เรือตรี หรือเรืออากาศตรี ขึ้นไป มีอำนาจออกคำสั่งเรียกให้บุคคลต้องสงสัยมารายงานตัว จับกุมตัวบุคคลและควบคุมตัวผู้ถูกจับ อายัดทรัพย์สินที่ค้นพบ ระงับธุรกรรมทางการเงิน และห้ามบุคคลต้องสงสัยเดินทางออกนอกราชอาณาจักรหากกระทำผิดใดในความผิดทางอาญา 27 ประเภท อันได้แก่ การกรรโชกทรัพย์ การค้ามนุษย์ โจรกรรม การปลอมเอกสาร การฉ้อฉล การหมิ่นประมาท การพนัน การค้าประเวณี และการผิดกฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืน   คำสั่งนี้ยังให้ความคุ้มครองเจ้าหน้าที่ทหารว่าไม่ต้องรับโทษทั้งทางอาญา ทางแพ่งและทางวินัยจากการกระทำใดๆ ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจที่ “กระทำการไปโดยสุจริต”

ตำรวจตระเวนชายแดนมีอำนาจและความรับผิดชอบพิเศษในพื้นที่ชายแดนเพื่อต่อสู้กับผู้ก่อความไม่สงบหรือขบวนการแบ่งแยกดินแดน

มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทำร้ายผู้ต้องขังและนักโทษ และโดยส่วนใหญ่มักไม่ถูกลงโทษ

ผู้ที่ต้องการร้องเรียนเกี่ยวกับการกระทำโดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถร้องเรียนโดยตรงต่อผู้บังคับบัญชาของตำรวจที่ถูกกล่าวหา จเรตำรวจ หรือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สภาทนายความแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ศาลฎีกา กระทรวงยุติธรรม และสำนักนายกรัฐมนตรีตลอดจนสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาก็รับคำร้องเรียนเกี่ยวกับการกระทำโดยมิชอบและการทุจริตของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระหว่างเดือนตุลาคม 2558 ถึงเดือนกันยายน 2559 กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม รายงานว่า ได้รับคำร้องเรียนกรณีตำรวจใช้อำนาจโดยมิชอบ 60 ราย สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินรายงานว่า ได้รับคำร้องเรียนกรณีตำรวจประพฤติมิชอบ 565 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 20

กระบวนการมาตรฐานกำหนดว่า เมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับคำร้องเรียน คณะกรรมการสอบสวนภายในจะรับเรื่องไว้พิจารณาและอาจสั่งพักราชการเจ้าหน้าที่ที่ถูกร้องเรียนเป็นการชั่วคราวระหว่างการสอบสวน มีมาตราการลงโทษทางการบริหารหลายแบบ และหากเป็นกรณีร้ายแรง เรื่องอาจจะถูกส่งไปยังศาลอาญา

คำร้องเรียนส่วนน้อยยังผลให้มีการลงโทษผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด และมีตัวอย่างจำนวนมากที่การสอบสวนการใช้อำนาจโดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงใช้เวลานานหลายปีโดยไม่มีผลสรุป กลุ่มสิทธิมนุษยชนวิจารณ์ “การดำเนินการอย่างผิวเผิน” ของการสอบสวนทางศาลและของตำรวจเกี่ยวกับกรณีที่มีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงว่าทรมานหรือกระทำทารุณอื่นๆ

หน่วยงานตำรวจในท้องถิ่นมีหน้าที่รับผิดชอบสอบสวนแต่ละกรณีที่มีการเสียชีวิตจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง และประเมินว่า การสังหารนั้นเกิดขึ้นในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่หรือชอบด้วยเหตุผลหรือไม่ สำนักการสอบสวนและนิติการ กระทรวงมหาดไทยรายงานว่ามีพลเรือนเสียชีวิตแปดคนระหว่างการดำเนินการของตำรวจตั้งแต่เดือนตุลาคม 2558 ถึงเดือนกันยายน 2559 สำนักฯ ยังรายงานว่า ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ มีบุคคลเสียชีวิต 34 คนระหว่างอยู่ในการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ในกระบวนการสอบสวนกรณีการเสียชีวิตอย่างน่าสงสัย ซึ่งรวมทั้งการเสียชีวิตระหว่างถูกตำรวจควบคุมตัวนั้น มีข้อกำหนดให้อัยการ แพทย์นิติเวช และเจ้าหน้าที่ทางการท้องถิ่นเข้าร่วมการสอบสวนด้วย และในกรณีส่วนใหญ่ สมาชิกครอบครัวของผู้เสียชีวิตมีสิทธิแต่งตั้งทนายความเข้าร่วมการชันสูตรพลิกศพด้วย ทว่า เจ้าหน้าที่มักไม่ค่อยปฏิบัติตามกระบวนการนี้ ครอบครัวของผู้เสียชีวิตเองก็ไม่ค่อยใช้สิทธิตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เปิดโอกาสให้บุคคลสามารถฟ้องร้องดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจฐานกระทำความผิดทางอาญาในระหว่างการจับกุม

เมื่อเดือนสิงหาคม นายธวัชชัย อนุกูล ข้าราชการกระทรวงมหาดไทยเสียชีวิตขณะอยู่ในการควบคุมตัวของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในชั้นต้น เจ้าหน้าที่รายงานว่า นายธวัชชัยแขวนคอตายด้วยถุงเท้าในขณะอยู่ในห้องขังของดีเอสไอ แต่ผลการชันสูตรพลิกศพระบุว่า นายธวัชชัยเสียชีวิตจาก “เลือดออกในช่องท้อง ตับแตกจากถูกของแข็งไม่มีคมกระแทก และขาดอากาศหายใจเนื่องจากการแขวนคอ”

กระทรวงกลาโหมกำหนดให้ข้าราชการทหารเข้ารับการอบรมเรื่องสิทธิมนุษยชน การฝึกอบรมตามปกตินั้นจัดในหลายระดับ ได้แก่ ข้าราชการสัญญาบัตร ข้าราชการต่ำกว่าสัญญาบัตรและทหารเกณฑ์ นอกจากนี้ ข้าราชการทหารที่ออกปฏิบัติงานสนับสนุนการต่อต้านการก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังได้รับการอบรมพิเศษเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งรวมถึงการอบรมการรับมือกับเหตุการณ์เฉพาะที่อาจเกิดขึ้นโดยมิได้คาดหมาย

ขั้นตอนการจับกุมและการปฏิบัติต่อบุคคลขณะถูกคุมขัง

กฎหมายกำหนดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ทหารต้องได้รับหมายจากศาลก่อนเข้าทำการจับกุมยกเว้นบางกรณีเท่านั้น ระบบการออกหมายจับมีแนวโน้มว่าศาลมักจะอนุมัติออกหมายตามที่ยื่นขอมาทั้งหมด ตามกฎหมาย บุคคลต้องได้รับแจ้งข้อหาทันทีที่ถูกจับกุมและต้องได้รับอนุญาตให้สามารถแจ้งแก่ผู้ใดผู้หนึ่งถึงการถูกจับกุมได้

กฎหมายกำหนดให้ผู้ถูกคุมขังคดีอาญาทั้งในศาลพลเรือนแลพศาลทหารสามารถติดต่อทนายได้ แต่นักกฎหมายและกลุ่มรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชนอ้างว่า ตำรวจมักทำการสอบสวนผู้ถูกคุมขังโดยไม่ช่วยให้ผู้ถูกคุมขังติดต่อทนาย   นักกฎหมายที่ทำงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้รายงานว่า ภายใต้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พวกเขาถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าพบลูกความที่ถูกคุมขัง และมีประชาชนในจังหวัดภาคใต้รายงานว่า ถูกเจ้าหน้าที่ทางการปฏิเสธไม่ให้เข้าเยี่ยมสมาชิกครอบครัวที่ถูกคุมขัง

บางครั้ง เจ้าหน้าที่ทางการกดดันผู้ที่ถูกคุมขังชาวต่างชาติโดยเฉพาะแรงงานอพยพและผู้ที่เข้าประเทศผิดกฎหมายให้ลงชื่อสารภาพโดยไม่ได้รับการช่วยเหลือจากล่ามหรือนักแปลที่มีความสามารถ

จนถึงเดือนกรกฎาคม กระทรวงยุติธรรมและศาลยุติธรรมจัดหาทนายอาสาให้แก่ผู้ถูกคุมขังที่มีฐานะยากจนโดยใช้งบประมาณของรัฐจำนวน 14,068 คดี ทนายความตั้งข้อสังเกตว่า ค่าจ้างทนายและค่าธรรมเนียมที่ทางการเสนอให้นั้นค่อนข้างต่ำ

กฎหมายให้สิทธิแก่ผู้ต้องหาในการขอประกันตัว และโดยทั่วไป รัฐบาลก็เคารพในสิทธิดังกล่าว อย่างไรก็ตาม กลุ่มสิทธิมนุษยชนบางกลุ่มรายงานว่า มีบ่อยครั้งที่ตำรวจไม่ได้แจ้งให้ผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัวทราบเกี่ยวกับสิทธิการขอประกันตัว หรือไม่ก็ ปฏิเสธที่จะสนับสนุนให้มีการประกันตัวหลังจากผู้ต้องหาได้ยื่นขอประกันตัวต่อศาล โดยเฉพาะในคดียาเสพติดและคดีที่เกี่ยวกับความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้

การจับกุมตามอำเภอใจ: ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ทหารมีอำนาจกักขังบุคคลเป็นเวลาสูงสุดไม่เกินเจ็ดวันโดยไม่ต้องแจ้งข้อกล่าวหา และภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน บุคคลอาจถูกกักกันได้เป็นเวลาสูงสุดไม่เกิน 30 วันโดยไม่ต้องแจ้งข้อกล่าวหา (ดูหมวด 1.ช)   จนถึงเดือนกันยายน ทหารประกาศใช้กฎอัยการศึกและอำนาจตามคำสั่ง คสช. ที่ 3/2015 ในการกักกันเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมือง นักวิชาการ ผู้สื่อข่าว และบุคคลกลุ่มอื่นๆ โดยไม่แจ้งข้อกล่าวหาแต่มีจำนวนน้อยกว่าปี 2558 ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่ทหารปล่อยตัวหลังกักไว้ไม่นาน มีบางรายที่ถูกกักสูงสุดเจ็ดวัน

การคุมขังเพื่อรอการพิจารณาคดี: ในกรณีปกติทั่วไป กฎหมายอนุญาตให้ตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยคดีอาญาเพื่อดำเนินการสอบสวนคดีได้เป็นเวลา 48 ชั่วโมงหลังการจับกุม ทนายความรายงานว่า ตำรวจไม่ค่อยส่งสำนวนต่อศาลภายใน 48 ชั่วโมง กฎหมายและระเบียบข้อบังคับกำหนดให้ความผิดที่มีระวางโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 3 ปีอยู่ในความรับผิดชอบของศาลแขวงซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินคดีแตกต่างออกไป โดยในคดีเหล่านี้ ตำรวจต้องส่งสำนวนคดีไปให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องภายใน 72 ชั่วโมงหลังการจับกุม จากรายงานของสภาทนายความแห่งประเทศไทย การคุมขังผู้ต้องสงสัยคดีอาญาเพื่อรอการพิจารณาคดีนานถึง 60 วันถือเป็นเรื่องปกติ

ก่อนการตั้งข้อหาและการพิจารณาคดี ทางการสามารถควบคุมตัวบุคคลได้นานสูงสุดไม่เกิน 84 วัน (สำหรับคดีร้ายแรงที่สุด) โดยศาลต้องพิจารณาทบทวนทุกเจ็ดวัน หลังจากการตั้งข้อหาอย่างเป็นทางการและตลอดช่วงการพิจารณาคดี การคุมขังผู้ต้องสงสัยอาจกินเวลานาน 1-2 ปี กว่าศาลจะประกาศคำพิพากษาและอาจนานถึงหกปีกว่าศาลสูงสุดจะพิจารณาเรื่องอุทธรณ์ ทั้งนี้ ช่วงเวลาดังกล่าวขึ้นอยู่กับความพร้อมในการดำเนินการฟ้องร้องและการสู้คดี จำนวนคดีที่ศาลรับผิดชอบและลักษณะของหลักฐาน บางกรณี ช่วงเวลาที่จำเลยถูกควบคุมตัวอาจเท่ากับหรือนานกว่าโทษของอาชญากรรมที่ถูกกล่าวหา

สิทธิของบุคคลผู้ถูกควบคุมตัวในการค้านแย้งต่อศาลว่าการควบคุมตัวนั้นถูกกฎหมายหรือไม่: ในกรณีส่วนใหญ่ บุคคลผู้ถูกตำรวจจับกุมหรือควบคุมตัวมีสิทธิเรียกร้องให้ศาลพิจารณาทบทวนการควบคุมตัวของตนภายใน 48 ชั่วโมง บุคคลผู้ถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่ทหารด้วยอำนาจหน้าที่ภายใต้คำสั่ง คสช. ที่ 3/2015 มีสิทธิเรียกร้องให้ศาลพิจารณาทบทวนการควบคุมตัวของตนภายใน 7 วัน หากศาลพบว่า บุคคลถูกควบคุมตัวโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย (มากกว่า 48 ชั่วโมงหรือ 7 วัน) จะได้รับสินไหมชดเชย

การคุมขังผู้แสวงหาที่พักพิงที่ทางการปฏิเสธหรือบุคคลไร้สัญชาติ: ทางการคุมขังผู้แสวงหาที่พักพิงและผู้ขอลี้ภัยที่ขาดสถานภาพทางกฎหมาย องค์การนอกภาครัฐกล่าวหาว่า มีการยืดเวลาการคุมขังและสภาพห้องคุมขังต่ำกว่ามาตรฐาน

การอภัยโทษ: ประกาศกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการพระราชทานอภัยโทษเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม เนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี และในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยผู้ต้องขังที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัวมีจำนวนประมาณ 30,000 คนและได้รับพระราชทานอภัยโทษลดโทษมีจำนวน 70,000 คน ส่วนการพระราชทานอภัยโทษเมื่อวันที่ 10 ธันวาคมเนื่องในโอกาสแรกสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ โดยผู้ต้องขังที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัวมีจำนวนประมาณ 30,000 คนและได้รับพระราชทานอภัยโทษลดโทษมีจำนวน 70,000 คน   

จ. การปฏิเสธการพิจารณาคดีอย่างเปิดเผยและเป็นธรรม

รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวและรัฐธรรมนูญฉบับปี 2559 กำหนดให้ระบบศาลมีความเป็นอิสระ แม้ คสช. ออกประกาศห้ามพนักงานศาลยุติธรรมแสดงความเห็นเชิงลบต่อ คสช. ในเวทีสาธารณะ นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวให้อำนาจแก่ คสช. ในระงับยับยั้งเพื่อป้องกันหรือปราบปรามการกระทําอันเป็นการบ่อนทําลายความมั่นคงของชาติ “ไม่ว่าการกระทํานั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ”

กลุ่มสิทธิมนุษยชนยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลของ คสช. ที่มีต่อกระบวนการตุลาการที่เป็นกระบวนการอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดำเนินคดีกับพลเรือนในศาลทหาร ตามรายงานของกลุ่มสิทธิมนุษยชน การที่คดีดังๆ หลายคดีที่เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจในทางมิชอบไม่มีความคืบหน้าใดๆ นั้นทำให้ประชาชนขาดความเชื่อถือในระบบตุลาการและทำให้เหยื่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนบางคน (หรือครอบครัวของเหยื่อ) ไม่สนใจเรียกร้องความยุติธรรม

ขั้นตอนการพิจารณาคดี

กฎหมายให้ถือว่าบุคคลเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ความผิดได้ การพิจารณาคดีไม่ใช้ระบบลูกขุน การพิจารณาความผิดลหุโทษใช้ผู้พิพากษาคนเดียว ส่วนคดีความผิดที่ร้ายแรงกว่านั้นต้องใช้ผู้พิพากษาสองคนหรือมากกว่า ก่อนมีการระงับใช้รัฐธรรมนูญนั้น รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีการพิพากษาคดีทันที แต่ก็ยังมีคดีที่ค้างอยู่ที่ศาลเป็นจำนวนมาก แม้ว่าการพิจารณาคดีส่วนใหญ่จะเปิดเผยต่อสาธารณชน แต่ศาลอาจสั่งให้มีการพิจารณาลับได้ โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ ราชวงศ์ เด็ก หรือการล่วงละเมิดทางเพศ

จำเลยที่ถูกพิจารณาคดีในศาลอาญาธรรมดาจะได้รับสิทธิตามกฎหมายหลายประการซึ่งรวมถึงสิทธิในการเลือกทนายด้วยตนเอง รับทราบรายละเอียดข้อมูลข้อกล่าวหาอย่างรวดเร็ว (รวมถึงมีล่ามโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ หากจำเป็น) พร้อมทั้งเวลาและสถานที่อย่างเพียงพอในการเตรียมสู้คดี นอกจากนี้ ยังมีสิทธิไม่จำเป็นต้องให้การหรือสารภาพผิด เผชิญหน้ากับพยาน และนำเสนอพยาน อย่างไรก็ตาม รัฐไม่ได้จัดหาทนายอาสาให้แก่จำเลยที่มีฐานะยากจนโดยใช้งบประมาณของรัฐโดยอัตโนมัติ และมีการกล่าวหาว่า ในทางปฏิบัติแล้ว จำเลยก็ไม่ได้รับสิทธิดังกล่าวข้างต้นเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเล็กๆ หรือจังหวัดที่อยู่ห่างไกล

คำสั่ง คสช. เมื่อปี พ.ศ. 2557 กำหนดให้เปลี่ยนเขตอำนาจของศาลในการดำเนินคดี โดยการดำเนินคดีความผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ การก่อการจลาจล การปลุกปั่นให้ขัดขืนอำนาจปกครองและการแบ่งแยกดินแดน รวมถึงการละเมิดคำสั่ง คสช. ซึ่งปกติอยู่ในเขตอำนาจของศาลอาญานั้นให้เปลี่ยนไปอยู่ในเขตอำนาจของศาลทหาร เมื่อวันที่ 12 กันยายน คสช. สั่งให้ยุติการดำเนินการดังกล่าว และกำหนดให้การดำเนินคดีพลเรือนที่กระทำผิดไม่ต้องอยู่ในเขตอำนาจของศาลทหารอีกต่อไปนับจากวันที่ประกาศ โดย คสช. อธิบายว่า ยังคงมีคดีค้างอีกประมาณ 500 คดีที่จะยังดำเนินการที่ศาลทหาร รวมถึงความผิดที่กระทำก่อนวันที่ 12 กันยายน แหล่งข่าวรัฐบาลและองค์การนอกภาครัฐระบุว่า ระหว่างเดือนพฤษภาคม 2557 ถึงเดือนพฤษภาคม 2559 ศาลทหารเริ่มพิจารณาคดีกับพลเรือนอย่างน้อย 1,546 คดีและบุคคล 1,811 คน โดยส่วนใหญ่ถูกกล่าวหาฐานละเมิดมาตรา 112 (หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์) ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ คสช. และฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิด

ศาลทหารไม่ให้ความคุ้มครองทางกฎหมายแก่ผู้ต้องหาพลเรือนเหมือนศาลพลเรือน ศาลทหารไม่ให้จำเลยได้รับสิทธิตามที่กำหนดในรัฐธรรมนูญชั่วคราวหรือรัฐธรรมนูญฉบับปี 2559 ในการที่จะได้รับการสืบพยานและพิจารณาคดีที่ยุติธรรมโดยศาลที่มีสมรรถภาพ ไม่มีอคติและเป็นอิสระ ก่อนเดือนพฤษภาคม 2558 พลเรือนต้องหาทนายความเองจากบรรดาทนายความจำนวนจำกัดที่สามารถและเต็มใจว่าความในศาลทหาร พลเรือนที่ต้องรับการพิจารณาคดีด้วยเหตุที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดระหว่างเดือนพฤษภาคม 2557 ถึง เดือนเมษายน 2558 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประกาศกฎอัยการศึกนั้นไม่มีสิทธิอุทธรณ์

สำหรับคดีในศาลพลเรือน รัฐบาลให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายให้เป็นครั้งคราวตามแต่สมัครใจ แต่ความช่วยเหลือนี้มักมีมาตรฐานต่ำ งบประมาณของสภาทนายความแห่งประเทศไทยยังคงเท่ากับปีที่ผ่านๆ มา คือ ประมาณ 50 ล้านบาท (1.40 ล้านเหรียญสหรัฐ) องค์การนอกภาครัฐบางแห่งรายงานว่า ทนายความที่ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายกดดันให้ลูกความจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มแก่ทนายโดยตรง แต่สำนักงานคณะกรรมการมรรยาททนายความ สภาทนายความแห่งประเทศไทยอธิบายว่า ลูกความจะต้องจ่ายค่าใช้จ่ายบางประการ เช่น ค่าเดินทางของทนาย กฎหมายกำหนดให้ศาลต้องแต่งตั้งทนายให้ในกรณีที่จำเลยต่อสู้ข้อกล่าวหามีฐานะยากจนหรือเป็นผู้เยาว์ รวมทั้งในกรณีที่บทลงโทษอาจจำคุกเกินกว่า 5 ปีหรือประหารชีวิต การให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายโดยไม่คิดมูลค่าส่วนใหญ่มาจากกลุ่มองค์กรเอกชน เช่น สภาทนายความแห่งประเทศไทยและสมาคมบัณฑิตสตรีทางกฎหมายแห่งประเทศไทย

ไม่มีกระบวนการให้แสดงเอกสารเพื่อให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตรวจ ดังนั้น ทนายและจำเลยไม่สามารถเข้าถึงหลักฐานได้ก่อนมีการพิจารณาคดี กฎหมายเปิดโอกาสให้มีการฟ้องร้องต่อศาลหรือหน่วยงานราชการอื่นๆ เพื่ออุทธรณ์หรือขอการชดใช้สินไหมทดแทนได้ และโดยทั่วไป รัฐบาลก็เคารพในสิทธิดังกล่าว

องค์การนอกภาครัฐหลายแห่งยังคงแสดงความกังวลที่ไม่มีการคุ้มครองพยานที่พอเพียงโดยเฉพาะในคดีที่ตำรวจถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด สำนักงานคุ้มครองพยาน กระทรวงยุติธรรม มีทรัพยากรจำกัดและส่วนใหญ่ก็ทำหน้าที่ประสานงาน ในคดีส่วนใหญ่แล้ว ตำรวจเป็นผู้ให้การคุ้มครองพยาน แต่มีหน่วยงานอื่นของรัฐอีกหกหน่วยที่อยู่ในโครงการนี้ด้วย คือ กระทรวงกลาโหม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กรมสอบสวนคดีพิเศษ องค์การบริหารส่วนจังหวัด กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และกรมราชทัณฑ์

เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงบังคับผู้ต้องสงสัยคดีอาญาที่รอการพิจารณาคดีให้ทำแผนประกอบคำรับสารภาพต่ออาชญากรรมที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาต่อหน้าสื่อมวลชน เหยื่อ ครอบครัวเหยื่อและสาธารณชน สื่อมวลชนจะตีพิมพ์และนำเสนอภาพจากแผนประกอบคำรับสารภาพเหล่านี้อย่างกว้างขวางเกือบเป็นประจำทุกวัน เจ้าหน้าที่ตำรวจมักสั่งผู้ต้องสงสัยให้แสดงการกระทำที่พ้องกับสถานการณ์ของอาชญากรรมนั้นๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา ตำรวจได้ทำแผนประกอบคำรับสารภาพหลายพันครั้ง แม้ว่าระเบียบทางการตำรวจจะระบุให้ผู้ต้องสงสัย “สารภาพ” ก่อนทำแผนประกอบคำรับสารภาพ แต่ตำรวจมักได้ “คำสารภาพ” จากการบีบบังคับ ซึ่งรวมถึงการทำร้ายร่างกายด้วย มีประชาชนที่มาดูการทำแผนประกอบคำรับสารภาพทำร้ายร่างกายผู้ต้องสงสัยอย่างน้อยหกรายในช่วงแปดเดือนแรกของปีที่ผ่านมา องค์การสิทธิมนุษยชนวิพากษ์การบังคับการทำแผนประกอบคำรับสารภาพเนื่องจากละเมิดหลักการที่ให้ถือว่าบุคคลบริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ว่าผิดและเป็นการสนับสนุนให้มีการทำร้ายผู้ต้องสงสัย

นักโทษและผู้ต้องขังทางการเมือง

ในช่วงปีที่ผ่านมา คสช. กักกันตัวบุคคลเนื่องจากแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอยู่เนืองๆ (ดู หมวด 1.ง) เมื่อถึงเดือนมีนาคม กรมราชฑัณฑ์รายงานว่า มีบุคคลถูกควบคุมตัวภายใต้กฎหมายว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ 103 คน โดยกฎหมายนี้ห้ามวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ (ดูหมวด 2.ก) กลุ่มสิทธิมนุษยชนอ้างว่า ผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหลายคนถูกดำเนินคดีและพิพากษาโทษเนื่องจากเหตุผลทางการเมือง เมื่อเดือนธันวาคม ตำรวจจับกุมนายจตุภัทร บุญภัทรรักษา นักเคลื่อนไหวและนักศึกษาเพราะกด “ไลก์” และแชร์ลิงก์เพจเฟซบุ๊กของสำนักข่าวบีบีซีภาคภาษาไทยที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ที่ถูกกล่าวหาว่ามีข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ศาลยกเลิกการประกันตัวของนายจตุภัทร และนายจตุภัทรถุกจับกุมอีกครั้งด้วยข้อหาว่ายังใช้สื่อสังคมในการท้าทายเจ้าพนักงานรัฐ

ขั้นตอนและการเยียวยาคดีความทางแพ่ง

กฎหมายเปิดโอกาสให้มีการฟ้องร้องต่อศาลหรือหน่วยงานราชการฝ่ายปกครองเพื่อขอให้มีการชดใช้สินไหมทดแทนความเสียหายอันเนื่องมาจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือให้ยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชน   และโดยทั่วไป รัฐบาลก็เคารพในสิทธิดังกล่าว อย่างไรก็ตาม พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินซึ่งมีผลบังคับใช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้กำหนดชัดเจนว่า ศาลปกครองหรือกระบวนการยุติธรรมทางแพ่งหรืออาญาไม่สามารถตรวจสอบเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่เหยื่ออาจร้องขอสินไหมทดแทนความเสียหายจากหน่วยงานรัฐแทนได้

ฉ. การล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ครอบครัว บ้านพัก หรือเอกสารโต้ตอบโดยพลการ

ก่อนการรัฐประหารเมื่อปี พ.ศ. 2557 รัฐธรรมนูญห้ามการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ครอบครัว บ้านพัก หรือเอกสารโต้ตอบโดยพลการ และโดยทั่วไป รัฐบาลก็เคารพสิทธิดังกล่าว หลังการรัฐประหาร คสช. ได้ยกเลิกรัฐธรรมนูญและประกาศใช้กฎอัยการศึก ซึ่งภายหลังประกาศยกเลิกและให้ใช้คำสั่ง คสช. ที่ 3/2015 ซึ่งออกภายใต้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่ คสช. ประกาศใช้   ทั้งบทบัญญัติเหล่านี้และพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงในการตรวจค้นโดยไม่ต้องมีหมายศาล และยังคงมีการใช้อำนาจดังกล่าวในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศและบริเวณพื้นที่ชายแดน ในช่วงปีที่ผ่านมา มีคำร้องทุกข์อ้างว่า เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงใช้อำนาจดังกล่าวโดยมิชอบ

มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ทหารคุกคามสมาชิกในครอบครัวของบุคคลที่ต้องสงสัยว่าต่อต้าน คสช. รวมถึงบิดามารดาของนักศึกษาที่ร่วมการประท้วงต่อต้าน คสช. และครอบครัวของผู้เรียกร้องสิทธิมนุษยชนด้วย ตัวอย่างเช่น เมื่อเดือนกรกฎาคม ตำรวจเข้าค้นบ้านพักของภรรยาชาวไทยของผู้สื่อข่าวต่างชาติที่ตีพิมพ์บทความวิจารณ์ราชวงศ์ เจ้าหน้าที่จับกุมและสอบสวนภรรยาชาวไทยของผู้สื่อข่าวต่างชาติรายนี้เป็นเวลาหกชั่วโมงก่อนจะปล่อยตัว ในอีกกรณีหนึ่ง กลุ่มสิทธิมนุษยชนอ้างว่า ทหารจับกุมและตั้งข้อกล่าวหามารดาของนักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารที่ละเมิดกฎหมายมาตรา 112 เพื่อกดดันให้บุตรชายของเธอหยุดเคลื่อนไหวทางการเมือง

หน่วยงานด้านความมั่นคงติดตามความเคลื่อนไหวของบุคคลที่มีแนวความคิดแบบสุดขั้วหรือแนวความคิดที่นำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรง ซึ่งรวมถึงชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศโดยมีแนวความคิดลักษณะดังกล่าว

ช. การใช้อำนาจในทางมิชอบอื่นๆ ในการจัดการปัญหาขัดแย้งภายในประเทศ

ความขัดแย้งภายในประเทศในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมเชื้อสายมาเลย์ยังคงมีอยู่ เนื่องจากผู้ก่อการวางระเบิดและทำร้ายประชาชนอยู่เนืองๆ รวมทั้งการปฏิบัติการด้านความมั่นคงของทางฝ่ายรัฐบาล จึงทำให้ยังคงมีความตึงเครียดสูงระหว่างชุมชนชาวมุสลิมเชื้อสายมาเลย์และชาวพุทธเชื้อสายไทยในพื้นที่ และทำให้ประชาชนยังคงมีความไม่ไว้วางใจในเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง

พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่ประกาศใช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้อันได้แก่ ซึ่งได้แก่ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และบางส่วนของสงขลา มอบอำนาจอย่างมีนัยสำคัญให้แก่ทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือนในการจำกัดสิทธิพื้นฐานบางประการ รวมทั้งให้อำนาจการรักษาความมั่นคงภายในประเทศบางประการแก่กองทัพ พระราชกำหนดฯ ยังให้เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงสามารถปฏิบัติงานโดยการไม่ต้องถูกลงโทษดำเนินคดี นอกจากนี้ กฎอัยการศึกซึ่งประกาศใช้เมื่อปี พ.ศ. 2549 ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่และให้อำนาจอย่างมีนัยสำคัญแก่เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ดูหมวด 1. ง.)

การสังหาร: ข้อมูลสถิติของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ซึ่งเป็นองค์การนอกภาครัฐระบุว่า เมื่อถึงเดือนธันวาคม มี 16 กรณีที่รายงานว่ากองกำลังของรัฐบาลได้กระทำการวิสามัญฆาตกรรมในจังหวัดชายแดนภาคใต้

ข้อมูลสถิติของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ระบุว่า สถิติเมื่อถึงเดือนสิงหาคม ความรุนแรงเป็นผลให้มีผู้เสียชีวิต 212 คนและบาดเจ็บ 441 คนในเหตุรุนแรง 593 ครั้ง เพิ่มขึ้นจากสถิติในปี พ.ศ. 2558 และยังรายงานว่า สถิติตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ความรุนแรงเป็นผลให้มีผู้เสียชีวิต 6,486 คนและบาดเจ็บ 11,793 คนในเหตุรุนแรง 15,968 ครั้งในพื้นที่ภาคใต้ แต่องค์กรดังกล่าวไม่ได้แยกสถิติว่าเป็นความรุนแรงที่ก่อโดยผู้ก่อการแบ่งแยกดินแดน เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง หรือกลุ่มอาชญากร และเช่นเดียวกับปีที่ผ่านๆ มา กลุ่มผู้แบ่งแยกดินแดนมักมุ่งเป้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ทางการซึ่งรวมถึงข้าราชการอำเภอและเทศบาล ตลอดจนทหารและตำรวจ โดยการใช้ระเบิดและการซุ่มยิง ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ตั้งข้อสังเกตว่า แนวโน้มใหม่ของความรุนแรงซึ่งส่วนใหญ่กระทำโดยผู้ก่อการแบ่งแยกดินแดนโดยพุ่งเป้าไปที่เป้าหมายที่เปราะบาง (soft target) เช่น ธุรกิจห้างร้าน สถาบันการแพทย์และสถานศึกษา สื่อมวลชนรายงานว่า ผู้ก่อการแบ่งแยกดินแดนสังหารครูหนึ่งคน นักเรียนหนี่งคน ซึ่งลดจากสถิติของปี 2558 นอกจากนี้ ผู้ก่อการแบ่งแยกดินแดนยังสังหารและทำร้ายพลเรือนทั้งชาวพุทธและมุสลิมจากสาขาอาชีพอื่นๆ อีกมาก

อาสาสมัครป้องกันดินแดนที่เป็นพลเรือนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลได้รับการฝึกขั้นพื้นฐานและรับแจกอาวุธจากฝ่ายรักษาความมั่นคง องค์การด้านสิทธิมนุษยชนแสดงความกังวลที่เห็นอาสาสมัครป้องกันดินแดนเหล่านี้และพลเรือนอื่นๆ ทำการลงโทษบุคคลโดยพลการ

การลักพาตัว: มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมได้รับรายงานว่า มีบุคคลถูกบังคับหายสาบสูญโดยหน่วยความมั่นคงของทางการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กลุ่มมนุษยชนอื่นๆ กล่าวว่า ประสบความลำบากในการหาข้อมูลเนื่องจากรัฐบาลมีการออกหมายเรียกและควบคุมตัวบุคคลอย่างกว้างขวาง

การทารุณกรรมทางกาย การลงโทษและการทรมาน: รัฐบาลยังคงจับกุมผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายซึ่งบางคนก็ยังเป็นผู้เยาว์ และในบางกรณี ทางการก็คุมขังผู้ต้องสงสัยเป็นเวลาหนึ่งเดือนหรือนานกว่านั้นภายใต้บทบัญญัติของพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินและกฎอัยการศึก เมื่อถึงวันที่ 20 กันยายน มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมได้รับรายงานร้องทุกข์จากผู้ต้องสงสัยก่อการแบ่งแยกดินแดน 18 กรณีที่กล่าวหาว่าทหารกระทำการทรมาน   มูลนิธิผสานวัฒนธรรมรายงานว่ามีผู้ต้องขังหนึ่งรายในจังหวัดชายแดนภาคใต้เสียชีวิตขณะย้ายเรือนจำ องค์การสิทธิมนุษยชนยืนยันว่า การจับกุมเหล่านี้เป็นการกระทำตามอำเภอใจ เกินกว่าเหตุและยาวนานโดยไม่จำเป็น และองค์การเหล่านี้ยังคงวิจารณ์สภาพแออัดของสถานกักกัน

ภายใต้กฎอัยการศึก เจ้าหน้าที่ทางการสามารถกักกันบุคคลเป็นเวลาสูงสุดไม่เกินเจ็ดวันโดยไม่ต้องแจ้งข้อหาและไม่ต้องได้รับอนุมัติจากศาลหรือหน่วยงานของรัฐในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินซึ่งมีการบังคับใช้ในพื้นที่เดียวกันนี้ให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ทางการในการจับกุมและคุมขังผู้ต้องสงสัยได้นานสูงสุด 30 วันโดยไม่ต้องมีข้อกล่าวหา หลังจากช่วงเวลา 30 วันนี้แล้ว ทางการสามารถเริ่มคุมขังผู้ต้องสงสัยได้ภายใต้กฎหมายอาญาปกติ (ดูหมวด 1.ง) การคุมขังลักษณะนี้ไม่เหมือนการคุมขังภายใต้กฎอัยการศึก เพราะต้องมีคำอนุญาตจากศาล แต่องค์การนอกภาครัฐด้านสิทธิมนุษยชนร้องเรียนว่า ศาลไม่ค่อยใช้อำนาจของศาลในการพิจารณาการคุมขังเหล่านี้ ในบางกรณี ผู้ต้องสงสัยจะถูกคุมขังภายใต้กฎอัยการศึกเป็นเวลาเจ็ดวันก่อน และจากนั้น ก็ถูกคุมขังภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลาอีก 30 วัน ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้แถลงว่า จนถึงเดือนกันยายน 2558 มีบุคคลถูกจับกุมตามหมายศาลภายใต้พระราชกำหนดฯ ดังกล่าวจำนวน 79 คน   รัฐบาลไม่ได้ใช้ศาลทหารในการพิจารณาคดีต่อจำเลยพลเรือนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ทหารเด็ก: มีระเบียบห้ามเกณฑ์เยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้ารับราชการเป็นอาสาป้องกันชาติ และในทางปฏิบัติแล้ว อาสาสมัครส่วนใหญ่เข้ารับราชการเมื่ออายุ 21 ปี หรือสูงกว่า 21 ปี มูลนิธิผสานวัฒนธรรมรายงานว่าพบเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีทำงานร่วมกับบิดาหรือญาติ ณ จุดตรวจป้องกันหมู่บ้าน ล่าสุดเมื่อปี พ.ศ. 2558 มีรายงานว่า กลุ่มแบ่งแยกดินแดนเกณฑ์เยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีให้ปฏิบัติงานลอบวางเพลิงหรือทำงานสอดแนม

กรุณาอ่าน รายงานว่าด้วยการค้ามนุษย์ ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกอบด้วยที่ www.state.gov/j/tip/rls/tiprpt/

การกระทำมิชอบอื่นๆ ที่เนื่องมาจากความขัดแย้ง: หลังจากการก่อความรุนแรงต่อเป้าหมายที่เป็นพลเรือนมีจำนวนลดลงในหลายปีที่ผ่านมา กลุ่มสิทธิมนุษยชนพบว่า มีการก่อความรุนแรงที่มีผลกระทบต่อพลเรือน เมื่อวันที่ 13 มีนาคม กลุ่มชายติดอาวุธประมาณ 50 คนซึ่งทางการเชื่อว่าเป็นผู้ก่อการแบ่งแยกดินแดนยึดอาคารในโรงพยาบาลที่นราธิวาสและยิงต่อสู้กับฐานปฏิบัติการของทหารพรานที่อยู่ติดกับโรงพยาบาล ในการนี้ มีทหารพรานได้รับบาดเจ็บเจ็ดนาย แต่ไม่มีรายงานว่าผู้ป่วยหรือเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลได้รับบาดเจ็บ ส่วนอาคารได้รับความเสียหายมาก เมื่อวันที่ 11-12 สิงหาคม เกิดระเบิดและลอบวางเพลิงในหลายจุดตามสถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดอื่นที่ไม่ได้อยู่ในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังผลให้มีผู้เสียชีวิตสี่คน บาดเจ็บอย่างน้อย 20 คน เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม คนร้ายจุดชนวนระเบิดที่ลอบวางไว้ในรถพยาบาลที่ถูกขโมยไปหน้าโรงแรมในปัตตานี ยังผลให้มีผู้เสียชีวิตหนึ่งคน และบาดเจ็บ 29 คน โดยส่วนใหญ่เป็นพลเรือน

กระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า เมื่อเดือนสิงหาคม ผู้ก่อความไม่สงบโจมตีสถานพยาบาลสาธารณสุขเพียงหนึ่งแห่ง และไม่มีผู้บาดเจ็บเสียชีวิต   ข้อมูลกระทรวงศึกษาธิการระบุว่า จนถึงเดือนสิงหาคม ไม่มีนักเรียน ครูหรือเจ้าหน้าที่ด้านการศึกษาถูกสังหาร แม้สื่อจะรายงานว่า จนถึงเดือนกันยายน มีผู้ก่อความไม่สงบสังหารครูหนึ่งคนและนักเรียนหนึ่งคน   รัฐบาลมักให้อาวุธแก่พลเรือนชาวไทยพุทธและพลเรือนชาวมุสลิมเชื้อสายมาเลย์พร้อมทั้งเพิ่มกำลังป้องกันโรงเรียนและวัดพุทธ ตลอดจนจัดให้ทหารคุ้มครองพระสงฆ์และครู

หมวดที่ 2 การเคารพสิทธิเสรีภาพของพลเมือง อันประกอบด้วย

ก. เสรีภาพในการพูดและเสรีภาพของสื่อมวลชน

คำสั่งของ คสช. ที่จำกัดเสรีภาพในการพูดและเสรีภาพของสื่อมวลชนซึ่งครอบคลุมกว้างขวางหลังรัฐประหารเมื่อปี 2557 ยังมีผลบังคับใช้อยู่เมื่อถึงสิ้นปี เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจตามคำสั่งนี้ปิดช่องทางสื่อ ปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ทางอินเทอร์เน็ต และออกหมายเรียกให้ผู้ปฏิบัติงานด้านสื่อมารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่เพื่อสอบสวนและ “ปรับทัศนคติ” นอกจากข้อจำกัดอย่างเป็นทางการเรื่องการพูดและการตรวจพิจารณาสื่อก่อนเผยแพร่ การกระทำของคสช. ยังส่งผลให้ประชาชนและสื่อเพิ่มการตรวจพิจารณาเนื้อหาของตนเองก่อนเผยแพร่ คสช.ห้ามนักการเมือง นักวิเคราะห์การเมือง และบุคคลอื่นๆ ให้สัมภาษณ์หรือแสดงความคิดเห็นแก่สื่อ อีกทั้ง ปิดกั้นการเผยแพร่ข้อมูลที่อาจเป็นการคุกคาม คสช. หรือ “ก่อให้เกิดความขัดแย้ง” ภายในประเทศ โดยเฉพาะก่อนการลงประชามติเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม

เสรีภาพในการพูดและการแสดงความคิดเห็น: คสช. จำกัดขอบเขตเสรีภาพในการพูดและการแสดงความคิดเห็นโดยใช้กฎข้อบังคับและบทบัญญัติทางอาญาหลากหลายรูปแบบ กฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญซึ่งมีผลบังคับใช้ก่อนวันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่มีขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคม กำหนดว่าการจัดรณรงค์ที่เกี่ยวข้องกับการลงประชามติเป็นความผิดทางอาญา และคสช.ใช้กฎหมายดังกล่าวเพื่อระงับการแสดงออกทางการเมืองที่ต่อต้านร่างรัฐธรรมนูญแทบจะเป็นการโดยเฉพาะ (ดู หมวดที่ 3) แต่อนุญาตให้มีการพูดสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งรวมถึงการแสดงความคิดเห็นโดยผู้ดำรงตำแหน่งอาวุโสใน คสช.

คสช. ใช้กฎหมายอาญาว่าด้วยการปลุกระดมมวลชนจำกัดการพูดที่เกี่ยวข้องกับการเมือง ในเดือนเมษายน ทหารตั้งข้อหานักเคลื่อนไหวทางการเมืองแปดคนในข้อหายุยงปลุกปั่นจากการโพสต์ข้อความลงในเพจล้อเลียนการเมืองบนเฟซบุ๊กชื่อ “เรารักพล.อ.ประยุทธ์”

มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา หรือที่เรียกกันว่ากฎหมายว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกำหนดว่าการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ถือเป็นความผิดทางอาญา โดยกำหนดโทษจำคุกสูงสุด15 ปีต่อหนึ่งกระทง รัฐบาลใช้กฎหมายนี้มากขึ้นเพื่อดำเนินคดีกับใครก็ตามที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์หรือราชวงศ์ด้วยวิธีใดก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในวันที่ 13 ตุลาคม และการเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรในวันที่ 10 ธันวาคม กฎหมายยังอนุญาตให้พลเมืองร้องเรียนเมื่อพบเห็นผู้อื่นละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้ ซึ่งก็มีผู้ร้องเรียนเข้ามาจำนวนมาก รัฐบาลดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในชั้นศาลโดยไม่เปิดเผยและดำเนินการเช่นนี้อยู่เป็นประจำ และห้ามการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับข้อกล่าวหาสู่สาธารณชน บ่อยครั้งรัฐบาลนำคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพขึ้นพิจารณาในศาลทหารซึ่งให้สิทธิและความคุ้มครองน้อยกว่าแก่จำเลยที่เป็นพลเรือน ทั้งนี้ มีการออกประกาศคำสั่งเมื่อวันที่ 12 กันยายนให้ยกเลิกการนำคดีละเมิดกฎหมายมาตรา 112 ขึ้นศาลทหารหากการกระทำผิดเกิดขึ้นหลังจากวันที่คำสั่งมีผลบังคับใช้ (ดู หมวดที่ 1.จ.) องค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งต่างประเทศและในประเทศรวมทั้งนักวิชาการแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของกฎหมายว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

สถิติอย่างเป็นทางการมีความแตกต่างกันในระหว่างหน่วยงาน อย่างไรก็ตาม จำนวนการดำเนินคดีผู้กระทำผิดข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังเหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2557 จากข้อมูลขององค์กรนอกภาครัฐท้องถิ่นชื่อว่าโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน พบว่าจำนวนคดีใหม่เกี่ยวกับการกระทำผิดข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่มีการยื่นฟ้องร้องนับตั้งแต่รัฐประหาร พ.ศ. 2557 มีทั้งหมด 68 คดี ณ เดือนกันยายนที่ผ่านมา ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยอมรับว่ามีการสืบสวนสอบสวนคดีเพิ่มขึ้นหลายสิบคดีหลังจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดชในวันที่ 13 ตุลาคม ในจำนวนนี้ มีบางคดีที่จำเลยได้กระทำความผิดที่ถูกกล่าวอ้างก่อนเหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2557 แต่ทางการไม่ได้ดำเนินคดี จนกระทั่งหลังรัฐประหาร ข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์ระบุว่า รัฐบาลคุมขังผู้ละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ 103 ราย ณ ข้อมูลวันที่ 31 มีนาคม (รวมจำนวนผู้ต้องโทษในความผิดฐานทุจริตภายใต้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จากการแอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ)

เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม อัยการศาลทหารดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกับนายฐนกร ศิริไพบูลย์ จาก การกด “ถูกใจ” ข้อความในเฟสบุ๊กที่ถือเป็นการวิพากษ์วิจารณ์พระมหากษัตริย์ และจากการเขียนเสียดสีสุนัขทรงเลี้ยงลงบนเฟสบุ๊ก

รัฐบาลใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเพื่อตรวจสอบหรือปิดกั้นสื่อสิ่งพิมพ์ เมื่อวันที่ 8 เมษายน เจ้าหน้าที่รัฐห้ามการนำเข้านิตยสาร มารี แคลร์ ฉบับภาษาฝรั่งเศสเพื่อเผยแพร่ในประเทศหลังจากที่นิตยสารดังกล่าวตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับราชวงศ์ ดังรายละเอียดที่ปรากฏในประกาศของทางการ

เสรีภาพของสื่อมวลชน: รัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2559 กำหนดให้เจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนอื่นต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย หน่วยงานของรัฐเป็นเจ้าของและเป็นผู้ควบคุมสถานีวิทยุและโทรทัศน์ส่วนใหญ่ ซึ่งได้แก่สถานีวิทยุเอเอ็มและเอฟเอ็มที่ขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการรวม 524 สถานี กองทัพและตำรวจถือกรรมสิทธิ์ในสถานีวิทยุที่เหลืออีก 244 สถานี ซึ่งเหมือนมีวัตถุประสงค์เพื่อความมั่นคงของประเทศ ส่วนหน่วยงานรัฐอื่น ๆ ที่เป็นเจ้าของสื่อกระจายเสียงของรัฐได้แก่ กรมประชาสัมพันธ์ และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทยซึ่งเคยเป็นรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่หน่วยงานรัฐปล่อยเช่าสถานีวิทยุและโทรทัศน์เกือบทุกแห่งให้แก่บริษัทเอกชนที่จัดทำรายการที่มีเนื้อหาเชิงพาณิชย์ให้กับสถานี

กฎหมายกำหนดกฎระเบียบว่าด้วยคลื่นวิทยุและโทรทัศน์ และแบ่งใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ที่ใช้คลื่นความถี่ออกเป็นสามประเภท (ใบอนุญาตประกอบกิจการเพื่อบริการสาธารณะ ใบอนุญาตประกอบกิจการเพื่อบริการชุมชน และใบอนุญาตประกอบกิจการเพื่อการพาณิชย์ทางธุรกิจ) คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่และกำกับดูแลสื่อกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ สถานีวิทยุกระจายเสียงต้องต่อใบอนุญาตทุกเจ็ดปี  กฎหมายกำหนดให้สถานีวิทยุทุกแห่งต้องถ่ายทอดรายการข่าวที่รัฐบาลผลิตวันละสองครั้ง ช่วงละ 30 นาที และจะต้องขึ้นทะเบียนกับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สถานีวิทยุชุมชนหลายพันแห่งทั่วประเทศดำเนินงานภายใต้ระบบอนุญาตประกอบกิจการที่ต่างออกไปซึ่งกำหนดให้สถานีเหล่านี้ต้องต่ออายุใบอนุญาตทุกปี

ความรุนแรงและการคุกคาม: เจ้าหน้าที่อาวุโสของรัฐบาลกล่าววิพากษ์วิจารณ์สื่อมวลชนอยู่เป็นประจำ ผู้ประกอบการทางด้านสื่อมีการร้องเรียนเกี่ยวกับการถูกคุกคามและเฝ้าสังเกตการณ์

เมื่อวันที่ 14 มีนาคม นายทหารนอกเครื่องแบบเฝ้าสังเกตการณ์และบันทึกภาพเคลื่อนไหวงานที่จัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการกระทำที่นายโจนาธาน เฮด ประธานสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ แห่งประเทศไทยร้องเรียนต่อรัฐบาลว่าเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ในการตอบข้อร้องเรียนของสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ โฆษกคสช.แถลงว่า การเฝ้าสังเกตการณ์เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายและเป็นไปเพื่อตรวจสอบว่ากิจกรรมที่ทางสมาคมดำเนินไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวใดทางการเมือง

เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม นายเปรมศักดิ์ เพียยุระ นายกเทศมนตรีและอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถูกกล่าวอ้างว่าสั่งให้เจ้าหน้าที่ใต้บังคับบัญชาร่วมกันถอดกางเกงผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์รายหนึ่งต่อหน้าผู้สื่อข่าวอื่นหลังจากที่ผู้สื่อข่าวคนดังกล่าวถามคำถามเกี่ยวกับข้อความบนเฟสบุ๊กที่กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กัน เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดการวิจารณ์ในวงกว้างจากสื่อมวลชนว่าเป็นตัวอย่างของการไม่ให้เกียรติและคุกคามนักข่าวที่กระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจตามมาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวระงับการปฏิบัติหน้าที่ของนายกเทศมนตรีรายนี้เป็นการชั่วคราวโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนในระหว่างที่มีการสอบสวนกรณีดังกล่าวอย่างเป็นทางการ

การตรวจพิจารณาสิ่งพิมพ์ก่อนเผยแพร่ หรือการจำกัดเนื้อหา: คสช. ระงับเนื้อหาที่พิจารณาว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์หรือมีลักษณะคุกคามต่อคสช. อีกทั้งสื่อจำนวนมากยังตรวจสอบข้อความของตนก่อนนำเสนอ คำสั่งคสช.ยังคงมีผลห้ามการวิพากษ์วิจารณ์ทหารในทุกกรณี และไม่ให้สื่อสิ่งพิมพ์ ตลอดจนโทรทัศน์ วิทยุ โทรทัศน์ผ่านสายเคเบิล และผู้ดูแลสื่อออนไลน์ ตีพิมพ์หรือออกอากาศข้อมูลใดก็ตามที่วิจารณ์การกระทำของทหาร หรือบทวิพากษ์วิจารณ์ที่มีแนวโน้มก่อให้เกิดความเข้าใจผิดแก่ประชาชน มีเจตนามุ่งร้ายและข้อมูลอันเป็นเท็จเพื่อหวังทำลายความน่าเชื่อถือของคสช. ทางการติดตามเฝ้าสังเกตเนื้อหาจากแหล่งสื่อทุกแหล่ง รวมถึงสื่อต่างประเทศ

สื่อหลายช่องทางรายงานความวิตกกังวลเรื่องคำสั่งของคสช.ที่ให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่รัฐในการจำกัดเสรีภาพของสื่อและระงับการดำเนินงานของสื่อเป็นการชั่วคราวได้โดยไม่ต้องขอหมายศาล เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการณ์ร่วมเสนอข้อเรียกร้องให้คสช.ยกเลิกกฎหมายใดก็ตามที่จำกัดหรือละเมิดเสรีภาพของสื่อ รวมถึงคำสั่งคสช.ฉบับที่ 97/2557 คำสั่งคสช.ฉบับที่ 103/2557 และ คำสั่งคสช.ฉบับที่ 3/2558

ในขณะที่สื่อต่างประเทศดำเนินการได้อย่างค่อนข้างเสรี กระนั้นก็ตาม ในเดือนกุมภาพันธ์ กระทรวงการต่างประเทศได้ประกาศแนวทางการพิจารณาการตรวจลงตราให้แก่ผู้สื่อข่าวและเจ้าหน้าที่สื่อมวลชนต่างชาติฉบับปรับปรุงใหม่ ผู้สื่อข่าวต่างชาติเกรงว่าแนวทางการพิจารณาฉบับใหม่ให้อำนาจดุลยพินิจในการปฏิเสธการตรวจลงตราให้แก่ผู้สื่อข่าวโดยพิจารณาจากเนื้อหาข่าวที่รายงาน จากข้อมูลของสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ แห่งประเทศไทย เจ้าหน้าที่รัฐได้ปฏิเสธการตรวจลงตราให้แก่ผู้สื่อข่าวอย่างน้อยห้ารายนับตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2557 เป็นต้นมา

เมื่อวันที่ 13 กันยายน องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนหลายแห่งยื่นหนังสือถึงสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปแห่งประเทศไทยเพื่อร้องขอให้ทบทวนข้อเสนอของรัฐบาลที่จะจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลที่เรียกว่า สภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชน

พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินซึ่งยังคงประกาศใช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้อันเป็นพื้นที่ที่มีความขัดแย้งอยู่นั้นให้อำนาจรัฐบาลในการ “ห้ามการพิมพ์และเผยแพร่ข่าวและข้อมูลที่อาจทำให้ประชาชนตื่นตระหนกหรือมีเจตนาบิดเบือนข้อมูล” นอกจากนี้ พระราชกำหนดฯ ดังกล่าวยังให้อำนาจแก่รัฐบาลในการตรวจสอบข่าวที่พิจารณาว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศ

กฎหมายว่าด้วยการหมิ่นประมาท: ความผิดฐานหมิ่นประมาทเป็นความผิดทางอาญา มีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท (5,600 เหรียญสหรัฐ) และจำคุกไม่เกินสองปี บุคคลในแวดวงทหารและนักธุรกิจฟ้องร้องนักเคลื่อนไหวทางการเมืองและสิ่งแวดล้อม นักข่าว และนักการเมืองฐานหมิ่นประมาททางอาญาและโฆษณาหมิ่นประมาท

มีคดีหมิ่นประมาททางอาญาที่เป็นที่สนใจหลายคดี ซึ่งดำเนินต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน เมื่อเดือนพฤษภาคม เจ้าหน้าที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ซึ่งเป็นหน่วยงานทางทหารแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ร่างรายงานด้านสิทธิมนุษยชนสามราย โดยรายงานพาดพิงกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่ามีการทำทารุณกรรมโดยเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงของรัฐในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กลุ่มสิทธิมนุษยชนระดับชาติและระหว่างประเทศหลายกลุ่มประณามการตั้งข้อหาต่อนางสาวพรเพ็ญ               คงขจรเกียรติ นางสาวอัญชนา หีมมีหน๊ะ และนายสมชาย หอมลออ ว่าเป็นภัยคุกคามอย่างจริงจังต่อการเฝ้าสังเกตการณ์และการรายงานด้านสิทธิมนุษยชนทั้งปวงในประเทศไทย

ในเดือนกรกฎาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจในจังหวัดนราธิวาสดำเนินคดีกับนางสาวนริศราวัลถ์ แก้วนพรัตน์ ซึ่งเป็นหลานสาวของพลทหารนายหนึ่งซึ่งถูกทำให้เสียชีวิตโดยนายทหารอื่นเมื่อปี พ.ศ. 2554 ในฐานหมิ่นประมาททางอาญาและความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากข้อความของเธอที่เรียกร้องให้มีการดำเนินคดีกับนายทหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของน้าชาย จากการสืบสวนข้อเท็จจริงภายในของกองทัพบก พบว่า นายทหารชั้นผู้น้อยหนึ่งนายและพลทหารอีกหลายนายทำร้ายร่างกายน้าชายของนางสาวนริศราวัลถ์จนถึงแก่ความตาย แต่ไม่มีผู้ใดถูกดำเนินคดีทางอาญา

อีกกรณีหนึ่งคือ เมื่อวันที่ 20 กันยายน ศาลอาญาได้พิพากษาว่า นายอานดี้ ฮอลล์ สัญชาติอังกฤษมีความผิดในฐานหมิ่นประมาททางอาญาและความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์จากรายงานฟินน์วอทช์ซึ่งปรากฏข้อมูลที่เขาถ่ายทอดในปี พ.ศ. 2556 ข้อมูลนั้นกล่าวหาบริษัทท้องถิ่นที่ประกอบธุรกิจผลิตอาหารแห่งหนึ่งชื่อว่า เนเชอรัล ฟรุต ว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนและแรงงานที่โรงงานในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รายงานอ้างว่า บริษัทดังกล่าวจ่ายค่าแรงในอัตราที่ต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำและให้พนักงานทำงานในสภาพการทำงานที่อันตราย และทำงานเป็นเวลานาน บริษัทเนเชอรัล ฟรุตจึงยื่นฟ้องนายอานดี้ ฮอลล์ในคดีหมิ่นประมาททางอาญาเมื่อปี พ.ศ. 2557 ศาลพิพากษาตัดสินให้นายอานดี้ ฮอลล์จำคุกสามปีและเสียค่าปรับจำนวนหนึ่ง โดยโทษจำคุกนั้นให้รอลงอาญา

ความมั่นคงของชาติ: มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ซึ่งต่อมามีการแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2559 ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐจำกัดการเผยแพร่เนื้อหาที่พิจารณาว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ สมาคมสื่อต่าง ๆ แสดงความกังวลเกี่ยวกับอำนาจเบ็ดเสร็จนี้ ซึ่งพวกเขามองว่าขาดเกณฑ์กำหนดที่ชัดเจนในการตัดสินว่าสิ่งใดเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ

เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม กสทช.ระงับออกอากาศรายการ Wake Up News ของวอยซ์ทีวีเป็นระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ เนื่องจากออกอากาศการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองซึ่งพิจารณาว่าขัดต่อคำสั่งของคสช. หลังจากที่มีการประกาศระงับออกอากาศรายการเป็นการชั่วคราว ผู้บริหารของวอยซ์ทีวีแถลงว่า ทางช่องสมัครใจที่จะ “ปรับลดและลดท่าทีการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง” เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษอีก

เสรีภาพทางอินเทอร์เน็ต

รัฐบาลยังคงจำกัดและขัดขวางการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ตลอดจนตรวจสอบเนื้อหาบนอินเทอร์เน็ต มีรายงานว่า รัฐบาลเฝ้าสังเกตการณ์การสื่อสารออนไลน์ส่วนบุคคลโดยไม่ได้มีอำนาจตามกฎหมายที่เหมาะสม

กฎหมายกำหนดขั้นตอนการเข้าค้นและยึดคอมพิวเตอร์และข้อมูลคอมพิวเตอร์ในการสืบสวนคดีอาชญากรรมบางประเภท และให้อำนาจแก่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการร้องขอและบังคับให้ระงับการเผยแพร่ข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ ทางการอาจลงโทษจำคุกสูงสุดห้าปีและปรับไม่เกิน 100,000 บาท (2,800 เหรียญสหรัฐ) ต่อผู้กระทำผิดฐานลงข้อมูลเท็จทางอินเทอร์เน็ตที่เป็นการคุกคามความปลอดภัยของประชาชน ก่อให้เกิดความระส่ำระสายในหมู่ประชาชน หรือทำให้บุคคลอื่นได้รับความเดือดร้อน ซึ่งอิงจากคำนิยามที่คลุมเครือ ทางการอาจกำหนดโทษสูงสุด 20 ปีและปรับ 300,000 บาท (8,400 เหรียญสหรัฐ) หากการกระทำความผิดนั้นเป็นผลให้เกิดการเสียชีวิตของบุคคล กฎหมายฉบับนี้ยังกำหนดให้ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเก็บข้อมูลผู้ใช้ทุกคนเป็นเวลา 90 วันในกรณีที่เจ้าหน้าที่ทางการต้องการข้อมูลเหล่านั้น นอกจากนี้ หากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตรายใดเห็นชอบให้มีหรือจงใจสนับสนุนการตีพิมพ์ข้อความผิดกฎหมายก็จะถูกลงโทษด้วย การฟ้องร้องดำเนินคดีส่วนใหญ่มาจากความผิดเกี่ยวกับเนื้อหา กฎหมายกำหนดให้ทางการต้องขอคำสั่งศาลในการปิดกั้นเว็บไซต์ แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบนี้เสมอไป นักเคลื่อนไหวด้านสื่อวิจารณ์กฎหมายฉบับนี้โดยกล่าวว่า คำจำกัดความของการกระทำผิดที่ระบุไว้ครอบคลุมกว้างขวางเกินไปและบทลงโทษบางบทก็รุนแรงเกินไป

บุคคลและกลุ่มบุคคลสามารถแสดงความคิดเห็นโดยสันติทางอินเทอร์เน็ต อย่างไรก็ตาม ยังคงมีข้อจำกัดด้านเนื้อหาหลายประการ รวมถึง การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ภาพลามกอนาจาร การพนัน และการวิพากษ์วิจารณ์ คสช.

รัฐบาลสอดส่องอย่างใกล้ชิดและสั่งปิดกั้นการเข้าเว็บไซต์หลายพันแห่งที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ การดำเนินคดีที่สำเร็จลุล่วงกับนักข่าว นักเคลื่อนไหวทางการเมือง และผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในฐานหมิ่นประมาททางอาญาจากการลงข้อความออนไลน์นั้นสร้างบรรยากาศของการตรวจสอบตัวเองมากยิ่งขึ้น เว็บบอร์ดและวงเสวนาทางการเมืองในอินเทอร์เน็ตจำนวนมากคอยสอดส่องการเสวนาอย่างใกล้ชิดเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกสั่งปิดกั้น นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ระงับหรือจำกัดการเข้าถึงพื้นที่แสดงความคิดเห็นจากประชาชนเพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการถูกฟ้องข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือหมิ่นประมาท ทางการยังชักจูงผู้ให้บริการทางอินเทอร์เน็ตและเนื้อหาที่เป็นต่างชาติลบหรือตรวจสอบเนื้อหาที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เผยแพร่ในประเทศ ผู้ให้ข้อมูลทางด้านสิทธิมนุษยชนรายงานว่า บางครั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจขอให้นักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ถูกกักตัวอยู่เปิดเผยรหัสผ่านที่ใช้เข้าบัญชีส่วนตัวในสื่อสังคมออนไลน์

หลังจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในวันที่ 13 ตุลาคม กสทช.และหน่วยงานอื่นของรัฐมักปิดกั้นเนื้อหาที่เผยแพร่ทางออนไลน์และออกอากาศที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์อยู่เป็นประจำ นอกจากนี้ กสทช.ยังเผยแพร่วิธีปฏิบัติที่กระตุ้นให้พลเมืองแจ้งและรายงานเมื่อพบเนื้อหาออนไลน์ที่ปรากฏว่าละเมิดกฎหมายว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วย

กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานว่า ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกันยายนได้รับเรื่องร้องเรียน 3,638 เรื่อง เทียบกับจำนวนเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ 2,083 เรื่องในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2557 ซึ่งนำไปสู่การฟ้องร้อง 65 คดี คดีส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการกล่าวหาหมิ่นประมาท หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และกิจกรรมผิดกฎหมาย เช่น การพนันและภาพลามกอนาจาร

ประชาชนสามารถเข้าถึงและมีการใช้อินเทอร์เน็ตอย่างกว้างขวางในเขตเมือง ซึ่งรวมถึงโครงการของรัฐบาลที่ให้บริการอินเทอร์เน็ตสาธารณะไร้สายความเร็วสูง (WiFi) ที่จำกัดการเข้าถึงและไม่เสียค่าใช้จ่ายตามจุดพร้อมโยง (hotspot) 300,000 แห่งในเมืองและโรงเรียน นอกจากนี้ รัฐบาลได้ริเริ่มโครงการขยายการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไปยังพื้นที่ชนบททั่วประเทศ กลุ่มเฝ้าระวังระหว่างประเทศประมาณการว่า พลเมือง 29 ล้านคน (ร้อยละ 43 ของประชากรทั้งหมด) สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในช่วงปีที่ผ่านมา

ในเดือนธันวาคม สภานิติบัญญัติแห่งชาติที่แต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีมติเอกฉันท์เห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ซึ่งขยายอำนาจรัฐอย่างมีนัยสำคัญในการควบคุมและระงับเนื้อหาออนไลน์ และเพิ่มมาตรการการลงโทษทางอาญาต่อบุคคลและผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตที่เกี่ยวพันกับข้อมูลอันเป็นเท็จหรือถูกบิดเบือนที่เผยแพร่ออนไลน์

เสรีภาพทางวิชาการและการแสดงทางวัฒนธรรม

คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าแทรกแซงเพื่อขัดขวางการเสวนาวิชาการในมหาวิทยาลัย ข่มขู่นักวิชาการ และจับกุมแกนนำเยาวชนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร มหาวิทยาลัยต่างก็ตรวจสอบข้อความของตนก่อนนำเสนอ

ช่วงก่อนวันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่มีขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคม มหาวิทยาลัยอย่างน้อยสามแห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี งดการจัดเสวนาทั่วไปเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญในบริเวณมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีนโยบายดังกล่าวจากทางมหาวิทยาลัย ก็มีนักศึกษาในมหาวิทยาลัยขอนแก่นจัดเสวนาทั่วไปเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญในบริเวณมหาวิทยาลัย มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยตัดน้ำและไฟฟ้า และย้ายเก้าอี้ทั้งหมดออกไปจากอาคารที่จะใช้จัดงานเพื่อพยายามหยุดการจัดเสวนาดังกล่าว หลังจากเหตุการณ์นั้น เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยกล่าวหาว่านักศึกษาที่เข้าร่วมงานบุกรุกสถานที่

มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่คณะกรรมการการเลือกตั้งส่งหนังสือถึงเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยมหิดลเพื่อร้องเรียนว่าบุคลากรที่มีชื่อเสียงรายหนึ่งของมหาวิทยาลัยแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ ที่มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี คณบดีคณะรัฐศาสตร์ยกเลิกงานเสวนาประชามติร่างรัฐธรรมนูญจากแรงกดดันจากทั้งทางมหาวิทยาลัยและเจ้าหน้าที่จังหวัด

เมื่อเดือนเมษายน เจ้าหน้าที่ทหารให้ยกเลิกการจัดเสวนาที่มีกำหนดไว้แล้วเรื่องร่างรัฐธรรมนูญที่จะจัดโดย Book Republic ซึ่งเป็นร้านหนังสืออิสระในจังหวัดเชียงใหม่ โดยร้านแห่งนี้มักจัดเสวนาในหัวข้อร่วมสมัยหลากหลายเรื่องอยู่เป็นประจำ วันที่ 5 ตุลาคม เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองกักตัวนายโจชัว หว่อง ซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยชาวฮ่องกง และส่งตัวกลับประเทศ เขาเดินทางมาที่กรุงเทพมหานครเพื่อเข้าร่วมงานปาฐกถาที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเนื่องในโอกาสรำลึกถึงเหตุการณ์สังหารหมู่นักศึกษาวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ซึ่งเกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

มหาวิทยาลัยรายงานว่า มีทหารเข้ามาในมหาวิทยาลัยอยู่เป็นประจำเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์การบรรยายและร่วมกิจกรรมของนิสิตนักศึกษา มีหลายกรณีที่เจ้าหน้าที่ทางการจับกุมนิสิตนักศึกษาจากการใช้เสรีภาพในการพูดและแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะช่วงก่อนวันลงประชามติวันที่ 7 สิงหาคม

รัฐบาลทหารยังคงดำเนินการปรับปรุงหนังสือเรียนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา และเพิ่มการสอนหัวข้อเกี่ยวกับความรักชาติให้มากขึ้น รัฐบาลทหารยังกำหนดให้บรรจุหลักสูตรหน้าที่พลเมืองที่เน้นค่านิยมหลักของ ”คนไทย” 12 ประการของพลเอกประยุทธ์อีกด้วย

เจ้าหน้าที่ทางการยังคงมีความอ่อนไหวต่อเนื้อหาของภาพยนตร์และศิลปะการแสดง เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่จัดขึ้นที่ประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2559 ได้ถอนภาพยนตร์ออกสี่เรื่องด้วยเกรงว่าจะแสดงภาพลักษณ์ของประเทศในทางลบ เนื่องจากเป็นเรื่องที่อ่อนไหว

ข. เสรีภาพในการชุมนุมกันอย่างสงบและการจัดตั้งสมาคม

เสรีภาพในการชุมนุม

รัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2559 รองรับเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ ซึ่งต้องเป็นไปตามข้อจำกัดของบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่บังคับใช้เพื่อ “คุ้มครองประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น”

อาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ผู้นำรัฐประหารห้ามไม่ให้มีการชุมนุมทางการเมืองของบุคคลตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปและกำหนดบทลงโทษผู้ที่สนับสนุนการชุมนุมทางการเมืองใด ๆ ก็ตาม กลุ่มสิทธิมนุษยชนโต้แย้งว่า ข้อห้ามดังกล่าวละเมิดพันธกรณีของไทยภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights) พ.ร.บ.ว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 ประมวลข้อจำกัดว่าด้วยเรื่องเสรีภาพในการชุมนุม และมีบทบัญญัติข้อหนึ่งที่กำหนดให้ผู้ประท้วงแจ้งขออนุญาตต่อตำรวจก่อนการชุมนุมอย่างน้อย 24 ชั่วโมง กฎหมายห้ามไม่ให้จัดการชุมนุมใด ๆ ภายในระยะ 500 ฟุตจากทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา พระราชวัง และศาล นอกจากนี้ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีผลบังคับใช้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมเช่นกัน

ตำรวจควบคุมตัวพลเมืองที่รวมตัวชุมนุมกันขัดคำสั่งของรัฐบาล จากข้อมูลขององค์กรตรวจสอบของภาครัฐแห่งหนึ่ง พบว่าก่อนวันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่มีขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคม เจ้าหน้าที่ทางการจับกุมและตั้งข้อหาต่อบุคคลมากกว่า 150 รายทั่วประเทศจากการฝ่าฝืนข้อห้ามว่าด้วยการชุมนุมทางการเมืองของบุคคลตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป คสช.ห้ามการรวมตัวกันทางการเมืองที่ต่อต้านเหตุการณ์รัฐประหารหรือคสช. แต่ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ทางการอนุญาตให้มีการชุมนุมที่เป็นการสนับสนุนการรัฐประหารและสนับสนุนทหารที่เกิดขึ้นเป็นบางคราว เมื่อเดือนสิงหาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมชาย 19 รายจากการฝ่าฝืนข้อห้ามที่ไม่ให้มีการชุมนุมทางการเมือง หลังจากที่คนกลุ่มนี้จัดตั้งศูนย์เฝ้าสังเกตการณ์การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 7 สิงหาคม เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม อัยการสูงสุดได้มีคำสั่งส่งฟ้องบุคคลทั้ง 19 รายจากการฝ่าฝืนคำสั่งของรัฐบาล ซึ่งศาลรับคำฟ้องไว้ วันที่ 21กันยายน เจ้าหน้าที่ปกครองท้องถิ่นในจังหวัดปัตตานีเข้าแทรกแซงและห้ามประชาชนราว 500 คนรวมตัวกันเพื่อจัดกิจกรรมรำลึกวันสันติภาพสากล

จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดภูเก็ต และจังหวัดพังงา ออกบทบัญญัติของตนเองว่าด้วยการห้ามแรงงานต่างด้าวโดยเฉพาะผู้ที่มาจากประเทศกัมพูชา ประเทศพม่า และประเทศลาว ทำการชุมนุม ในขณะที่จังหวัดสมุทรสาครห้ามการชุมนุมของแรงงานอพยพเกินกว่าห้าคนขึ้นไป อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้มีการบังคับใช้บทบัญญัติเหล่านี้อย่างเข้มงวดโดยเฉพาะหากการชุมนุมจัดขึ้นในสถานที่ส่วนบุคคล นายจ้างและองค์การนอกภาครัฐอาจขออนุญาตจากทางการให้แรงงานต่างด้าวจัดงานชุมนุมทางวัฒนธรรมได้

เสรีภาพในการจัดตั้งสมาคม

รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวไม่ได้ระบุให้เสรีภาพในการจัดตั้งสมาคมไว้อย่างชัดแจ้ง รัฐธรรมนูญฉบับปี 2559 ให้บุคคลมีสิทธิในการจัดตั้งสมาคมโดยมีข้อจำกัดบางประการเพื่อ “ปกป้องประโยชน์ ความเป็นระเบียบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีงามของส่วนรวม”

กฎหมายห้ามการจดทะเบียนพรรคการเมืองในชื่อเดียวกันหรือใช้สัญลักษณ์เดียวกันกับพรรคการเมืองที่ถูกยุบตามกฎหมาย

ค. เสรีภาพในการนับถือศาสนา

เชิญอ่านรายงานว่าด้วยเสรีภาพในการนับถือศาสนาของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ที่เว็บไซต์ www.state.gov/religiousfreedomreport/

ง. เสรีภาพในการเดินทาง บุคคลพลัดถิ่นภายในประเทศ การคุ้มครองผู้ลี้ภัย และบุคคลไร้สัญชาติ

รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวและรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2559 ให้เสรีภาพประชาชนในการเดินทางภายในประเทศ การเดินทางไปต่างประเทศ การโยกย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศ และการเดินทางกลับประเทศ โดยทั่วไป รัฐบาลเคารพในสิทธิดังกล่าว แต่ก็มีข้อยกเว้นบางกรณีเพื่อ “รักษาความมั่นคงของประเทศ ความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน การวางผังเมืองและการวางผังประเทศ หรือสวัสดิภาพของเยาวชน”

หลังเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อ พ.ศ. 2557 คสช.ออกคำสั่งห้ามไม่ให้บุคคลประมาณ 155 คนเดินทางออกนอกประเทศ ในเดือนพฤษภาคม คสช.ยกเลิกใช้คำสั่งดังกล่าวกับบุคคลเหล่านี้ประมาณ 130 คนที่ไม่ได้ถูกตั้งข้อหาคดีอาญาและไม่มีคำสั่งศาลให้จำกัดการเดินทาง เมื่อเดือนมีนาคมก่อนมีการยกเลิกคำสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ คสช.ปฏิเสธคำร้องของนายประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าว ที่ขอเดินทางไปประเทศฟินแลนด์เพื่อร่วมงานวันเสรีภาพสื่อโลก (World Press Freedom Day)

นอกจากบุคคลที่ถูกจำกัดการเดินทางตามคำสั่งคสช.ข้างต้นแล้ว ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนประเมินว่ามีบุคคลอีก 300 คนที่เมื่อคสช.เรียกให้มารายงานตัวหลังเหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2557 ได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อเป็นเงื่อนไขการปล่อยตัว โดยยินยอมที่จะไม่เดินทางออกนอกประเทศหากไม่ได้รับอนุญาตจากคสช. ศูนย์ฯ ระบุว่า คสช.ยังไม่ได้ยกเลิกการจำกัดการเดินทางที่อยู่ในข้อตกลงเหล่านี้

โดยทั่วไป รัฐบาลให้ความร่วมมือกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ (UNHCR) องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (International Committee of the Red Cross) และองค์กรด้านมนุษยธรรมในการคุ้มครองและช่วยเหลือบุคคลพลัดถิ่นภายในประเทศ ผู้ลี้ภัย ผู้แสวงหาที่พักพิง บุคคลไร้สัญชาติและบุคคลที่น่าห่วงใยอื่นๆ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดอยู่บ้าง การดำเนินงานความร่วมมือกับสำนักงานฯ ในการคุ้มครองบุคคลบางกลุ่มยังคงเป็นไปอย่างไม่สม่ำเสมอ ซึ่งเป็นการจำกัดความสามารถของสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติในการให้ความคุ้มครองบุคคลทุกสัญชาติ

การกระทำมิชอบต่อผู้อพยพ ผู้ลี้ภัย และบุคคลไร้สัญชาติ: รายงานข่าวของสื่อมวลชน องค์การ Human Right Watch และแหล่งอื่นๆ กล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่รัฐรับสินบนและสมรู้ร่วมคิดกับผู้ลักลอบขนส่งและค้ามนุษย์ที่กักขังชาวโรฮีนจาบนเกาะและสถานที่อื่นๆ ในภาคใต้ ในปี พ.ศ. 2558 ทางการกักกันชาวโรฮีนจาและชาวบังกลาเทศประมาณ 870 คนในศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและสถานพักพิง ซึ่งคนกลุ่มนี้เดินทางเข้าประเทศไทยอย่างไม่ปกติโดยทางเรือในช่วงวิกฤตผู้อพยพทางเรือในอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามันเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2558 เมื่อถึงเดือนธันวาคม ผู้อพยพประมาณ 330 คน (ส่วนใหญ่เป็นชาวโรฮีนจา) ยังคงถูกกักขังอยู่

ทางการยังคงปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงจากประเทศพม่าที่อาศัยอยู่นอกค่ายพักพิงตามชายแดนที่กำหนดซึ่งรวมถึงชาวโรฮีนจาที่มาทางเรือประหนึ่งเป็นบุคคลเข้าเมืองผิดกฎหมาย คณะเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพดำเนินการสัมภาษณ์และระบุว่าชาวโรฮีนจาที่เข้ามาในประเทศบางคนเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ ทางการจึงส่งตัวบุคคลเหล่านี้ไปยังสถานพักพิงภายใต้การดูแลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ บุคคลที่ถูกระบุสถานภาพว่าเป็นบุคคลเข้าเมืองผิดกฎหมายจะถูกจับและกักกันตามกฎหมาย รัฐบาลทำงานร่วมกับผู้บริจาคเงินและองค์การระหว่างประเทศในการให้ความคุ้มครองและความช่วยเหลือแก่ชาวโรฮีนจาในขณะอยู่ที่ศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและสถานพักพิง ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนล่ามภาษาโรฮีนจาในศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและสถานพักพิง แม้ว่าเมื่อปี พ.ศ. 2556 จะมีการนำกระบวนการอนุญาตให้มีการประกันตัวผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงที่ถูกกักกันซึ่งเริ่มดำเนินการเมื่อปี พ.ศ. 2554 กลับมาใช้อีกครั้ง แต่ทางการกลับดำเนินการตามกระบวนการนี้อย่างไม่สม่ำเสมอ

องค์การด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศตั้งข้อกังวลว่า ศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองมีสภาพแออัด ผู้ถูกกักกันขาดโอกาสในการออกกำลังกาย และมีเสรีภาพในการเดินทางที่จำกัด ศูนย์กักกันบางแห่งที่มีชาวโรฮีนจาถูกคุมขังขาดกลไกการส่งต่อผู้ป่วยที่มีประสิทธิภาพ และไม่อนุญาตให้ผู้ถูกกักขังออกกำลังกายด้วยเกรงว่าจะหลบหนี

ทางการอนุญาตให้สตรีและเด็ก รวมถึงผู้เยาว์ที่ไม่มีผู้ปกครองดูแลซึ่งเจ้าหน้าที่ทางการรับรองว่าเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ ให้พักในสถานพักพิงที่บริหารโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  ผู้ที่อาศัยอยู่ในสถานพักพิงเหล่านั้นมักรายงานว่า มีบุคลากรไม่เพียงพอในการดำเนินการบริหารอาคารสถานที่และให้บริการทางจิตสังคมแก่ผู้พำนักอย่างพอเพียง

การเดินทางภายในประเทศ: รัฐบาลจำกัดเสรีภาพในการเดินทางภายในประเทศของชาวเขาและชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ที่ไม่มีสัญชาติไทยแต่ถือบัตรประจำตัวซึ่งรัฐบาลออกให้ ทางการห้ามผู้ถือบัตรเหล่านี้เดินทางออกนอกอำเภอที่อาศัยอยู่โดยไม่ได้รับอนุญาตล่วงหน้าจากนายอำเภอ และต้องได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดหากจะเดินทางออกนอกจังหวัด ผู้ฝ่าฝืนจะถูกปรับหรือต้องโทษจำคุก 45-60 วัน ส่วนผู้ที่ไม่มีบัตรไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเลย องค์การด้านสิทธิมนุษยชนรายงานว่า ตำรวจตามจุดตรวจในประเทศมักเรียกเงินสินบนเป็นการตอบแทนกับการอนุญาตให้บุคคลไร้สัญชาติเดินทางจากอำเภอหนึ่งไปยังอีกอำเภอหนึ่ง

การเดินทางไปต่างประเทศ: บุคคลไร้สัญชาติอื่นๆ ที่อาศัยในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน เช่น ชาวไทยใหญ่และชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ที่ไม่ใช่ชาวเขาจำนวนหลายพันคน ต้องขออนุญาตเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นหากต้องการเดินทางไปต่างประเทศ ผู้ลี้ภัยชาวพม่าที่ได้รับอนุญาตให้ไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สามแต่ไม่ได้รับการรับรองสถานะผู้ลี้ภัยจากรัฐบาลไทยเพราะอาศัยอยู่นอกค่ายผู้ลี้ภัยเก้าแห่งของรัฐบาลบางคนรอใบอนุญาตให้ออกจากประเทศ (exit permit) มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว

การคุ้มครองผู้ลี้ภัย 

การดูแลผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงของรัฐบาลยังคงมีลักษณะไม่แน่นอนสม่ำเสมอ  อย่างไรก็ดี หน่วยงานภาครัฐยังคงให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงจำนวนมาก และให้ความคุ้มครองผู้ลี้ภัยเพื่อไม่ให้ถูกผลักดันหรือถูกส่งกลับประเทศ รวมทั้งอนุญาตให้ผู้ที่หนีการสู้รบหรือเหตุการณ์ความรุนแรงอื่นๆ ในประเทศเพื่อนบ้านข้ามพรมแดนมาพักในไทยได้จนกว่าการสู้รบจะยุติ  นอกจากนี้ ผู้ลี้ภัยที่ไม่ใช่ชาวพม่าที่ได้รับการรับรองสถานภาพจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติรวมทั้งผู้ลี้ภัยชาวพม่าที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้แล้วและอาศัยอยู่ในค่ายอพยพของทางการได้รับอนุญาตให้โยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สาม

การเข้าพักค่ายพักพิง: กฎหมายไม่มีการให้สถานะผู้แสวงหาที่พักพิงและผู้ลี้ภัย ผู้แสวงหาที่พักพิงและผู้ลี้ภัยชาวพม่าที่อาศัยอยู่ภายนอกค่ายผู้ลี้ภัยของทางการถือว่าเป็นผู้เข้าเมืองผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับผู้แสวงหาที่พักพิงและผู้ลี้ภัยที่ไม่ใช่ชาวพม่าทุกคนในประเทศไทยที่ไม่มีหนังสือเดินทางและวีซ่าอย่างถูกต้อง ถ้าบุคคลเหล่านี้ถูกจับตัวได้ จะถูกนำไปกักกันอย่างไม่มีกำหนดที่ศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งองค์การสหประชาชาติยังคงถูกจำกัดการให้ความคุ้มครองแก่ชาวม้ง ชาวอุยกูร์ และชาวพม่าซึ่งอาศัยอยู่นอกค่ายผู้ลี้ภัยของทางการรวมทั้งชาวเกาหลีเหนือด้วย การอนุญาตให้สำนักงานฯ เข้าพบผู้แสวงหาที่พักพิงที่ศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่กรุงเทพฯ และสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิเพื่อดำเนินการสัมภาษณ์พิจารณาสถานภาพรวมทั้งสอดส่องดูแลผู้แสวงหาที่พักพิงที่เพิ่งมาถึงนั้นมีความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนตลอดช่วงปีที่ผ่านมา สำนักงานฯ สามารถเข้าศูนย์กักกันของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่กักกันชาวโรฮีนจาซึ่งได้แก่ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในจังหวัดระนองที่อยู่ชายฝั่งทะเลและจังหวัดสงขลาที่อยู่ภาคใต้เพื่อดำเนินการระบุสถานภาพผู้ลี้ภัย ทางการอนุญาตประเทศที่รับผู้แสวงหาที่พักพิงไปตั้งหลักแหล่งในประเทศของตนให้ดำเนินขั้นตอนต่างๆ ที่ศูนย์กักกันฯ ได้  ส่วนองค์การด้านมนุษยธรรมก็ได้รับอนุญาตให้จัดให้บริการทางสุขภาพ อาหาร และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอื่นๆ ด้วย

รัฐบาลอนุญาตให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งองค์การสหประชาชาติ (UNHCR) สอดส่องการคุ้มครองผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงชาวพม่าประมาณ 103,000 คนที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยเก้าแห่งบริเวณชายแดนไทยที่ติดกับพม่า แต่ห้ามสำนักงานฯ ให้ความช่วยเหลือใดๆ ในค่ายผู้ลี้ภัยเหล่านี้ องค์การนอกภาครัฐซึ่งได้รับเงินทุนจากประชาคมระหว่างประเทศให้ความช่วยเหลือปัจจัยพื้นฐานด้านมนุษยธรรมแก่ผู้ที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย เช่น การรักษาพยาบาล อาหาร การศึกษา ที่พักพิง น้ำ บริการสุขอนามัย การฝึกอาชีพ และบริการอื่นๆ UNHCR ออกบัตรประจำตัวแก่ผู้ลี้ภัยในค่ายที่ขึ้นทะเบียนแล้ว

เมื่อถึงเดือนธันวาคม รัฐบาลอำนวยความสะดวกแก่ชาวพม่าจำนวน 3,479 คนจากค่ายลี้ภัย ผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ในค่ายพักพิงตามชายแดนทั้งเก้าแห่งที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางการไม่มีสิทธิโยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สาม

นับตั้งแต่ทางการยกเลิกคณะกรรมการพิจารณาสถานภาพผู้ลี้ภัยระดับจังหวัด (Provincial Admission Board: PAB) ในปี พ.ศ. 2548 มีชาวพม่าประมาณ 60,000 คน ที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน  เมื่อปี พ.ศ. 2555 รัฐบาลกลับมาใช้กระบวนการคัดกรองที่เคยใช้อย่างจำกัดในการพิจารณากรณีผู้ลี้ภัยที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขการรวมสมาชิกครอบครัวเท่านั้น (บิดามารดา-บุตร หรือ สามีภรรยา) ผ่านคณะกรรมการพิจารณาสถานภาพผู้ลี้ภัยระดับจังหวัดแบบ Fast Track (FTPAB) เมื่อถึงเดือนธันวาคม ทางการได้รับเรื่อง 3,246 กรณีเกี่ยวกับบุคคล 8,208 คน (รวมถึงผู้ที่ขึ้นทะเบียนกับ FTPAB แล้ว 4,467 คน)

การส่งผู้ลี้ภัยกลับไปสู่อันตราย: รัฐบาลให้ความคุ้มครองในระดับหนึ่งแก่ผู้ลี้ภัยโดยไม่ผลักดันหรือส่งผู้ลี้ภัยกลับประเทศหากชีวิตหรือเสรีภาพของคนเหล่านี้จะถูกคุกคามอันเนื่องมาจากเชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ สถานภาพการเป็นสมาชิกของกลุ่มสังคมหรือทัศนคติทางการเมือง นอกค่ายผู้ลี้ภัย เจ้าหน้าที่ทางการจะไม่แยกความแตกต่างระหว่างชาวพม่าที่แสวงที่พักพิงกับชาวพม่าที่เข้าเมืองโดยไม่มีเอกสาร โดยพิจารณาว่า ทุกคนเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย  โดยทั่วไป ผู้ที่ถูกจับนอกค่ายผู้ลี้ภัยจะถูกทางการนำไปส่งที่ชายแดนและส่งกลับประเทศภูมิลำเนา โดยปกติแล้ว ทางการไม่เนรเทศบุคคลในความห่วงใย (person of concern) ที่มีสถานะผู้แสวงหาที่พักพิงหรือผู้ลี้ภัยของ UNHCR อย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม เมื่อปี พ.ศ. 2558 ทางการบังคับส่งตัวนักเคลื่อนไหวชาวจีนสองคนกลับประเทศโดยที่ทั้งสองคนได้รับสถานะผู้ลี้ภัยจาก UNHCR แล้ว และบังคับเนรเทศผู้อพยพกลุ่มเปราะบางชาวอุยกูร์ 109 คนไปยังจีน เมื่อถึงเดือนธันวาคม ชาวอุยกูร์ประมาณ 60 คนยังคงอยู่ระกว่างการกักตัว

ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองในกรุงเทพมหานครจับกุมและกักขังผู้แสวงหาที่พักพิงและผู้ลี้ภัยซึ่งมีผู้หญิงและเด็ก จำนวนผู้ถูกกักกันแปรผันอยู่ระหว่าง 250 คนถึง 450 คน ขึ้นอยู่กับการเข้าตรวจค้นจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองและการประกันตัวผู้ถูกกักกัน ทางการประเมินว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในกรุงเทพมหานครส่งผู้ถูกกักกันที่ไม่มีเอกสารกลับประเทศเดิมประมาณ 200-300 คนต่อสัปดาห์ ทางการมักกักขังชาวพม่า กัมพูชาและลาว เป็นเวลาห้าวันโดยประมาณก่อนจะส่งกลับประเทศ เจ้าหน้าที่มักกักขังชาวต่างด้าวที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากสถานทูตของตน แสวงหาการย้ายถิ่นฐานไปประเทศที่สาม ปฏิเสธที่จะกลับประเทศเดิม หรือไม่มีทุนทรัพย์ที่จะจ่ายค่าเดินทางกลับประเทศเดิมเป็นเวลาหนึ่งปีหรือกว่านั้น

เสรีภาพในการเดินทาง: ผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยเก้าแห่งบริเวณชายแดนติดกับประเทศพม่าไม่มีเสรีภาพในการเดินทางและถูกจำกัดบริเวณอยู่เพียงในค่ายผู้ลี้ภัยเท่านั้น ในปีก่อนๆ ทางการยังไม่บังคับใช้นโยบายนี้ และผู้ลี้ภัยจำนวนมากมักออกจากค่ายเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพื่อหางานทำในพื้นที่ใกล้ค่ายอพยพ หลังการรัฐประหารเมื่อ พ.ศ. 2557 ผู้ควบคุมดูแลค่ายอพยพเริ่มบังคับใช้ข้อจำกัดต่อผู้อาศัยภายในค่าย เสรีภาพในการเดินทางนอกค่ายอพยพก็กลายเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น หากผู้ลี้ภัยถูกจับนอกเขตค่ายผู้ลี้ภัยอย่างเป็นทางการ ผู้ลี้ภัยอาจถูกคุกคาม ปรับ กักกันตัว ถอนทะเบียนและเนรเทศกลับประเทศ

ผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงไม่มีสิทธิเข้ากระบวนการพิสูจน์สัญชาติอย่างเป็นทางการ ซึ่งกระบวนการนี้จะอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวที่ได้รับการพิสูจน์สัญชาติและมีหนังสือเดินทางสามารถเดินทางได้ทั่วประเทศ ทางการไม่อนุญาตให้ผู้ที่มีแค่ใบอนุญาตทํางานเดินทางออกนอกจังหวัดที่ตนทำงานอยู่นอกจากจะได้รับอนุญาตจากทางการก่อน

การจ้างงาน: กฎหมายห้ามผู้ลี้ภัยทำงานในประเทศ รัฐบาลได้อนุญาตให้แรงงานต่างด้าวที่ไม่มีเอกสารประจำตัวที่มาจากประเทศพม่า กัมพูชาและลาว สามารถทำงานในภาคเศรษฐกิจบางส่วนได้อย่างถูกกฎหมายถ้าขึ้นทะเบียนกับทางการและดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดเพื่อขอทำเอกสารระบุสถานภาพของตน (ดูหมวด 7.ง.) ในเดือนมีนาคมรัฐบาลประกาศว่า เหยื่อค้ามนุษย์ที่ให้ความร่วมมือกับคดีที่รออยู่ในชั้นศาลจะได้รับใบอนุญาตพำนักและทำงานระยะเวลาหนึ่งปีที่ต่ออายุได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเดือนธันวาคม ยังไม่มีการดำเนินโครงการนี้

การเข้าถึงบริการพื้นฐาน: ประชาคมนานาชาติให้การบริการขั้นพื้นฐานแก่ผู้ลี้ภัยที่อาศัยภายในค่ายพักพิงเก้าแห่งตามชายแดนพม่า ระบบการส่งตัวทางการแพทย์ที่ซับซ้อนเป็นปัญหาสำหรับผู้ลี้ภัยในการขอรับการรักษาพยาบาลที่จำเป็นบางประการนอกเหนือจากการดูแลขั้นต้น แม้ว่าความร่วมมือระหว่างผู้ให้บริการจะช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้น สำหรับประชากรผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงในเมืองที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร การเข้าถึงบริการพื้นฐานยังมีน้อย องค์การนอกภาครัฐสองแห่งจัดบริการดูแลสุขภาพขั้นต้นรวมถึงสุขภาพจิตมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 UNHCR ประสานงานการส่งต่อผู้ป่วยกรณีฉุกเฉินไปยังโรงพยาบาลท้องถิ่น

เนื่องจากเด็กผู้ลี้ภัยชาวพม่าโดยทั่วไปไม่อาจเข้ารับการศึกษาในระบบการศึกษาของรัฐบาลได้ องค์การนอกภาครัฐจึงจัดการศึกษาให้ โดยบางแห่งประสานงานกับกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับหลักสูตรการศึกษาด้วย ในกรุงเทพมหานคร ชุมชนผู้ลี้ภัยบางแห่งจัดตั้งโรงเรียนของชุมชนเองเพื่อให้การศึกษาแก่ลูกหลานของตน   บางแห่งก็ขวนขวายเรียนภาษาไทยโดยการสนับสนุนจาก UNHCR เพราะตามกฎหมายแล้ว โรงเรียนรัฐบาลจะต้องรับเด็กที่สามารถพูด อ่าน และเขียนภาษาไทยได้คล่องในระดับหนึ่งเข้าศึกษา ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะมีสถานะทางกฎหมายอย่างไรก็ตาม

การคุ้มครองชั่วคราว: รัฐบาลยังคงขยายระยะเวลาให้การคุ้มครองชั่วคราวแก่ผู้อพยพชาวโรฮีนจาและบังกลาเทศที่เข้ามาในช่วงวิกฤตผู้อพยพทางเรือในอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามันเมื่อ พ.ศ. 2558

บุคคลไร้สัญชาติ 

รัฐบาลยังคงดำเนินการระบุตัวบุคคลไร้สัญชาติ จัดหาเอกสารเพื่อแก้ปัญหาการไร้สัญชาติ และเปิดทางให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานานสามารถขอความเป็นพลเมืองไทยได้  รัฐบาลประเมินว่า มีบุคคลราว 487,000 คนในประเทศไทยที่อาจเป็นบุคคลไร้สัญชาติหรือเสี่ยงต่อการไร้สัญชาติ โดยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในภาคเหนือ องค์การนอกภาครัฐหลายแห่งรายงานว่า บุคคลไร้สัญชาติส่วนใหญ่ ซึ่งหลายคนเป็นชาวเขา อาจจะมีสิทธิขอความเป็นพลเมืองไทยได้ (ดูหมวด 6 ประกอบ)  นอกนั้นเป็นผู้ย้ายถิ่นชาวพม่าที่ไม่มีหลักฐานแสดงสัญชาติพม่า ชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางการซึ่งเดิมคือชนกลุ่มน้อยที่ไม่เคยมีเอกสาร และบุคคลพลัดถิ่นที่อาศัยอยู่ในค่ายอพยพตามชายแดน รัฐบาลประกาศแผนลดจำนวนบุคคลไร้สัญชาติ โดยเบื้องต้นเน้นที่การสมัครขอความเป็นพลเมืองสำหรับเด็กประมาณ 60,000 คน

การเกิดในประเทศไม่ทำให้ได้สัญชาติโดยอัตโนมัติ ตามกฎหมาย การได้สัญชาติต้องเป็นการกำเนิดจากบุพการีที่อย่างน้อยหนึ่งคนเป็นพลเมืองไทย การสมรสกับชายไทย หรือการแปลงสัญชาติเป็นไทย นอกจากนี้ บุคคลอาจขอสัญชาติได้ตามหลักเกณฑ์พิเศษซึ่งรัฐบาลกำหนดขึ้นและดำเนินการโดยกระทรวงมหาดไทยซึ่งได้รับอนุมัติโดยคณะรัฐมนตรีหรือเป็นไปตามพระราชบัญญัติสัญชาติ (ดูหมวด 6 ประกอบ)  การแก้กฎหมายระหว่างปีที่ผ่านมาอนุญาตให้บุคคลไร้สัญชาติเชื้อสายไทยและบุตรที่มีคุณสมบัติตรงตามคำจำกัดความของ “ชาวไทยพลัดถิ่น” สามารถขอสถานภาพ “การมีสัญชาติไทยโดยกำเนิด” ได้ แต่มีรายงานว่า การปฏิบัติตามกฎหมายนี้ค่อนข้างล่าช้าและไม่ค่อยสม่ำเสมอเนื่องจากกฎหมายและระเบียบข้อบังคับมีความซับซ้อน และเนื้อหาบางส่วนไม่ชัดเจน

กฎหมายกำหนดว่า เด็กทุกคนที่เกิดในประเทศจะได้รับสูติบัตรจากทางการไม่ว่าบิดามารดาจะมีสถานภาพทางกฎหมายอย่างไร  บิดามารดาหลายคนไม่ขอสูติบัตรให้แก่บุตรตนเพราะขั้นตอนยุ่งยากและต้องเดินทางจากพื้นที่ห่างไกลเข้าไปที่ว่าการอำเภอ ตลอดจนไม่ตระหนักถึงความสำคัญของเอกสารนี้

ตามกฎหมาย ชาวเขาผู้ไร้สัญชาติไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งหรือเป็นเจ้าของที่ดิน รวมทั้งถูกจำกัดการเดินทาง นอกจากนี้ บุคคลไร้สัญชาติยังไม่อาจประกอบอาชีพบางประเภทที่สงวนไว้สำหรับบุคคลสัญชาติไทย เช่น อาชีพเกษตรกรรม แม้ว่าในทางปฏิบัติ เจ้าหน้าที่ทางการจะอนุญาตให้ชาวเขาที่ไม่ได้เป็นพลเมืองไทยทำการเกษตรเพื่อยังชีพได้  บุคคลไร้สัญชาติประสบความยากลำบากในการขอกู้เงินและการเข้าถึงบริการต่างๆ ของรัฐ เช่น การรักษาพยาบาล  แม้ว่าเด็กไร้สัญชาติที่ไม่มีเอกสารสามารถเข้าโรงเรียนรัฐได้ แต่การศึกษาก็ด้อยคุณภาพ  ผู้บริหารโรงเรียนระบุสถานภาพ “พลเมืองที่ไม่ใช่ชาวไทย” บนประกาศนียบัตรมัธยมศึกษาของเด็กเหล่านี้ซึ่งเป็นการจำกัดโอกาสทางเศรษฐกิจของพวกเขาเป็นอย่างมาก มหาวิทยาลัยรัฐบางแห่งยังคงเรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมการศึกษาจากนักศึกษาไร้สัญชาติที่ไม่มีเอกสารในอัตราที่สูงกว่าที่เก็บจากนักศึกษาชาวไทย อีกทั้งผู้บริหารมักไม่อนุมัติเงินกู้สำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยแก่นักศึกษาไร้สัญชาติเหล่านี้

เนื่องจากไม่มีสถานภาพที่ถูกต้องตามกฎหมาย บุคคลไร้สัญชาติจึงเสี่ยงต่อการถูกกระทำมิชอบในรูปแบบต่างๆ (ดูหมวด 6 ประกอบ)

หมวดที่ 3 เสรีภาพในการมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมือง

รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวกำหนดกรอบการทำงานสู่การนำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาใช้ แต่มิได้มอบอำนาจให้พลเมืองสามารถเลือกรัฐบาลของตนอย่างสันติ ทั้งยังสร้างกระบวนการที่เปิดโอกาสให้บุคคลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเข้ามาปฏิบัติงานในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติเป็นการชั่วคราว โดยรัฐบาลทหารแต่งตั้งคณะบุคคลขึ้นมาต่างหากเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งวางกระบวนการที่พลเมืองจะสามารถเลือกรัฐบาลของตนได้อีกครั้ง นอกจากนี้ กรธ.ยังได้วางกระบวนการว่าด้วยการให้ความเห็นชอบของประชาชนต่อรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วย

กรธ.เผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญต่อสาธารณะเมื่อเดือนมีนาคม ต่อมาในวันที่ 7 สิงหาคม รัฐบาลจัดการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว โดยผู้มาใช้สิทธิส่วนใหญ่ออกเสียงเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญรวมถึงคำถามพ่วงว่าด้วยการเลือกนายกรัฐมนตรี พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญของกรธ. ควบคุมการรณรงค์ช่วงก่อนการลงประชามติ มาตรา 61 ของพระราชบัญญัติฉบับนี้กำหนดโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี สำหรับการ “เผยแพร่ข้อความ ภาพ เสียง ในสื่อหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หรือในช่องทางอื่นใด ที่ผิดไปจากข้อเท็จจริงหรือมีลักษณะรุนแรง ก้าวร้าว หยาบคาย ปลุกระดม หรือข่มขู่” การกระทำละเมิดมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปีและปรับไม่เกิน 200,000 บาท (5,600 เหรียญสหรัฐ)

เจ้าหน้าที่มักใช้กฎหมายฉบับนี้จำกัดการอภิปรายที่เสรีและเปิดกว้างก่อนการลงประชามติ ข้อมูลจากองค์กรหนึ่งซึ่งติดตามและสอดส่องการดำเนินนโยบายของรัฐบาลระบุว่า เจ้าหน้าที่จับกุมบุคคล 42 คนและตั้งข้อหากระทำการละเมิดมาตรา 61 ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ อีกทั้งจับกุมบุคคลอื่นอีกประมาณ 200 คนและตั้งข้อหาในฐานความผิดที่เกี่ยวข้อง กลุ่มสิทธิมนุษยชนรายงานว่า บุคคลที่ถูกจับกุมทั้งหมดเป็นฝ่ายที่คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุนี้ ผู้สังเกตการณ์หลายรายทั้งในประเทศและระหว่างประเทศจึงวิจารณ์การลงประชามติครั้งนี้ว่าเป็นไปอย่างไม่เป็นธรรม เพราะผู้มีสิทธิออกเสียงไม่สามารถรับส่งข้อมูลและรณรงค์สนับสนุนทางเลือกของตนได้โดยเสรี

ไม่มีรายงานที่ได้รับการยืนยันเกี่ยวกับความผิดปกติในการออกเสียงลงประชามติ การลงคะแนนเสียงกระทำโดยวิธีลับ เมื่อสิ้นสุดการลงคะแนนเสียง เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยออกเสียงดำเนินการนับคะแนนโดยเปิดเผย จากนั้น เจ้าหน้าที่ประจำส่วนกลางรวบรวมผลการนับคะแนนออกเสียงจากหน่วยออกเสียง เมื่อถึงสิ้นปี รัฐบาลยังไม่ได้เผยแพร่ผลคะแนนการออกเสียงอย่างเป็นทางการโดยแบ่งตามแต่ละหน่วยออกเสียง

การเลือกตั้งและการมีส่วนร่วมทางการเมือง 

รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวไม่ได้ให้อำนาจประชาชนในการเลือกรัฐบาลของตนผ่านการเลือกตั้งอย่างเสรีและเป็นธรรมที่จัดขึ้นเป็นระยะ รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2559 ให้อำนาจพลเมืองในการเลือกรัฐบาลของตนผ่านการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งยังอนุญาตให้คสช.แต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภาเป็นระยะเวลาห้าปี หลังจากนั้นสมาชิกวุฒิสภาจะได้รับการแต่งตั้งผ่านระบบคล้ายระบบคอคัส ทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาจะเลือกนายกรัฐมนตรีที่ไม่จำเป็นต้องเป็นสมาชิกของสภาใดสภาหนึ่งข้างต้น เมื่อถึงสิ้นปี ยังไม่มีการจัดการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ โดยรัฐธรรมนูญอยู่ในขั้นตอนทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยและประกาศใช้ต่อไป

การเลือกตั้งที่เพิ่งผ่านมา: ไม่มีการจัดการเลือกตั้งนับตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2557 ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 85/2557 และ 86/2557 ซึ่งออกประกาศเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2557 และคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คำสั่งที่ 1/2557 ซึ่งออกประกาศเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2557 สั่งระงับการเลือกตั้งทุกประเภททั่วประเทศ ทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น

พรรคการเมืองและการมีส่วนร่วมทางการเมือง: รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวห้ามมิให้ผู้เคยดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองภายในระยะเวลาสามปีเข้ารับตำแหน่งในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ข้อจำกัดเกี่ยวกับกิจกรรมทางการเมืองส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของพรรคการเมือง

การมีส่วนร่วมของสตรีและชนกลุ่มน้อย: รัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้อยู่ก่อนรัฐประหารสนับสนุนให้พรรคการเมือง “มีสมาชิกพรรคที่เป็นหญิงและชายในจำนวนที่ใกล้เคียงกัน” ทั้งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวของคสช.และรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2559 ไม่มีบทบัญญัติดังกล่าว สภานิติบัญญัติแห่งชาติที่แต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีสมาชิกที่เป็นผู้หญิง 13 คนจากทั้งหมด 217 คน ส่วนคณะรัฐมนตรีรักษาการมีรัฐมนตรีที่เป็นผู้หญิงสามคน (กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์) จากสมาชิกทั้งหมด 34 คน รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งชุดที่แล้วมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นผู้หญิง 81 คนจากสมาชิกทั้งหมด 500 คน

มีสมาชิกจากชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์หรือศาสนาไม่กี่คนที่มีตำแหน่งสูงทางการเมืองระดับประเทศ สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีสมาชิกที่นับถือศาสนาอิสลามสี่คนและนับถือศาสนาคริสต์สองคนจากสมาชิกทั้งหมด 250 คน สภาปฏิรูปแห่งชาติมีสมาชิกที่นับถือศาสนาอิสลามสี่คนจากสมาชิกทั้งหมด 250 คน และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศมีสมาชิกที่นับถือศาสนาอิสลามสี่คนจากสมาชิกทั้งหมด 200 คน ไม่มีผู้นับถือศาสนาอิสลามหรือศาสนาคริสต์ดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกคนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นับถือศาสนาพุทธ แต่นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ดังกล่าวเป็นชาวมุสลิม

หมวดที่ 4 การทุจริตในวงราชการและความโปร่งใสของรัฐบาล

กฎหมายกำหนดโทษทางอาญาสำหรับการทุจริตในวงราชการ การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวโดยรัฐบาลเพิ่มมากขึ้นภายใต้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทว่า ในบางครั้ง ข้าราชการก็เกี่ยวข้องกับการกระทำทุจริตโดยไม่ต้องรับโทษ ในช่วงปีที่ผ่านมามีรายงานเกี่ยวกับการทุจริตในวงราชการหลายกรณี

การทุจริต: การทุจริตยังคงมีอยู่ในวงกว้างในวงการตำรวจ มีหลายกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจถูกตั้งข้อหาลักพาตัว ล่วงละเมิดทางเพศ ลักทรัพย์ และกระทำผิดทางวินัย นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทรมาน ซ้อม และละเมิดสิทธิผู้ถูกคุมขังและนักโทษ โดยมักไม่มีโทษผิด ทางการจับกุมและพิพากษาลงโทษเจ้าหน้าที่ตำรวจในข้อหาทุจริต ค้ายาเสพติดและลักลอบขนสินค้าเถื่อน นอกจากนี้ ยังมีรายงานกล่าวหาตำรวจว่ากระทำการละเมิดสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาอีกด้วย

ในเดือนกุมภาพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติให้กองทัพบกไทยพ้นข้อกล่าวหาการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 อัยการสูงสุดดำเนินการยื่นฟ้องนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดอาญาที่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาฐานกระทำผิดต่อหน้าที่ในการจัดการโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล การพิจารณาคดีเริ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2558 และยังคงดำเนินอยู่เมื่อถึงเดือนตุลาคม อดีตเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์หลายคนถูกตั้งข้อหาทางอาญาจากบทบาทในโครงการนี้ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ อดีตเจ้าหน้าที่หลายคนยังถูกฟ้องร้องทางแพ่งจากโครงการรับจำนำข้าวดังกล่าว เมื่อเดือนกันยายน กระทรวงพาณิชย์มีคำสั่งยึดทรัพย์สินมูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท (560 ล้านเหรียญสหรัฐ) จากอดีตเจ้าหน้าที่หกคนที่พบว่ามีความผิดทางแพ่งจากการสร้างความเสียหายแก่รัฐบาลสืบเนื่องจากการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเท็จ โดยข้อตกลงจีทูจีนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการรับจำนำข้าว ในเดือนตุลาคม กระทรวงการคลังมีคำสั่งทางปกครองให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจากโครงการนี้เป็นเงินกว่า 35,700 ล้านบาท (1 พันล้านเหรียญสหรัฐ)

เมื่อถึงปลายปี หมายจับทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งออกเมื่อ พ.ศ. 2552 ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ คดีที่ทักษิณถูกยื่นฟ้องเกี่ยวกับการปล่อยเงินกู้ให้พม่าโดยธนาคารของรัฐบาลเมื่อปี พ.ศ. 2549 ยังคงค้างคาอยู่ที่ศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทักษิณยังคงพำนักอยู่ในต่างประเทศ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติและสำนักงานอัยการสูงสุดยังคงสอบสวนคดีทุจริตกระทำโดยสมาชิกคณะรัฐบาลที่นำโดยทักษิณ ชินวัตร จาก พ.ศ. 2544–2549 และผลการสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติและสำนักงานอัยการสูงสุดนี้ทำให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องพิจารณาคดีจำนวนมาก

การแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน: กฎหมายกำหนดให้ข้าราชการต้องแจ้งรายการทรัพย์สินของตน และระเบียบราชการกำหนดให้ข้าราชการที่ได้รับการเลือกตั้งและที่ได้รับการแต่งตั้งแจ้งรายการทรัพย์สินและรายได้ของตน ตามแบบฟอร์มที่กำหนดเป็นมาตรฐาน กฎหมายกำหนดบทลงโทษข้าราชการที่ไม่ได้แจ้งรายการทรัพย์สิน หรือแจ้งรายการไม่ตรงตามความเป็นจริง หรือปกปิดทรัพย์สิน บทลงโทษรวมถึงการตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลาห้าปี การยึดทรัพย์ การปลดออกจากตำแหน่ง และจำคุกไม่เกินหกเดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท (280 เหรียญสหรัฐ) หรือทั้งจำทั้งปรับ

ระเบียบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติว่าด้วยการเปิดเผยทรัพย์สินต่อสาธารณชนนั้นไม่ครอบคลุมถึงสมาชิกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และทางการยกเว้นให้สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบนี้เช่นกัน สภาดังกล่าวมีสมาชิก 200 คนซึ่งมาจากการแต่งตั้งโดยคสช.

สิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร: กฎหมายกำหนดให้ประชาชนมีสิทธิเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการ และรัฐบาลก็ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิผล กฎหมายกำหนดข้อยกเว้นบางประการสำหรับข้อมูลที่ไม่เปิดเผย ซึ่งรวมถึงเพื่อป้องกันความเสียหายแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงข้อมูลที่เป็นภัยคุกคามความมั่นคงของชาติและเป็นอุปสรรคต่อการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ หน่วยงานราชการต้องรับแจ้งคำร้องขอทราบข้อมูลภายใน 15 วัน แต่ไม่จำเป็นต้องส่งคำวินิจฉัยภายในกรอบเวลาใดเวลาหนึ่ง การดำเนินการไม่มีค่าธรรมเนียม หากหน่วยงานราชการเพิกเฉยต่อคำร้องขอทราบข้อมูลหรือผู้ขอทราบข้อมูลอุทธรณ์คำสั่งไม่เปิดเผยข้อมูล ผู้ตัดสินจากสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ (สขร.) จะต้องตัดสินกรณีดังกล่าวภายใน 60 วัน หากสขร.สั่งให้เปิดเผยข้อมูลตามคำร้อง หน่วยงานราชการนั้นต้องเปิดเผยข้อมูลที่ร้องขอภายในเจ็ดวัน กฎหมายกำหนดให้หัวหน้าหน่วยราชการที่ไม่ดำเนินการตามคำสั่งต้องรับโทษทางวินัยหรือโทษอาญา สขร.ได้รับคำร้องขออุทธรณ์ประมาณ 300 กรณีระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน ซึ่งใกล้เคียงกับสถิติของปี พ.ศ. 2558 โดยเมื่อถึงเดือนกันยายนดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว 230 กรณี สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการได้จัดโครงการรณรงค์และอบรมแก่สาธารณชน ตลอดจนโครงการเรียนรู้ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่พิจารณาคำร้อง

หมวดที่ 5 ท่าทีของรัฐบาลต่อการสืบสวนโดยองค์กรระหว่างประเทศและองค์กรเอกชนในประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศและระหว่างประเทศหลายประเภทดำเนินกิจกรรมอยู่ในประเทศไทย คำสั่งต่างๆ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานขององค์กรนอกภาครัฐ ซึ่งรวมถึงการห้ามชุมนุมและจัดกิจกรรมทางการเมือง ตลอดจนการจำกัดสื่อ องค์กรนอกภาครัฐที่ดำเนินการเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองที่อ่อนไหว เช่น การคัดค้านโครงการพัฒนาที่รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุน หรือปัญหาชายแดน ยังคงเผชิญกับการคุกคามเป็นระยะๆ

เมื่อวันที่ 28 กันยายน ตำรวจและเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานปิดการจัดงานแถลงข่าวเผยแพร่รายงานของแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล เรื่อง บังคับให้มันพูดให้ได้ภายในพรุ่งนี้ (Make Him Speak by Tomorrow) ซึ่งบันทึกข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทั่วประเทศ ตำรวจและเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานขู่จะจับกุมผู้บรรยายชาวต่างชาติที่มีกำหนดขึ้นบรรยายภายในงานเพราะไม่มีใบอนุญาตทำงาน สื่อมวลชนและกลุ่มสิทธิมนุษยชนประณามการกระทำของเจ้าหน้าที่ที่ทำให้ต้องปิดการจัดงานดังกล่าว โดยโต้แย้งว่ามีชาวต่างชาติหลายร้อยคนเข้าร่วมกิจกรรมและงานสัมมนาสาธารณะที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองเป็นประจำโดยไม่มีเหตุขัดข้องแม้ไม่มีใบอนุญาตทำงาน

เจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชนที่ทำงานเรื่องความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้มักเสี่ยงต่อการถูกคุกคามและข่มขู่จากเจ้าหน้าที่รัฐและกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ รัฐบาลให้สิทธิยกเว้นภาษีแก่องค์กรนอกภาครัฐเพียงไม่กี่ราย ซึ่งบางครั้งก็เป็นอุปสรรคต่อการหาเงินทุนขององค์กรเหล่านี้

สหประชาชาติและองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆ: รัฐบาลเลื่อนกำหนดการเยือนไทยของผู้เสนอรายงานพิเศษของสหประชาชาติด้านการทรมานและการปฏิบัติด้วยวิธีการที่ไร้มนุษยธรรม สหประชาชาติรายงานว่า ยังคงไม่มีความคืบหน้าใดๆ เกี่ยวกับการขออนุญาตเดินทางมาไทยของคณะทำงานของสหประชาชาติด้านการหายสาบสูญ ผู้เสนอรายงานพิเศษของสหประชาชาติด้านเสรีภาพในการแสดงออก การชุมนุมและการจัดตั้งสมาคม หรือผู้เสนอรายงานพิเศษของสหประชาชาติด้านสถานการณ์ของผู้พิทักษ์สิทธิมนุษยชน ผู้อพยพและผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ สหประชาชาติรายงานว่า รัฐบาลไม่ได้ตอบรับการเดินทางเยือนไทยโดยผู้เชี่ยวชาญคนใดภายใต้กระบวนการตามกลไกพิเศษของสหประชาชาตินับตั้งแต่ พ.ศ. 2556 เมื่อถึงเดือนกันยายน มีคำขออนุญาตเดินทางเยือนไทยตามกลไกพิเศษของสหประชาชาติที่ยังคงค้างอยู่รวม 18 เรื่อง

องค์กรสิทธิมนุษยชนภาครัฐ: คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นคณะกรรมการอิสระที่มีภารกิจในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและจัดทำรายงานประจำปี คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้รับคำร้อง 617 เรื่องในช่วงแปดเดือนแรกของปี โดยในปี พ.ศ. 2558 ได้รับคำร้อง 472 เรื่อง ในจำนวนนี้มี 69 เรื่องเกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาการกระทำมิชอบโดยตำรวจ ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากปีก่อนหน้า ไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการสืบสวนที่ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ผู้นำประชาสังคมหลายคนให้คะแนนการดำเนินงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติว่าดีขึ้นกว่าปีก่อนๆ พอสมควร โดยอ้างอิงถึงบทบาทของคณะกรรมการฯ ในการทำงานร่วมกับภาคประชาสังคมและรัฐบาลพร้อมกับร่วมกระบวนการจัดทำรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ (Universal Periodic Review) กลุ่มสิทธิมนุษยชนยังคงวิพากษ์วิจารณ์คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ไม่ยื่นฟ้องร้องผู้กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยตนเองหรือในนามของผู้ร้องเรียน

สำนักผู้ตรวจการของรัฐสภาเป็นหน่วยงานอิสระและมีอำนาจพิจารณาและสอบสวนคำร้องเรียนจากประชาชน หลังจากดำเนินการสอบสวน สำนักผู้ตรวจการของรัฐสภาอาจส่งเรื่องต่อไปศาลเพื่อพิจารณาต่อไป หรือให้คำแนะนำแก่หน่วยงานที่เหมาะสมเพื่อดำเนินการต่อไป สำนักผู้ตรวจการของรัฐสภาทำการตรวจสอบเรื่องร้องเรียนทั้งหมด แต่ไม่มีอำนาจบังคับให้หน่วยงานต่างๆ ดำเนินการตามคำแนะนำของสำนักฯ เมื่อถึงเดือนกันยายน สำนักผู้ตรวจการของรัฐสภารับเรื่องร้องเรียนใหม่ 2,761 เรื่อง โดยในจำนวนนี้มี 565 เรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาการกระทำมิชอบโดยตำรวจ

หมวดที่ 6 การเลือกปฏิบัติ การกระทำมิชอบในสังคม และการค้ามนุษย์ 

สตรี

การข่มขืนและความรุนแรงในครัวเรือน: การข่มขืนกระทำชำเราถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย แม้ว่ารัฐบาลไม่ได้บังคับใช้กฎหมายดังกล่าวอย่างมีประสิทธิผลเสมอไป กฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ดำเนินคดีกับสามีที่ข่มขืนภรรยาของตน และมีการดำเนินคดีประเภทนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ร้อยละ 65 ของคดีล่วงละเมิดทางเพศที่ได้รับแจ้งระหว่างเดือนมกราคมถึงกลางเดือนกันยายน

กฎหมายกำหนดบทลงโทษหลายระดับสำหรับคดีข่มขืนหรือการทำร้ายทางเพศ เริ่มตั้งแต่โทษจำคุกสี่ปีจนถึงประหารชีวิต รวมถึงโทษปรับ โดยพิจารณาจากอายุของผู้เสียหาย ระดับความรุนแรงของการกระทำ การใช้อาวุธ จำนวนผู้กระทำผิด และสภาพทางร่างกายและจิตใจของผู้เสียหายหลังจากถูกทำร้าย นอกจากนี้ กฎหมายยังระบุด้วยว่า บุคคลใดที่ถูกตัดสินว่ากระทำความผิดในคดีข่มขืนซ้ำเป็นครั้งที่สองภายในเวลาสามปีอาจได้รับโทษเพิ่มฐานกระทำความผิดอีก สถิติทางศาลชี้ว่า ทางการได้ยื่นฟ้องคดีการทำร้ายทางเพศเป็นจำนวน 3,933 คดีในปี พ.ศ. 2558 เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวน 5,310 คดีในปี พ.ศ. 2557

องค์การนอกภาครัฐเชื่อว่า การข่มขืนยังคงเป็นปัญหาร้ายแรง นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิสตรีระบุว่า มาตรการตามกฎหมายที่ผ่อนผันให้ผู้กระทำผิดที่อายุต่ำกว่า 18 ปีสามารถหลีกเลี่ยงการดำเนินคดีได้ด้วยการเลือกที่จะแต่งงานกับเหยื่อถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิสตรี นอกจากนี้ ยังยืนยันว่า เหยื่อเข้าแจ้งความคดีข่มขืนกระทำชำเราหรือการประทุษร้ายบุคคลในครอบครัวน้อยกว่าความเป็นจริง ส่วนหนึ่งเนื่องจากการขาดความเข้าใจของตำรวจ พนักงานอัยการ และผู้พิพากษา ในประเด็นด้านเพศและสิทธิสตรี ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการตามกฎหมายเกี่ยวกับความรุนแรงต่อสตรีอย่างมีประสิทธิผล

องค์การนอกภาครัฐระบุว่า รัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่แก้ปัญหาอย่างไม่เพียงพอ และเหยื่อมักมองว่า ตำรวจไม่สามารถนำผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ ฝ่ายตำรวจได้พยายามแก้ไขทรรศนะดังกล่าวด้วยการสนับสนุนให้สตรีแจ้งความอาชญากรรมทางเพศ องค์การนอกภาครัฐรณรงค์สนับสนุนให้เพิ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงฝ่ายสืบสวนประจำสถานีตำรวจต่างๆ เพื่อดูแลคดีเกี่ยวกับความรุนแรงต่อสตรี สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความพยายามเพิ่มจำนวนสตรีเข้าศึกษาในโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงมีจำนวนคิดเป็นประมาณร้อยละ 8 (ประมาณ 17,000 คน) ของกำลังตำรวจทั่วประเทศ ซึ่งเท่ากับปี พ.ศ. 2558 มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงฝ่ายสืบสวนประมาณ 300 คนทั่วประเทศ โดย 130 คนประจำอยู่ในกรุงเทพมหานคร

การใช้ความรุนแรงต่อสตรีในครอบครัวเป็นปัญหาสำคัญ กระทรวงสาธารณสุขบริหารจัดการศูนย์ช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ถูกกระทำรุนแรง (One Stop Crisis Center – OSCC) ซึ่งให้ข้อมูลและบริการแก่เหยื่อที่ถูกทำร้ายร่างกายและล่วงละเมิดทางเพศทั่วประเทศ กฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการห้ามผู้กระทำความผิดอาศัยในบ้านต่อไป หรือติดต่อกับสมาชิกในครอบครัวระหว่างการพิจารณาคดี ทั้งนี้ ต้องได้รับความเห็นชอบจากศาลด้วย กฎหมายยังกำหนดมาตรการอำนวยความสะดวกในการแจ้งความเหตุรุนแรงในครอบครัวและการรอมชอมระหว่างผู้เสียหายและผู้กระทำความผิด นอกจากนี้ กฎหมายยังห้ามสื่อรายงานคดีความรุนแรงในครอบครัวในช่วงที่คดีอยู่ในกระบวนการศาล องค์การนอกภาครัฐแสดงข้อกังวลเกี่ยวกับกฎหมายว่า การเน้นการส่งเสริมครอบครัวมั่นคงอาจสร้างแรงกดดันต่อเหยื่อให้ยอมรอมชอมโดยไม่มีการแก้ปัญหาสวัสดิภาพและเป็นเหตุให้อัตราการพิพากษาลงโทษต่ำ

ทางการได้ดำเนินคดีความรุนแรงในครอบครัวบางคดี โดยเฉพาะคดีที่ผู้กระทำผิดทำร้ายเหยื่อจนบาดเจ็บสาหัส ตามบทบัญญัติว่าด้วยการทำร้ายร่างกายหรือการใช้ความรุนแรงต่อผู้อื่นซึ่งผู้กระทำความผิดอาจได้รับโทษที่หนักขึ้น บ่อยครั้งที่ไม่มีการแจ้งความการใช้ความรุนแรงในครอบครัว อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มักไม่กระตือรือร้นที่จะติดตามคดีประเภทนี้ องค์การนอกภาครัฐให้การสนับสนุนโครงการต่างๆ อาทิ บริการโทรศัพท์สายด่วน การจัดที่พักพิงชั่วคราว และบริการให้คำปรึกษาเพื่อเพิ่มความตระหนักรู้ของประชาชนในด้านปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ และปัญหาอื่นๆ เกี่ยวกับสตรี รัฐบาลดำเนินงานศูนย์พักพิงสำหรับเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวจังหวัดละหนึ่งแห่ง ศูนย์วิกฤติของรัฐที่จัดตั้งขึ้นในโรงพยาบาลรัฐทุกแห่งให้การดูแลรักษาสตรีและเด็กที่ถูกทำร้าย โรงพยาบาลของรัฐจะส่งตัวสตรีที่ถูกทำร้ายไปองค์กรเอกชนในกรณีที่โรงพยาบาลไม่สามารถให้บริการได้

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เก็บข้อมูลทางสถิติเกี่ยวกับเหยื่อที่ขอความช่วยเหลือด้านกฎหมายภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยความรุนแรงในครอบครัว รายงานว่า เมื่อถึงเดือนกันยายน มีการลงบันทึกการใช้ความรุนแรงในครอบครัวทั้งสิ้น 363 กรณีทั่วประเทศ เปรียบเทียบกับ 294 กรณีที่มีรายงานในช่วงแปดเดือนแรกของปี พ.ศ. 2558

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ยังคงพัฒนาระบบเครือข่ายชุมชนที่ช่วยป้องกันสตรีจากปัญหาความรุนแรงในครอบครัวต่อไปโดยดำเนินการทั่วทุกภาคของประเทศ โครงการดังกล่าวมุ่งเน้นอบรมตัวแทนจากแต่ละชุมชนเกี่ยวกับสิทธิสตรีและการป้องกันการถูกกระทำมิชอบเพื่อให้ชุมชนมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มากขึ้น

การขริบอวัยวะเพศสตรี: ไม่มีกฎหมายเฉพาะเจาะจงที่ห้ามการขริบอวัยวะเพศสตรี องค์การนอกภาครัฐรายงานว่า แม้ไม่มีข้อมูลทางสถิติเผยแพร่ แต่มีกรณีการขริบอวัยวะเพศสตรีในภาคใต้ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ไม่มีรายงานว่ามีความพยายามป้องกันหรือแก้ไขการปฏิบัติดังกล่าวทั้งจากรัฐบาลและหน่วยงานนานาชาติ

การคุกคามทางเพศ: การคุกคามทางเพศเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน กฎหมายกำหนดโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท (560 เหรียญสหรัฐ) กับผู้ที่ถูกศาลตัดสินว่าคุกคามทางเพศต่อผู้อื่น บทลงโทษขึ้นอยู่กับระดับของการคุกคามทางเพศ การคุกคามทางเพศที่ถือว่าเป็นการกระทำอนาจารอาจต้องโทษจำคุกสูงสุด 15 ปีและโทษปรับสูงสุด 30,000 บาท (840 เหรียญสหรัฐ) บทลงโทษขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงและอายุของผู้เสียหาย นอกจากนี้ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนห้ามการคุกคามทางเพศ และกำหนดบทลงโทษไว้ห้าระดับ คือ การภาคทัณฑ์ การตัดเงินเดือน การลดเงินเดือน การสั่งพักราชการและการไล่ออก องค์การนอกภาครัฐอ้างว่า คำจำกัดความตามกฎหมายของคำว่า การคุกคามทางเพศมีความคลุมเครือและทำให้การดำเนินคดีประเภทนี้เป็นเรื่องลำบาก ซึ่งทำให้การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวไม่มีประสิทธิผล ไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลจำนวนผู้กระทำความผิดที่ถูกดำเนินคดี ถูกศาลตัดสินว่าคุกคามทางเพศต่อผู้อื่น และถูกลงโทษ

สิทธิว่าด้วยการมีบุตร: คู่สามีภรรยาและบุคคลสามารถตัดสินใจได้อย่างเสรีว่า จะมีบุตรกี่คน เว้นช่วงห่างระหว่างการมีบุตรแต่ละคนนานเท่าใด จะมีบุตรเมื่อไร และจะบริหารจัดการสุขภาพอนามัยการเจริญพันธุ์ของตนอย่างไร บุคคลมีข้อมูลและช่องทางที่จะทำเช่นนี้ได้โดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติ บังคับขู่เข็ญหรือใช้ความรุนแรง ระบบสาธารณสุขที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐให้บริการและข้อมูลด้านการคุมกำเนิด การฝากครรภ์ การดูแลระหว่างการคลอดโดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนบริการด้านสูติกรรมและการดูแลเด็กหลังคลอด

กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ประมาณการว่า ในช่วงปีที่รายงาน ร้อยละ 76 ของสตรีและเด็กหญิงอายุระหว่าง 15-49 ปี ใช้วิธีคุมกำเนิดสมัยใหม่ เจ้าหน้าที่ประมาณการว่า สตรีมากกว่าร้อยละ 93 สามารถเข้าถึงบริการฝากครรภ์และการดูแลหลังคลอด อีกทั้ง UNFPA ยังรายงานด้วยว่า ประมาณร้อยละ 100 ของการคลอดบุตรได้รับการดูแลโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่เชี่ยวชาญ UNFPA ประมาณอัตราคลอดบุตรของวัยรุ่นอายุ 15-19 ปีที่ 60 คนต่อวัยรุ่นหญิง 1,000 คน กระทรวงศึกษาธิการจัดการเรียนการสอนเพศศึกษาในโรงเรียน ทว่า จากข้อมูลของ UNFPA การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น รวมถึงการคุมกำเนิดฉุกเฉินและการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัยยังคงมีจำนวนเพิ่มขึ้น ซึ่งบ่งชี้ถึงความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มการเข้าถึงบริการด้านสุขภาวะทางเพศและอนามัยการเจริญพันธุ์ การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพซึ่งรวมถึงอนามัยการเจริญพันธุ์สำหรับบุคคลพลัดถิ่นที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนติดกับพม่ายังคงมีจำกัด

การเลือกปฏิบัติ: รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวระบุถึงการให้ความคุ้มครอง “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคทั้งหลายของชนชาวไทย” รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2559 ระบุว่า “ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมือง จะกระทำมิได้”

โดยทั่วไป ผู้หญิงมีสถานะและสิทธิเช่นเดียวกับผู้ชาย อย่างไรก็ตาม บางครั้ง ผู้หญิงประสบกับการเลือกปฏิบัติ เมื่อ พ.ศ. 2558 รัฐบาลผ่านพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ ซึ่งมีบทลงโทษจำคุกสูงสุดหกเดือนหรือปรับสูงสุด 20,000 บาท (560 เหรียญสหรัฐ) หรือทั้งจำทั้งปรับ กับผู้ที่มีความผิดว่าด้วยการเลือกปฏิบัติ กฎหมายห้ามเลือกปฏิบัติในการจ้างงานเนื่องจากเพศและอัตลักษณ์ทางเพศภายใต้นโยบาย กฎ ระเบียบ ประกาศ โครงการหรือขั้นตอนใดๆ ของหน่วยงานรัฐ หน่วยงานเอกชน และปัจเจกชน แต่ยังคงระบุข้อยกเว้นไว้สองประการซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของกลุ่มประชาสังคม อันได้แก่ หลักการทางศาสนาและความมั่นคงของชาติ สตรีเผชิญการเลือกปฏิบัติในการจ้างงาน (ดู หมวด 7.ง) กฎหมายห้ามเลือกปฏิบัติในการจ้างงานซึ่งยังคงมีอยู่ทั่วไป แต่เมื่อถึงเดือนกันยายน ก็ยังไม่มีผู้ใดถูกฟ้องร้องเนื่องจากละเมิดกฎหมายฉบับนี้

คู่สมรสชาวต่างชาติของผู้หญิงไทยไม่สามารถขอความเป็นพลเมืองตามสัญชาติของภรรยาได้ ซึ่งต่างจากคู่สมรสชาวต่างชาติของผู้ชายไทย

สถาบันการศึกษาของทหาร (ยกเว้นวิทยาลัยพยาบาล) ไม่รับสตรีเข้าศึกษา แม้ว่าสถาบันทางทหารเหล่านี้จะมีอาจารย์ที่เป็นสตรีอยู่จำนวนมาก กรมกำลังพลทหาร กระทรวงกลาโหมระบุว่า ณ เดือนสิงหาคม มีผู้หญิง 80 คนดำรงยศนายพลหรือเทียบเท่าในทั้งสามเหล่าทัพและในกระทรวงกลาโหม ซึ่งลดลงจาก 96 คนเมื่อปี พ.ศ. 2558 นโยบายของกระทรวงกลาโหมจำกัดจำนวนบุคลากรหญิงในหน่วยงาน โดยส่วนใหญ่อยู่ที่ไม่เกินร้อยละ 25 ยกเว้นหน่วยงานด้านแพทย์พยาบาลเฉพาะทาง งบประมาณ และการเงิน ซึ่งอนุญาตให้มีเจ้าหน้าที่หญิงได้ร้อยละ 35 ของจำนวนเจ้าหน้าที่ในหน่วยงาน ในปีที่รายงาน กองทัพอากาศไทยรับบุคคลหญิงสองคนแรกเข้าศึกษาในหลักสูตรนักบินของกองทัพ ในจำนวนกำลังพลทหารทั้งสิ้น 230,000 คนทั่วประเทศ เป็นสตรีประมาณ 20,700 คน

โรงเรียนนายร้อยตำรวจเปิดรับสมัครสตรีเข้าศึกษา และ มีการกันที่ให้สตรี 70 ที่จากจำนวนที่จะรับนักเรียนนายร้อยทั้งหมด 280 ที่ นักเรียนนายร้อยที่เป็นสตรีรุ่นแรกสำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรระยะสี่ปีนี้เมื่อปี พ.ศ. 2556 มีนายทหารหญิงสี่กลุ่ม กลุ่มละ 70 คนที่สำเร็จการศึกษาหลักสูตรนี้และปัจจุบันรับราชการในหน่วยต่างๆ ทั่วประเทศ ตัวเลขของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนระบุว่า ร้อยละ 19 ของข้าราชการพลเรือนระดับบริหารเป็นสตรี (211 ตำแหน่งจาก 1,097 ตำแหน่ง) ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี พ.ศ.2558

สำนักงานกิจการสตรีและพัฒนาครอบครัวของรัฐบาลมีภารกิจส่งเสริมสิทธิทางกฎหมายของสตรี โดยเฉพาะผ่านการทำงานของสำนักส่งเสริมความเสมอภาคหญิงชาย แต่ไม่ได้ดำเนินงานอย่างอิสระ สำนักงานฯ ทำงานร่วมกับองค์การนอกภาครัฐและไม่ได้มีบทบาทนำในการส่งเสริมสิทธิสตรี

เด็ก

การจดทะเบียนเกิด: เด็กได้รับสัญชาติไทยตั้งแต่แรกเกิดหากอย่างน้อยบิดาหรือมารดาถือสัญชาติไทย การเกิดในประเทศไม่ได้ทำให้ได้รับสัญชาติโดยอัตโนมัติ แต่อย่างไรก็ดี เด็กทุกคนที่เกิดในประเทศไทยมีสิทธิได้รับการจดทะเบียนเกิด ซึ่งการจดทะเบียนเกิดนี้จะทำให้เด็กได้รับสิทธิประโยชน์บางประการจากทางการที่ให้แก่เด็กทุกคนโดยไม่สำคัญว่าถือสัญชาติใด (ดู หมวด 2.ง.) องค์การนอกภาครัฐระบุว่า บางครั้งชาวเขาและบุคคลไร้สัญชาติอื่น ๆ ไม่ได้จดทะเบียนเกิดกับทางการ โดยเฉพาะผู้ที่เกิดในพื้นที่ห่างไกล เนื่องจากขั้นตอนยุ่งยากซับซ้อน ข้าราชการท้องถิ่นไม่มีคุณธรรมและมีข้อมูลไม่ถูกต้อง อุปสรรคด้านภาษา และการถูกจำกัดการเดินทาง ด้วยเหตุนี้การจดทะเบียนเกิดจึงเป็นเรื่องลำบาก

การศึกษา: องค์กรนอกภาครัฐหลายแห่งรายงานว่า บุตรของแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนแล้ว โดยเฉพาะในจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดระนอง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก สามารถเข้าถึงการศึกษาในโรงเรียนได้อย่างจำกัดกว่าเนื่องจากต้องติดตามบิดามารดาย้ายไปทำงานตามที่ต่าง ๆ บ่อยครั้ง ทั้งยังมีอุปสรรคเรื่องระยะทางจากที่พักไปโรงเรียน และความไม่ชำนาญภาษาไทย เด็กหลายคนเข้าเรียนระดับประถมศึกษาในศูนย์การเรียนเด็กต่างด้าวแทนที่จะเข้าโรงเรียนของรัฐ จึงเป็นการจำกัดโอกาสนักเรียนเหล่านี้ในการเข้าถึงการศึกษาที่สูงกว่าระดับประถมศึกษา เพราะรัฐบาลไม่ได้ให้การยอมรับศูนย์การเรียนเด็กต่างด้าวอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ เด็กกลุ่มนี้ยังคงไม่มีโอกาสเข้าถึงบริการต่าง ๆ ในชุมชนที่มีไว้สำหรับเด็กที่เรียนในโรงเรียนของรัฐ เช่น ศูนย์ดูแลเด็กช่วงกลางวัน และนมและอาหารกลางวันฟรีที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล แรงงานต่างด้าวที่มีเงินพอมักเลือกส่งบุตรไปเข้าโรงเรียนเด็กเล็กหรือศูนย์ดูแลเด็กของเอกชนโดยจ่ายเงินเอง

การกระทำทารุณเด็ก: กฎหมายมีบทบัญญัติคุ้มครองเด็กจากการถูกกระทำทารุณ และกฎหมายว่าด้วยการข่มขืนกระทำชำเราและการทอดทิ้งกำหนดบทลงโทษที่รุนแรงขึ้นในกรณีที่ผู้เสียหายเป็นเด็ก กฎหมายกำหนดโทษจำคุกระหว่างเจ็ดปีถึง 20 ปี และโทษปรับสูงสุด 40,000 บาท (1,120 เหรียญสหรัฐ) สำหรับการมีเพศสัมพันธ์กับเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี ถ้าผู้เสียหายอายุระหว่าง 13-15 ปี โทษจำคุกจะอยู่ระหว่างสี่ปีถึง 20 ปีและโทษปรับเช่นเดียวกับข้างต้น

เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงไม่เต็มใจสืบสวนสอบสวนคดีการกระทำมิชอบเหล่านี้นัก และระเบียบว่าด้วยวัตถุพยานก็ทำให้การดำเนินคดีกระทำมิชอบต่อเด็กยากขึ้น มีกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองพยาน ผู้เสียหายและผู้กระทำความผิดที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีในคดีการกระทำมิชอบและคดีละเมิดทางเพศต่อเด็ก ทั้งนี้หากได้รับคำยินยอมจากศาล เด็กอาจให้ปากคำด้วยการบันทึกเทปวีดิทัศน์เป็นการส่วนตัว โดยมีนักจิตวิทยา จิตแพทย์ หรือนักสังคมสงเคราะห์ร่วมฟังอยู่ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษาหลายคนไม่ยินยอมให้ใช้การบันทึกเทปวิดีทัศน์เพื่อให้คำให้การ โดยให้เหตุผลเรื่องปัญหาทางเทคนิคและการที่ไม่สามารถซักค้านโจทก์และจำเลยได้โดยตรงในศาล นักคุ้มครองสิทธิเด็กบางคนอ้างว่า เด็กหญิงที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศได้รับการดูแลทางร่างกายและจิตใจดีกว่าเด็กชายที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ผู้ต้องหาคดีล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กถูกฟ้องดำเนินคดีภายใต้กฎหมายว่าด้วยอายุของบุคคลที่ยอมให้มีการร่วมประเวณีได้ รวมถึงกฎหมายว่าด้วยการค้าประเวณีในกรณีที่มีการแสวงหาประโยชน์ทางเพศเชิงพาณิชย์จากเด็ก

การบังคับแต่งงานและการแต่งงานก่อนวัยอันควร: กฎหมายกำหนดให้ทั้งหญิงและชายที่จะแต่งงานต้องมีอายุอย่างน้อย 17 ปี อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปีต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองก่อนจึงจะสมรสได้ ศาลอาจอนุญาตให้ผู้ที่มีอายุ 15-16 ปีแต่งงานได้ คณะกรรมการอิสลามและหน่วยงานของรัฐได้จัดโครงการสร้างความตระหนักหลายโครงการเพื่อป้องกันการแต่งงานก่อนวัยอันควรตามธรรมเนียมของศาสนาอิสลาม

องค์การนอกภาครัฐตั้งข้อสังเกตว่า การบังคับแต่งงานก่อนวัยอันควรระหว่างวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นการ “รักษาหน้า” และปกป้องสถานภาพทางกฎหมายของเด็กในครรภ์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นตามอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น

การขริบอวัยวะเพศสตรี: ข้อมูลปรากฏอยู่ในหัวข้อสตรีซึ่งกล่าวไปแล้วข้างต้น

การแสวงประโยชน์ทางเพศกับเด็ก: กฎหมายกำหนดบทลงโทษรุนแรงต่อผู้ที่จัดหา ล่อลวง บังคับ หรือข่มขู่เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีให้ค้าประเวณี และระบุว่าลูกค้าที่จ่ายเงินเพื่อมีเพศสัมพันธ์กับเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีจะต้องโทษจำคุกสองถึงหกปี และถูกปรับสูงสุด 120,000 บาท (3,360 เหรียญสหรัฐ) หากเด็กผู้นั้นมีอายุระหว่าง 15-18 ปี โทษจำคุกจะอยู่ระหว่างหนึ่งถึงสามปีและมีโทษปรับสูงสุด 60,000 บาท (1,680 เหรียญสหรัฐ) ทางการยังอาจลงโทษบิดามารดาที่ยอมให้บุตรเข้าสู่ธุรกิจการค้าประเวณี ตลอดจนเพิกถอนสิทธิในฐานะบิดามารดาได้ กฎหมายห้ามการผลิต การจำหน่าย การนำเข้า หรือการส่งออกสื่อลามกอนาจารเด็ก ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกินสามปีและมีโทษปรับไม่เกิน 6,000 บาท (168 เหรียญสหรัฐ) หรือทั้งจำทั้งปรับ กฎหมายยังกำหนดบทลงโทษรุนแรงสำหรับบุคคลที่แสวงประโยชน์ทางเพศกับผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ซึ่งรวมถึงการจัดหาโสเภณี การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมทางเพศต่อเด็กในรูปแบบอื่น ๆ

การค้าประเวณีเด็กยังคงเป็นปัญหาอยู่ ข้าราชการ นักวิชาการ และตัวแทนองค์การนอกภาครัฐระบุว่า   เด็กชายและเด็กหญิงโดยเฉพาะเด็กต่างด้าวและชนกลุ่มน้อยถูกบังคับหรือถูกล่อลวงให้ค้าประเวณี เด็กในครอบครัวยากจนยังคงเสี่ยงต่อการถูกบังคับค้าประเวณีมากเป็นพิเศษ และมีกรณีที่ตำรวจจับกุมบิดามารดาที่บังคับให้บุตรของตนค้าประเวณี นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติยังคงก่ออาชญากรรมล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก ซึ่งรวมถึงการแสวงหาประโยชน์ทางเพศเชิงพาณิชย์จากเด็กด้วย

เด็กพลัดถิ่น: โดยทั่วไป ทางการจะส่งเด็กที่อาศัยอยู่ตามข้างถนนไปที่สถานพักพิงที่รัฐบาลจัดให้ในแต่ละจังหวัด แต่คนต่างด้าวที่ไม่มีเอกการประจำตัวมักเลี่ยงที่จะเข้าไปอยู่ในสถานพักพิงเหล่านั้นเพราะเกรงว่าจะถูกเนรเทศออกนอกประเทศ ทางการยังจับกุมเด็กซึ่งตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ให้มาขอทานตามท้องถนน โดยทั่วไปแล้ว รัฐบาลจะส่งเด็กข้างถนนที่เป็นคนไทยเข้าเรียนที่โรงเรียน ศูนย์ฝึกอาชีพ หรือส่งกลับครอบครัวภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ รัฐบาลส่งตัวเด็กข้างถนนบางคนที่มาจากประเทศอื่นกลับประเทศตนเอง

รายงานของประเทศไทยที่เกี่ยวกับการใช้แรงงานเด็กมักไม่กล่าวถึงเด็กที่อาศัยอยู่ข้างถนน และยอดตัวเลขของเด็กข้างถนนทั่วประเทศมักมีเฉพาะเด็กไทยเท่านั้น ไม่มีตัวเลขจำนวนขอทานที่น่าเชื่อถือ ในกลุ่มเด็กขอทานนี้ประกอบด้วยเด็กจรจัด เด็กถูกลักพาตัว หรือเด็กที่บิดามารดาส่งให้ไปขอทาน และหลายคนเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์

เด็กในสถานสงเคราะห์: มีการรายงานอย่างจำกัดเกี่ยวกับการกระทำมิชอบในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าหรือสถานสงเคราะห์อื่น ๆ

การลักพาเด็กระหว่างประเทศ: ประเทศไทยเป็นภาคีอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการดำเนินการทางแพ่งต่อการลักพาเด็กระหว่างประเทศ พ.ศ. 2523 ผู้สนใจสามารถอ่าน รายงานประจำปีเรื่องการลักพาตัวลูกข้ามชาติโดยพ่อหรือแม่ ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯได้ที่ travel.state.gov/content/childabduction/en/legal/compliance.html.

การต่อต้านยิว

ชาวยิวในไทยมีจำนวนน้อยมาก และไม่มีรายงานเกี่ยวกับการต่อต้านชาวยิว อย่างไรก็ตาม ในบางครั้งภาพบุคคลและสัญลักษณ์นาซีถูกนำมาแสดงบนสินค้าและใช้ในโฆษณา

การค้ามนุษย์

เชิญอ่านข้อมูล รายงานว่าด้วยการค้ามนุษย์ ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่ www.state.gov/j/tip/rls/tiprpt/

บุคคลทุพพลภาพ

ก่อนเหตุการณ์รัฐประหารปี พ.ศ. 2557 รัฐธรรมนูญและกฎหมายห้ามการเลือกปฏิบัติต่อผู้พิการทางร่างกาย ระบบประสาทความรู้สึก สติปัญญาและสภาพจิต ในด้านการศึกษา การเดินทางทางอากาศและการคมนาคมขนส่งอื่น ๆ ตลอดจนการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพหรือบริการอื่น ๆ ของรัฐ แม้ว่าคณะผู้นำรัฐประหารจะระงับรัฐธรรมนูญฉบับนี้แล้ว แต่กฎหมายเกี่ยวกับบุคคลทุพพลภาพก็ยังคงไว้ตามเดิม รัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2559 ห้ามการเลือกปฏิบัติที่มีพื้นฐานมาจากความพิการ และสภาวะทางร่างกายหรือสุขภาพ

รัฐบาลปรับแต่งสิ่งอำนวยความสะดวกและอาคารสาธารณะหลายแห่งเพื่อให้เอื้อต่อบุคคลทุพพลภาพ แต่การบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลยังไม่มีประสิทธิผลโดยสม่ำเสมอกัน กฎหมายกำหนดให้บุคคลทุพพลภาพต้องสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การสื่อสารคมนาคมและอาคารที่สร้างใหม่ แต่บทบัญญัติเหล่านี้ไม่ได้มีการบังคับใช้อย่างเป็นเอกภาพ กฎหมายไม่ได้บังคับให้หน่วยราชการต้องติดตั้งขอบคันถนนที่ใช้กับรถเข็นได้เมื่อทำการซ่อมแซมหรือสร้างถนน

กฎหมายกำหนดให้บุคคลทุพพลภาพที่ขึ้นทะเบียนไว้กับทางราชการมีสิทธิได้รับบริการตรวจโรค รถเข็น และไม้ยันรักแร้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ รัฐบาลให้เงินกู้ปลอดดอกเบี้ยเป็นเวลาห้าปีแก่บุคคลทุพพลภาพที่ดำเนินธุรกิจขนาดย่อม

โครงการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการโดยชุมชนของรัฐบาลและโครงการศูนย์การเรียนรู้คนพิการในชุมชนยังคงดำเนินงานอยู่ในทุกจังหวัด

รัฐบาลมีโรงเรียนพิเศษสำหรับนักเรียนพิการ 46 แห่งและศูนย์การศึกษาสำหรับบุคคลทุพพลภาพ 77 แห่ง กฎหมายกำหนดให้โรงเรียนของรัฐทั่วประเทศต้องรับนักเรียนพิการเข้าศึกษา และในช่วงปีที่ผ่านมา โรงเรียนส่วนใหญ่ก็จัดการเรียนการสอนให้แก่นักเรียนพิการ กระทรวงศึกษาธิการระบุว่า มีนักเรียนพิการ 337,144 คนที่เข้าศึกษาในโรงเรียนสำหรับนักเรียนพิการโดยเฉพาะ 48 แห่งและในโรงเรียนทั่วไปบางแห่งจากจำนวนโรงเรียนทั่วไปทั้งหมด 213,000 แห่งทั่วประเทศ นอกจากนั้น ยังมีศูนย์ฝึกอบรมสำหรับบุคคลทุพพลภาพที่ดำเนินการโดยรัฐแปดแห่งและโดยองค์การนอกภาครัฐอีกอย่างน้อย 23 แห่ง ซึ่งเป็นศูนย์ฝึกอบรมที่เปิดบริการทั้งแบบเต็มเวลาและแบบบางช่วงเวลาหรือตามฤดูกาล รัฐบาลดำเนินการสถานสงเคราะห์ของรัฐ 11 แห่งและศูนย์ฟื้นสมรรถภาพเก้าแห่งสำหรับผู้พิการโดยเฉพาะ รวมถึงศูนย์ดูแลเด็กออทิสติกสองแห่ง นอกจากนี้ มีสมาคมของเอกชนที่จัดฝึกอบรมสำหรับผู้พิการเป็นครั้งคราว

นายจ้างบางรายเลือกปฏิบัติด้านค่าจ้างต่อแรงงานคนพิการ (ดู หมวด 7.ง.)

ชนกลุ่มน้อยทางสัญชาติ/เชื้อชาติ/ชาติพันธุ์

คนสองกลุ่มคือ อดีตทหารในสงครามกลางเมืองของจีนและลูกหลานที่อาศัยอยู่ในไทยมาหลายทศวรรษ และลูกของชาวเวียดนามอพยพที่อาศัยอยู่ใน 13 จังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยังคงดำรงชีวิตอยู่ภายใต้กฎหมายและกฎข้อบังคับที่จำกัดการเดินทาง ที่พักอาศัย การศึกษาและการเข้าถึงอาชีพ กฎหมายจำกัดให้ชาวจีนกลุ่มนี้พักอาศัยอยู่ในจังหวัดภาคเหนือสามจังหวัด คือ เชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน

ชาวพื้นเมือง

ชาวเขาที่ไม่มีสัญชาติไทยยังคงถูกจำกัดการเดินทาง ไม่สามารถมีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ประสบความยากลำบากในการกู้ยืมเงินจากธนาคาร และเผชิญกับการเลือกปฏิบัติในการจ้างงาน ถึงแม้ว่ากฎหมายแรงงานจะให้สิทธิแก่ชาวพื้นเมืองเหล่านี้ให้ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมในฐานะลูกจ้าง แต่นายจ้างยังคงละเมิดสิทธินั้นบ่อยครั้งโดยจ่ายค่าแรงให้พวกเขาน้อยกว่าเพื่อนร่วมงานชาวไทยและน้อยกว่าอัตราค่าแรงขั้นต่ำ กฎหมายจำกัดอาชีพสำหรับบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย อีกทั้งกีดกันบุคคลเหล่านี้จากสวัสดิการของรัฐ เช่น โครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า

กฎหมายให้สิทธิการขอสัญชาติแก่ชาวเขาบางกลุ่มที่ก่อนหน้านี้ไม่มีสิทธิ รัฐบาลสนับสนุนความพยายามในการอนุมัติสัญชาติและให้ความรู้ชาวเขาเกี่ยวกับสิทธิที่มีอยู่ กระนั้นก็ตาม นักเคลื่อนไหวรายงานว่ามีการทุจริตอย่างกว้างขวางและการปฏิบัติงานไร้ประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านชาวเขาและเจ้าหน้าที่ระดับอำเภอและตำบล ซึ่งทำให้คำร้องขอสัญชาติต้องคั่งค้างและถูกปฏิเสธอย่างไม่สมควร จากข้อมูลของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย มีผู้ที่อยู่ระหว่างรอทางการดำเนินเรื่องคำร้องขอสัญชาติมากกว่า 400,000 คน

ชาวเขายังคงเผชิญกับการถูกเลือกปฏิบัติทางสังคม ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่าชาวเขามักจะเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด มีส่วนทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม และเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ

การกระทำรุนแรง การเลือกปฏิบัติ และการถูกกระทำมิชอบอื่น ๆ เนื่องจากวิถีทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศภาวะ

ไม่มีกฎหมายใดระบุว่า วิถีทางเพศหรือการมีเพศสัมพันธ์โดยสมัครใจระหว่างบุคคลเพศเดียวกันที่บรรลุนิติภาวะแล้วเป็นความผิดทางอาญา

กลุ่ม LGBTI หรือกลุ่มหญิงรักหญิง ชายรักชาย ผู้รักร่วมสองเพศ บุคคลข้ามเพศ และกะเทยหรือบุคคลที่มีภาวะเพศกำกวม (intersex) สามารถจดทะเบียนกลุ่มกับทางการได้แม้ว่าจะมีข้อจำกัดเกี่ยวกับชื่อที่ใช้ในการจดทะเบียน กลุ่ม LGBTI รายงานว่า เมื่อพวกตนตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม ตำรวจจะปฏิบัติต่อพวกตนเช่นที่ปฏิบัติต่อคนทั่วไป ยกเว้นในกรณีอาชญากรรมทางเพศ ซึ่งตำรวจมักมีแนวโน้มที่จะไม่ให้ความสำคัญกับการละเมิดทางเพศมากนัก หรือไม่เห็นการคุกคามทางเพศเป็นเรื่องจริงจัง

กฎหมายไม่อนุญาตให้บุคคลข้ามเพศเปลี่ยนการระบุเพศของตนในเอกสารแสดงตน ซึ่งเมื่อรวมกับการเลือกปฏิบัติของสังคมกลุ่มใหญ่แล้ว ทำให้โอกาสสมัครงานของบุคคลข้ามเพศถูกจำกัด พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 ห้ามการเลือกปฏิบัติ “เพราะเหตุที่บุคคลนั้นเป็นเพศชายหรือเพศหญิง หรือมีการแสดงออกที่แตกต่างจากเพศโดยกำเนิด”

องค์การนอกภาครัฐในท้องถิ่นแห่งหนึ่งรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารพุ่งเป้าคุกคามและเลือกปฏิบัติต่อบุคคลข้ามเพศในพัทยา ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เป็นที่รู้จักในเรื่องนักแสดงให้ความบันเทิงซึ่งเป็นบุคคลข้ามเพศ

เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยอนุญาตให้นักศึกษาที่เป็นบุคคลข้ามเพศเข้าพิธีพระราชทานปริญญาบัตรและเข้าสอบโดยสวมเครื่องแบบตามเพศที่ตนเลือกเป็นกรณีไป ในขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยมักกำหนดให้นักศึกษาต้องได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการก่อนจะสวมเครื่องแบบที่ตนเลือกได้ การอนุญาตเช่นนี้ยังคงขึ้นอยู่กับความสมัครใจของแต่ละสถาบัน

ยังมีการเลือกปฏิบัติในทางธุรกิจเนื่องจากวิถีทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศภาวะอยู่บ้าง อาทิเช่น บริษัทประกันชีวิตบางแห่งปฏิเสธที่จะออกกรมธรรม์ประกันชีวิตแก่ชายรักร่วมเพศ อย่างไรก็ตาม มีบริษัทประกันชีวิตบางแห่งยินดีขายประกันชีวิตแก่กลุ่ม LGBTI พร้อมระบุข้อกำหนดกรมธรรม์ให้สามารถโอนผลประโยชน์เต็มรูปแบบแก่คู่ชีวิตที่เป็นเพศเดียวกันได้ องค์การนอกภาครัฐรายงานว่า บริษัทประกันชีวิตหลายแห่งเริ่มยอมรับผู้รับผลประโยชน์ที่เป็นคู่ชีวิตเพศเดียวกัน แต่ทั้งนี้ยังคงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัท องค์การนอกภาครัฐกล่าวหาว่า ไนท์คลับ บาร์ โรงแรม และโรงงานบางแห่งไม่ยอมให้บุคคลกลุ่ม LGBTI เข้าไปในสถานที่ของตนหรือไม่ยอมรับบุคคลกลุ่มนี้เข้าทำงาน โดยเฉพาะบุคคลข้ามเพศ

การตีตราทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวีและเอดส์

บุคคลที่ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคเอดส์ต้องเผชิญกับปัญหาด้านจิตใจเนื่องจากถูกปฏิเสธจากครอบครัว มิตรสหาย เพื่อนร่วมงาน ครูอาจารย์ และชุมชน ถึงแม้ว่าความพยายามของรัฐบาลและองค์กรนอกภาครัฐในการให้ความรู้อย่างแพร่หลายในเรื่องนี้อาจช่วยบรรเทาการตีตราเชิงลบได้บ้างในบางสังคมก็ตาม มีรายงานว่า นายจ้างบางรายปฏิเสธที่จะจ้างงานผู้ที่ถูกตรวจพบว่ามีเชื้อเอชไอวีจากผลการตรวจเลือดก่อนเข้าทำงานตามที่นายจ้างกำหนด

หมวดที่ 7 สิทธิของคนงาน 

ก. สิทธิในการตั้งสมาคมและสิทธิในการร่วมเจรจาต่อรองแบบรวมกลุ่ม

รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวไม่มีบทบัญญัติใดที่ให้สิทธิในการตั้งสมาคมและสิทธิในการเจรจาต่อรองแบบรวมกลุ่ม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2559 กำหนดให้รัฐจัดตั้งระบบแรงงานสัมพันธ์ที่ทุกฝ่ายสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ ทั้งนี้ พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์และพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ยังคงมีผลบังคับใช้ตามเดิม โดยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์อนุญาตให้พนักงานในภาคเอกชนจัดตั้งและเข้าร่วมสหภาพแรงงานที่ตนเลือกโดยไม่ต้องขออนุญาตจากทางการก่อน ให้ร่วมเจรจาต่อรองแบบรวมกลุ่มได้ และนัดหยุดงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายภายใต้ขอบเขตของข้อจำกัดที่กำหนดได้ นอกจากนี้ ภายใต้พระราชบัญญัติดังกล่าว การยื่นข้อเรียกร้องของแรงงานสามารถทำได้โดยพนักงานซึ่งต้องมีผู้สนับสนุนอย่างน้อยร้อยละ 15 ของจำนวนพนักงาน หรือโดยสหภาพแรงงานโดยมีผู้สนับสนุนอย่างน้อยหนึ่งในห้าของพนักงาน หรือโดยนายจ้าง อย่างไรก็ตาม กฎหมายห้ามผู้จัดการหรือผู้บริหารเข้าร่วมสหภาพแรงงานที่จัดตั้งขึ้นโดยพนักงานที่ไม่ได้เป็นผู้บริหาร และห้ามการเลือกปฏิบัติที่เป็นการต่อต้านการรวมกลุ่มของสหภาพแรงงาน กฎหมายให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้าง สหภาพแรงงาน และสมาชิกสหภาพแรงงานในการถูกฟ้องร้องคดีทางอาญาหรือทางแพ่งเมื่อดำเนินกิจกรรม (เช่น เจรจาต่อรองกับนายจ้างเพื่อบรรลุข้อเรียกร้องของสหภาพแรงงานในเรื่องสิทธิและผลประโยชน์ หรือรวมตัวกันเพื่อประท้วงหรือนัดหยุดงาน) เพื่อผลประโยชน์ของสมาชิก

จากข้อมูล ณ เดือนตุลาคม พ.ศ. 2558 มีจำนวนสหภาพแรงงานทั้งสิ้น 1,520 แห่ง มีจำนวนสมาชิกทั้งหมด 634,778 คน (เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจจำนวน 180,097 คน และสมาชิกสหภาพแรงงานภาคเอกชนจำนวน 454,681 คน) สมาชิกภาพของสมาชิกสหภาพแรงงานดังกล่าวคิดเป็นร้อยละ 3.5 ของจำนวนพนักงานที่รับค่าจ้างและเงินเดือนทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.1 ในปี พ.ศ. 2550

นอกจากนี้ กฎหมายอนุญาตให้พนักงานในบริษัทเอกชนที่มีพนักงานมากกว่า 50 คนขึ้นไปจัดตั้ง ”คณะกรรมการลูกจ้าง” เพื่อเป็นตัวแทนของลูกจ้างโดยรวมในการยื่นเรื่องเรียกร้องหรือต่อรองกับนายจ้าง ตลอดจน “คณะกรรมการสวัสดิการ” เพื่อเป็นตัวแทนของลูกจ้างโดยรวมในการยื่นเรื่องเรียกร้องต่อนายจ้างเกี่ยวกับปัญหาสวัสดิการ กฎหมายห้ามนายจ้างกระทำการที่ส่งผลลบต่อการจ้างงานของพนักงานอันเนื่องมาจากการที่พนักงานเข้าร่วมเป็นสมาชิกคณะกรรมการดังกล่าว และห้ามนายจ้างขัดขวางการทำงานของคณะกรรมการ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงานรายงานว่า ในปี พ.ศ. 2558 มีจำนวนคณะกรรมการลูกจ้างทั้งหมด 704 คณะ ลดลดจากจำนวน 945 คณะในปี พ.ศ. 2557

พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์อนุญาตให้พนักงานรัฐวิสาหกิจจัดตั้งสหภาพแรงงานได้ โดยรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งอาจมีสหภาพแรงงานได้จำนวนสูงสุดหนึ่งแห่ง แต่ไม่มีกฎหมายฉบับใดอนุญาตให้ข้าราชการพลเรือน รวมทั้งครูประจำโรงเรียนรัฐและเอกชน อาจารย์มหาวิทยาลัย ทหารและตำรวจจัดตั้งหรือจดทะเบียนสหภาพแรงงาน ข้าราชการพลเรือนอาจจัดตั้งและจดทะเบียนสมาคมได้ แต่สมาคมเหล่านี้ไม่มีสิทธิในการเจรจาต่อรองแบบรวมกลุ่ม กฎหมายห้ามการนัดหยุดงานหรือปิดกิจการในหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ รวมถึงองค์กรที่ให้บริการที่จำเป็นต่อการสาธารณสุขและความปลอดภัยสาธารณะ กฎหมายให้คำนิยามคำว่า “งานบริการที่จำเป็น” ไว้กว้างกว่าคำนิยามที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยบริการที่จำเป็นดังกล่าวรวมถึงโทรคมนาคมและระบบขนส่งมวลชน

แรงงานต่างด้าวไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ขึ้นทะเบียนแล้วหรือผู้ที่ไม่มีเอกสารอย่างถูกกฎหมาย ไม่มีสิทธิจัดตั้งสหภาพแรงงานหรือดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ในสหภาพแรงงาน แรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนแล้วอาจเข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานที่จัดตั้งขึ้นและบริหารโดยคนไทย อย่างไรก็ตาม การเข้าเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานของสมาชิกที่เป็นแรงงานต่างด้าวยังคงจำกัดอยู่ในวงแคบเนื่องจากอุปสรรคทางด้านภาษา การขาดความเข้าใจสิทธิของตนภายใต้กฎหมาย การเปลี่ยนงานบ่อยครั้ง กฎระเบียบของสหภาพแรงงานที่เข้มงวด และการแบ่งแยกแรงงานไทยจากแรงงานต่างด้าวด้วยภาคอุตสาหกรรมและเขตพื้นที่ (โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ชายฝั่งทะเล) ส่วนแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนไม่มีสิทธิจัดตั้งสหภาพแรงงานหรือเข้าร่วมเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน

สมาชิกสหภาพแรงงานไม่ได้รับความคุ้มครองโดยกฎหมายจากการกระทำของนายจ้างที่เป็นการต่อต้านสหภาพแรงงานจนกว่าสหภาพแรงงานนั้นจะได้รับการจดทะเบียน ในการจดทะเบียนสหภาพแรงงานจะต้องมีลูกจ้างอย่างน้อย 10 คนร่วมกันยื่นรายชื่อของตนต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน ซึ่งจะดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องของรายชื่อและสถานภาพการจ้างงานกับนายจ้าง กระบวนการดังกล่าวอาจทำให้ลูกจ้างเหล่านี้เสี่ยงต่อการถูกตอบโต้จากนายจ้างก่อนที่กระบวนการจดทะเบียนจะแล้วเสร็จ นอกจากนี้ กฎหมายกำหนดว่า เจ้าหน้าที่สหภาพแรงงานต้องเป็นลูกจ้างเต็มเวลาของบริษัทหรือรัฐวิสาหกิจ และห้ามมีเจ้าหน้าที่ที่ทำงานประจำกับสหภาพแรงงาน สหภาพแรงงานหนึ่งแห่งสามารถมีที่ปรึกษาได้ไม่เกินสองคน โดยที่ปรึกษาจะต้องขึ้นทะเบียนกับกระทรวงแรงงาน

หากสมาชิกภาพของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจใดมีจำนวนลดลงต่ำกว่าร้อยละ 25 ของจำนวนลูกจ้างทั้งหมด สหภาพแรงงานนั้นจะต้องถูกยุบภายใต้ระเบียบว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ นักกฎหมายด้านแรงงานกล่าวอ้างว่ามีบริษัทที่แสวงประโยชน์จากเงื่อนไขที่กำหนดสัดส่วนดังกล่าวโดยการจ้างลูกจ้างชั่วคราวจำนวนมาก เพื่อหลีกเลี่ยงการรวมตัวกันจัดตั้งสหภาพแรงงานของลูกจ้าง

กฎหมายให้ความคุ้มครองลูกจ้างและสมาชิกสหภาพจากการดำเนินคดีอาญาหรือทางแพ่งอันเนื่องมาจากการเข้าร่วมการเจรจาต่อรองกับนายจ้าง ริเริ่มการนัดหยุดงาน จัดชุมนุมประท้วง และอธิบายข้อขัดแย้งด้านแรงงานต่อสาธารณชน แต่กฎหมายไม่ให้ความคุ้มครองลูกจ้างและสมาชิกสหภาพในความผิดทางอาญาว่าด้วยการก่ออันตรายต่อสาธารณชน หรือเป็นเหตุให้เกิดการสูญเสียชีวิตหรือบาดเจ็บ ความเสียหายต่อทรัพย์สิน และความเสียหายต่อชื่อเสียง กฎหมายไม่ได้ห้ามการฟ้องร้องคดีที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเซ็นเซอร์ คุกคาม และปิดปากกระบอกเสียงของลูกจ้างโดยใช้การสู้คดีความทางกฎหมายที่มีค่าใช้จ่ายสูงเป็นเครื่องมือ บริษัทเอกชนฟ้องร้องผู้นำสหภาพในฐานหมิ่นประมาททั้งทางแพ่งและทางอาญาจากข้อความที่ใช้ขณะเจรจาต่อรองแบบเป็นกลุ่มและชุมนุมประท้วง หรือฟ้องร้องนักเคลื่อนไหวทางด้านสิทธิมนุษยชนที่ออกมาปกป้องสิทธิของแรงงานต่างด้าว ซึ่งถ้าไม่ทำเช่นนั้น แรงงานต่างด้าวต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายประการในการรวมตัวกันก่อตั้งสหภาพและสมาคม นักปกป้องสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า การใช้การฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาททางอาญาและการดำเนินการอื่น ๆ เพื่อเป็นเครื่องมืออำพรางการตอบโต้ เป็นการขัดขวางการใช้เสรีภาพในการแสดงออกและการรวมกลุ่ม

ลูกจ้างสามารถยื่นเรื่องร้องทุกข์ต่อศาลได้หากถูกไล่ออกจากงานอย่างไม่เป็นธรรม ผู้นำสหภาพที่ถูกเลิกจ้างไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามไม่อาจเป็นตัวแทนของสมาชิกสหภาพได้อีกต่อไป

กฎหมายกำหนดให้นายจ้างเริ่มการเจรจาภายในสามวันนับจากที่สหภาพยื่นข้อเรียกร้อง กฎหมายไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นการเจรจาต่อรองโดยหลักสุจริต และไม่ได้กำหนดบทลงโทษนายจ้างที่ปฏิเสธที่จะเจรจาอีกหลังจากที่ได้มีการเจรจาในครั้งแรกแล้ว หากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ ทางการจะถือว่าเป็นกรณีพิพาทด้านแรงงานและเริ่มการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท กฎหมายอนุญาตให้ลูกจ้างประท้วงหยุดงานได้หากทั้งฝ่ายนายจ้างและลูกจ้างไม่สามารถหาทางออกร่วมกันได้ ลูกจ้างจะต้องยื่นจดหมายแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนการนัดหยุดงาน รัฐบาลมีอำนาจในการจำกัดการชุมนุมประท้วงของภาคเอกชนในกรณีที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดผลกระทบทางลบอย่างร้ายแรงต่อประชาชนโดยรวม อย่างไรก็ตามรัฐบาลไม่ได้ใช้อำนาจดังกล่าวเลยในช่วงปีที่ผ่านมา มีรายงานว่า นายจ้างบางรายเลือกที่จะยื่นข้อเรียกร้องตอบโต้ข้อเรียกร้องของฝ่ายสหภาพแทนที่จะเจรจาต่อรอง ซึ่งทำให้กระบวนการเจรจาต่อรองซับซ้อนยากที่จะแก้ไขมากขึ้น

กฎหมายห้ามการเลิกจ้างผู้ที่ชุมนุมประท้วงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่อนุญาตให้นายจ้างมีสิทธิที่จะจ้างคนหรือพนักงานรับเหมาค่าแรงมาทำงานแทนผู้ประท้วงได้ ข้อกฎหมายกำหนดไว้ว่า ต้องมีการเรียกประชุมใหญ่สมาชิกสหภาพแรงงานเพื่อขอความเห็นชอบจากที่ประชุมเรื่องที่จะนัดหยุดงาน โดยต้องได้รับความเห็นชอบไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของสมาชิกทั้งหมด ข้อกฎหมายดังกล่าวจำกัดการประท้วงนัดหยุดงานในภาคเอกชน กฎหมายกำหนดโทษ เช่น การจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับ 20,000 บาท (560 เหรียญสหรัฐ) หรือทั้งจำทั้งปรับ ต่อผู้ที่ทำการประท้วงหยุดงานในองค์กรรัฐวิสาหกิจ

การบังคับใช้กฎหมายแรงงานมีความไม่สม่ำเสมอ และในบางกรณี ก็ไม่มีประสิทธิผลในการให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างที่เข้าร่วมกิจกรรมของสหภาพแรงงาน นายจ้างอาจเลิกจ้างลูกจ้างด้วยเหตุผลใดก็ได้ยกเว้นการเข้าร่วมกิจกรรมของสหภาพ โดยมีเงื่อนไขว่านายจ้างจะต้องจ่ายเงินชดเชย มีรายงานกรณีที่นายจ้างเลือกปฏิบัติต่อลูกจ้างที่พยายามจัดตั้งสหภาพแรงงาน ทั้งกรณีที่ลูกจ้างถูกเลิกจ้างก่อนและหลังจดทะเบียนสหภาพ ในบางกรณี ศาลแรงงานสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างเข้าทำงานตามเดิมหากพิสูจน์แล้วว่าถูกเลิกจ้างอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน รายงานว่า ในปี พ.ศ. 2558 มีการยื่นเรื่องร้องเรียนกรณีถูกเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรมต่อศาลแรงงานทั้งหมด 9,695 กรณี แต่ก็ไม่ใช่ทุกกรณีที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมของสหภาพ นอกจากนี้ยังมีความไม่สม่ำเสมอในการบังคับใช้กฎหมายในเรื่องการจ่ายเงินชดเชยและการรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานในกรณีที่พบว่าลูกจ้างถูกเลิกจ้างอย่างไม่เหมาะสม กฎหมายกำหนดว่าการละเมิดแรงงานมีโทษจำคุกสูงสุดหกเดือนหรือปรับ 10,000 บาท (280 เหรียญสหรัฐ) หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ทางการนำบทลงโทษนี้มาบังคับใช้น้อยมาก นักคุ้มครองสิทธิมนุษยชนรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตรวจสอบด้านแรงงานในทุกระดับพยายามไกล่เกลี่ยกรณีอยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้จะมีหลักฐานบ่งชี้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิแรงงานที่ต้องได้รับโทษตามกฎหมายก็ตาม

พนักงานยื่นเรื่องร้องทุกข์ผ่านหลายช่องทาง รวมถึงผ่านทางคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไตรภาคีซึ่งวินิจฉัยปัญหาที่เกี่ยวกับแรงงานสัมพันธ์โดยรวม โดยมีศาลแรงงานพิจารณาทบทวนคำวินิจฉัยอีกชั้นหนึ่ง พนักงานอาจร้องทุกข์ได้โดยผ่านคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กระทรวงแรงงานอาจส่งกรณีพิพาทด้านแรงงานในภาคเอกชนที่ไม่สามารถยุติได้ด้วยการเจรจาหรือการไกล่เกลี่ยโดยสมัครใจหรือที่อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจหรือความสงบเรียบร้อยของประเทศไปให้คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์เพื่อระงับข้อพิพาท คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์มีหน้าที่แก้ไขปัญหาที่พนักงานรัฐวิสาหกิจร้องทุกข์ ในช่วงปี พ.ศ. 2558 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานรายงานว่า มีข้อขัดแย้งอย่างไม่เป็นทางการระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง 147 กรณี ซึ่งเกี่ยวข้องกับพนักงาน 106,699 คน ลดลงจากปี พ.ศ. 2557 (ซึ่งมีข้อขัดแย้งอย่างไม่เป็นทางการ 149 กรณีและเกี่ยวข้องกับพนักงาน 122,474 คน) ในจำนวนนี้ ข้อพิพาท 121 กรณีคลี่คลายโดยไม่มีการนัดหยุดงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานส่งต่อข้อพิพาท 10 กรณีไปยังศาลแรงงาน ถอนข้อพิพาทหกกรณีหลังจากการเจรจา และมีห้ากรณีที่ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการโดยกรมแรงงาน ข้อพิพาทที่ส่งต่อไปยังศาลแรงงานส่วนใหญ่จัดอยู่ในกรณีการไล่ออกอย่างไม่เป็นธรรม (ร้อยละ 46) การละเมิดกฎหมายคุ้มครองแรงงาน (ร้อยละ 27) การผิดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการทำงาน (ร้อยละ 16) และการกระทำมิชอบโดยนายจ้างและลูกจ้าง (ร้อยละ 4) มีรายงานเพียงไม่กี่กรณีเรื่องการละเมิดกฎหมายประกันสังคมและกฎหมายกองทุนเงินทดแทน

มีรายงานว่า นายจ้างใช้กลวิธีหลากหลายรูปแบบเพื่อทำให้การรวมตัวกันของสหภาพแรงงานและความพยายามในการเจรจาต่อรองแบบกลุ่มของลูกจ้างอ่อนแอลง ซึ่งรวมถึงการให้พนักงานรับเหมาค่าแรงปฏิบัติงานแทนพนักงานที่นัดหยุดงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่กฎหมายอนุญาตให้ทำได้ ข่มขู่ผู้นำสหภาพและพนักงานที่ร่วมนัดหยุดงาน กดดันให้แกนนำสหภาพและพนักงานที่นัดหยุดงานต้องลาออก ห้ามพนักงานชุมนุมประท้วงภายในบริเวณสำนักงานหรือในเขตนิคมอุตสาหกรรม และยุยงปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงเพื่อขอหมายศาลสั่งห้ามการประท้วง ภายใต้การปกครองประเทศของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ มีรายงานว่า พนักงานที่นัดหยุดงานถูกข่มขู่ด้วยข้อหาบุกรุกหรือละเมิดกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ และในบางกรณีมีเจ้าหน้าที่ทหารเข้าร่วมในขั้นตอนการเจรจาข้อพิพาทด้วย นายจ้างบางรายยังย้ายแกนนำสหภาพและพนักงานที่นัดหยุดงานไปยังตำแหน่งที่ไม่น่าพึงใจกว่าหรือตำแหน่งบริหาร(ที่ไม่มีอำนาจการบริหารจริง)เพื่อขัดขวางไม่ให้พวกเขานำกิจกรรมของสหภาพได้ มีรายงานว่า นายจ้างบางรายสนับสนุนให้มีการก่อตั้งสหภาพมาแข่งขันกับสหภาพเดิมที่ปฏิเสธไม่ยอมรับข้อตกลงที่นายจ้างเสนอ

คำนิยามทางกฎหมายที่ระบุว่า สมาชิกสหภาพแรงงานต้องเป็น “ลูกจ้างที่ทำงานกับนายจ้างคนเดียวกัน” หรือ “ลูกจ้างที่ทำงานประเภทเดียวกัน” ประกอบกับข้อกำหนดที่ให้สหภาพต้องเป็นตัวแทนของพนักงานอย่างน้อยหนึ่งในห้าของจำนวนพนักงานทั้งหมดเป็นอุปสรรคต่อความพยายามในการร่วมเจรจาต่อรองแบบกลุ่ม ทั้งนี้ เนื่องจากกฎหมายกำหนดว่าลูกจ้างต้องอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันจึงจะสามารถก่อตั้งเป็นสหภาพได้ และกฎหมายจัดประเภทให้คนที่รับเหมาเป็นคนงานตามสัญญาจ้างอยู่ในประเภท “อุตสาหกรรมบริการ” ซึ่งต่างจาก “อุตสาหกรรมการผลิต” ดังนั้น คนเหล่านี้จึงไม่อาจเข้าร่วมเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานอุตสาหกรรมได้ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำงานในโรงงานเดียวกันกับพนักงานที่มีสิทธิเป็นสมาชิกสหภาพก็ตาม ข้อจำกัดดังกล่าวในการเข้าร่วมสหภาพกับพนักงานที่ทำงานเต็มเวลามักจะลดความสามารถเจรจาต่อรองในฐานะกลุ่มใหญ่กว่าเดิม กฎหมายจำกัดการเข้าอยู่ในเครือเดียวกันระหว่างสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจกับสหภาพแรงงานภาคเอกชนเนื่องจากสหภาพสองประเภทดังกล่าวอยู่ภายใต้อำนาจของกฎหมายคนละฉบับ นักเคลื่อนไหวด้านแรงงานอ้างว่า ข้อกำหนดที่ว่าการประท้วงต้องได้รับความเห็นชอบจากร้อยละ 50 ของสมาชิกสหภาพทั้งหมดนั้นเป็นอุปสรรคสำคัญในการนัดหยุดงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

ข. การห้ามการบังคับใช้แรงงาน

กฎหมายห้ามการบังคับใช้แรงงานทุกรูปแบบ ยกเว้นในกรณีที่ประเทศตกอยู่ในภาวะฉุกเฉิน เกิดสงคราม มีการประกาศกฎอัยการศึก หรือเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติสาธารณะที่กำลังจะเกิดขึ้น

เมื่อเดือนพฤษภาคม สภานิติบัญญัติแห่งชาติมีมติเห็นชอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ ซึ่งเร่งกระบวนการพิจารณาคดีสำหรับคดีค้ามนุษย์ รวมถึงคดีที่เกี่ยวข้องกับแรงงานบังคับให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวอนุญาตให้มีการสืบพยานก่อนฟ้องคดี และการถ่ายทอดภาพและเสียงในลักษณะการประชุมทางจอภาพได้สำหรับเหยื่อและพยานที่เป็นชาวต่างชาติ รวมทั้งยืดอายุความออกไปโดยไม่มีกำหนด คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ แรงงานเด็ก แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย และการประมงผิดกฎหมายเริ่มออกกฎหมายและกฎระเบียบใหม่หลายฉบับเพื่อควบคุมภาคส่วนที่มีข้อกังวลด้านแรงงานที่สำคัญ บทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2558 กำหนดบทลงโทษจำคุกสี่ปีจนถึงตลอดชีวิตและปรับ 80,000 ถึง 400,000 บาท (2,240 ถึง 11,200 เหรียญสหรัฐ) พระราชบัญญัติการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมยังให้ความคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสและให้อำนาจแก่ทางการในการสั่งระงับการดำเนินธุรกิจชั่วคราวหรือระงับใบอนุญาตการทำธุรกิจและพาหนะที่เกี่ยวข้องในการค้ามนุษย์ อย่างไรก็ดี การขาดความชัดเจนของกฎหมายและข้อปฏิบัติเกี่ยวกับนิยามของคำว่าแรงงานบังคับและแรงงานขัดหนี้เป็นอุปสรรคต่อความพยายามของรัฐบาลในการระบุเหยื่อการค้ามนุษย์เพื่อใช้เป็นแรงงานและดำเนินคดีกับผู้ที่บังคับใช้แรงงาน

ในปี พ.ศ. 2558 รัฐบาลรายงานว่าได้สอบสวนคดีการค้ามนุษย์ 317 คดี (เพิ่มขึ้นจาก 280 คดีในปี พ.ศ. 2557) และดำเนินคดีกับนักค้ามนุษย์ 242 ราย (เพิ่มขึ้นจาก 155 รายในปี พ.ศ. 2557) ซึ่งนำไปสู่การลงโทษนักค้ามนุษย์ 241 ราย (เพิ่มขึ้นจาก 104 รายในปี พ.ศ. 2557) รัฐบาลรายงานว่ามีคดี 72 คดี (เพิ่มขึ้นจาก 58 คดีในปี พ.ศ. 2557) ที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการบังคับใช้แรงงาน และได้ดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้แรงงานไปแล้ว 33 คดี ซึ่งมีผู้ต้องสงสัยบังคับใช้แรงงาน 71 ราย ในจำนวนนักค้ามนุษย์ทั้งหมดที่ต้องโทษ ร้อยละ 64 ได้รับโทษจำคุกมากกว่าห้าปี (เทียบกับร้อยละ 29 ใน พ.ศ.2557) ร้อยละ 84 (เทียบกับร้อยละ 64 ใน พ.ศ. 2557)ได้รับโทษจำคุกมากกว่าสามปี รัฐบาลจัดตั้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ภายใต้ศาลอาญา และหน่วยงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ภายใต้สำนักงานอัยการสูงสุด

ยังคงมีรายงานเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมการทำงานที่กดขี่ซึ่งรวมถึงการบังคับใช้แรงงานในหลายภาคส่วน ได้แก่ ภาคเกษตรกรรม ภาคการประมง โรงงานแปรรูปอาหารและอาหารทะเล และงานรับใช้ตามบ้าน แรงงานในภาคส่วนดังกล่าวมักเป็นแรงงานอพยพ ซึ่งในหลายกรณีไม่มีเอกสารประจำตัว ภาคการ     แปรรูปอาหารทะเลมีแรงงานอพยพประมาณร้อยละ 90 ของแรงงานทั้งหมด ในปี พ.ศ.2558 รัฐบาลสืบสวนสอบสวนเจ้าของเรือ กัปตันเรือ และนายหน้าจัดหาแรงงานที่เกี่ยวพันกับคดีลักลอบค้าแรงงานในอุตสาหกรรมการประมงทั้งหมด 41 คดี ซึ่งเกี่ยวข้องกับเหยื่อค้าแรงงาน 110 ราย และมีเรือประมงถูกยึดทั้งหมด 31 ลำ มีคดีกว่ายี่สิบคดีที่เกี่ยวข้องกับเรือที่คนไทยเป็นเจ้าของและดำเนินกิจการบนเกาะอัมบน และเกาะเบนจิน่าในประเทศอินโดนีเซียซึ่งมีลูกเรือประมงจากทั้งประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านที่ตกเป็นเหยื่อ ทางการออกหมายจับผู้ต้องสงสัยทั้งหมด 98 ราย ในจำนวนนี้มี 19 รายที่ถูกจับกุมไปแล้ว ณ เดือนตุลาคม ศาลอาญาแผนกคดีค้ามนุษย์ซึ่งเป็นแผนกที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาใหม่มีคำพิพากษาจำคุกนายหน้าจัดหาแรงงานหนึ่งรายเป็นเวลา 12.5 ปี และมีคดีที่ยังอยู่ระหว่างกระบวนการดำเนินคดีตามกฎหมายอีก 19 คดี

ในปี พ.ศ. 2558 ซึ่งเป็นปีที่มีข้อมูลล่าสุด รัฐบาลระบุว่ามีเหยื่อค้ามนุษย์ 720 ราย เทียบกับ 595 รายในปี พ.ศ. 2557 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รายงานว่าได้ช่วยเหลือเหยื่อ 471 รายที่สถานพักพิงของรัฐบาล (เทียบกับ 303 รายในปี พ.ศ.2557) ในจำนวนนี้รวมเหยื่อที่ถูกบังคับใช้แรงงาน 320 ราย

ผู้สังเกตการณ์ภาคประชาสังคมวิจารณ์รัฐบาลเกี่ยวกับการบริหารจัดการแรงงานอพยพต่างด้าวและผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารซึ่งเป็นกลุ่มอ่อนแอและอาจตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ การขาดสถานภาพที่ถูกต้องตามกฎหมาย ความสามารถในการจัดการ ความไม่รู้ภาษาไทย และการขาดความเข้าใจในกฎหมายของไทย ตลอดจนข้อจำกัดทางด้านภาษาและกลไกการร้องเรียนที่ไม่มีประสิทธิผลสำหรับผู้ที่พูดภาษาไทยไม่ได้ ทำให้ผู้อพยพจำนวนมากจากประเทศพม่า กัมพูชา และลาวมีความเสี่ยงต่อการถูกกดขี่มากยิ่งขึ้น

แรงงานต่างด้าวมักมีหนี้สินจำนวนมากติดค้างกับนายหน้าจัดหาแรงงานนอกระบบหรือเจ้าหนี้ในท้องถิ่น โดยบางรายคิดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดถึงร้อยละ 20 การปฏิบัติเช่นนี้ทำให้แรงงานต่างด้าวจำนวนมากต้องตกอยู่ในสภาพแรงงานขัดหนี้ ผู้คุ้มครองแรงงานต่างด้าวรายงานว่า นายจ้าง ผู้รับจ้างช่วง และนายหน้า (ทั้งในและนอกระบบ) คิดค่าธรรมเนียมสูงมากจากแรงงานในการดำเนินการด้านจัดหาเอกสาร เช่น การขนส่งหนังสือเดินทางจากประเทศต้นทาง ซึ่งทำให้แรงงานต้องเสี่ยงต่อการตกอยู่ในสภาพแรงงานขัดหนี้มากยิ่งขึ้น มีรายงานว่า นายจ้างบางรายยึดเอกสารการขึ้นทะเบียน ใบอนุญาตทำงาน และหนังสือเดินทางจากแรงงานต่างด้าวไว้ เป็นผลให้แรงงานเหล่านี้ถูกจำกัดการเคลื่อนไหวและเสี่ยงต่อการถูกบังคับใช้แรงงานโดยไม่มีสิทธิเรียกร้องใด ๆ ทางกฎหมาย ใบอนุญาตทำงานจำกัดให้แรงงานสามารถทำงานให้แก่นายจ้างเพียงรายเดียวและมีขั้นตอนการเปลี่ยนนายจ้างที่ยุ่งยาก ก่อให้เกิดความยากลำบากแก่แรงงานที่จะหาทางรอดพ้นจากนายจ้างที่ไร้ศีลธรรม นอกจากนี้ กฎหมายจำกัดขอบเขตการประกอบอาชีพของบุคคลต่างด้าว แรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายมักจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมหรือเงินใต้โต๊ะแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกส่งตัวกลับประเทศ

มีรายงานว่า แรงงานลูกเรือประมงบางรายไม่สามารถกลับเข้าฝั่งได้ และถูกนายจ้างบังคับให้ทำงานในสภาพที่โหดร้าย ได้รับค่าแรงต่ำ และได้รับการคุ้มครองและสวัสดิการที่จำกัดมาก กฎกระทรวงภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานกำหนดให้ลูกจ้างบนเรือประมงต้องได้รับค่าแรงเป็นประจำ ได้วันหยุดพักผ่อน และต้องรายงานต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบด้านแรงงานอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง พระราชกำหนด   การประมง พ.ศ. 2558 กำหนดบทลงโทษ ซึ่งรวมถึงโทษปรับ หรือการยกเลิกใบอนุญาตประกอบการต่อเรือประมงที่ละเมิดกฎหมายคุ้มครองแรงงานหรือจ้างแรงงานต่างด้าวที่ไม่มีเอกสารประจำตัว องค์กรทางด้านสิทธิมนุษยชนแรงงานอพยพรายงานว่า สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการตรวจสอบเรือประมงให้ได้อย่างมีประสิทธิผลคือ การขาดแคลนล่าม การใช้เทคนิคตรวจสอบที่ไม่ได้ผล และการที่เจ้าหน้าที่รัฐขาดความเข้าใจกฎหมายและแนวปฏิบัติที่ควบคุมเรือประมง

กรุณาอ่าน รายงานว่าด้วยการค้ามนุษย์ ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกอบด้วยที่ www.state.gov/j/tip/rls/tiprpt/. 

ค. การห้ามใช้แรงงานเด็กและเกณฑ์อายุต่ำสุดของการจ้างงาน 

กฎหมายกำหนดหลักการการจ้างงานเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี และห้ามการจ้างงานเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี กฎหมายกำหนดห้ามนายจ้างสั่งให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีทำงานล่วงเวลาหรือทำงานในวันหยุด และห้ามสั่งให้ทำงานระหว่าง 22.00 น. ถึง 6.00 น. โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงแรงงานล่วงหน้า

กฎหมายห้ามการว่าจ้างเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีให้ทำงานที่มีอันตราย ซึ่งรวมถึงงานใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำเครื่องใช้โลหะ สารเคมีอันตราย วัสดุมีพิษ กัมมันตรังสี และอุณหภูมิหรือระดับเสียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย การสัมผัสกับจุลินทรีย์ที่เป็นพิษ การใช้อุปกรณ์ที่มีน้ำหนักมาก การทำงานใต้ดินหรือใต้น้ำ รวมทั้งการทำงานในสถานที่ที่ต้องห้าม เช่น โรงฆ่าสัตว์ บ่อนการพนัน สถานที่ที่มีการจำหน่ายแอลกอฮอล์ หรือในสถานอาบอบนวด กฎหมายให้ความคุ้มครองอย่างจำกัดแก่แรงงานเด็กในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ เช่น ภาคเกษตรกรรม และอนุญาตให้มีการออกกฎกระทรวงเพื่อใช้กับภาคเศรษฐกิจที่กฎหมายครอบคลุมไม่ถึง

ในปี พ.ศ. 2557 กระทรวงแรงงานเพิ่มอายุขั้นต่ำในการทำงานภาคการเกษตรจาก 13 ปี เป็น 15 ปี และการทำงานบนเรือประมงในทะเลจาก 16 ปี เป็น 18 ปี ในเดือนมกราคม กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานห้ามจ้างเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีทำงานในโรงงานและสถานประกอบการแปรรูปอาหารทะล กฎหมายไม่ได้ระบุจำนวนชั่วโมงสูงสุดที่เด็กอายุระหว่าง 15 ถึง 17 ปีสามารถทำงานในภาคเกษตรหรืองานรับใช้ตามบ้านได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

รัฐบาลได้ให้ความเห็นชอบแผนระยะที่สองของนโยบายและแผนระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่จะขจัดการใช้แรงงานเด็กภายในประเทศภายในปี พ.ศ. 2563 แผนดังกล่าวรวมแผนปฏิบัติงานระยะสามปีเพื่อดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ นอกจากนี้ รัฐบาลมีความพยายามที่จะออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแสวงหาผลประโยชน์ทางเพศเชิงพาณิชย์จากเด็กให้มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้นโดยมีการแก้ไขปรับปรุงบทลงโทษผู้กระทำผิดฐานผลิต แจกจ่าย และครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็ก

โทษสูงสุดสำหรับผู้ฝ่าฝืนกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับแรงงานเด็กคือ โทษจำคุกหนึ่งปี หรือโทษปรับสูงสุด 200,000 บาท (5,600 เหรียญสหรัฐ) หรือทั้งจำทั้งปรับ สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงานรายงานว่า มีเด็กอายุ 15-17 ปี จำนวน 49,263 คนทำงานอย่างเป็นทางการและมีชื่ออยู่ในระบบประกันสังคมในปี พ.ศ.2557 ซึ่งเป็นปีที่มีข้อมูลล่าสุด ตัวเลขประมาณการรวมจำนวนแรงงานเด็ก ทั้งแรงงานที่ถูกต้องและไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ยังคงมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเมื่อรวมแรงงานเด็กในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการซึ่งรวมถึงผู้อพยพผิดกฎหมายด้วย

ในเดือนสิงหาคม กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติเผยแพร่รายงานฉบับแรกของประเทศว่าด้วยเรื่องเด็กที่ทำงาน ผลสำรวจในรายงานระบุว่า สภาพการทำงานที่เป็นอันตรายสำหรับเด็กที่พบบ่อยคือ การยกของหนัก อุณหภูมิหรือระดับเสียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย สารเคมีอันตราย กัมมันตรังสี เช่น ยาฆ่าแมลง หรือดอกไม้ไฟ เด็กที่ทำงานส่วนใหญ่ทำงานในภาคเกษตรกรรม ป่าไม้ ประมง ธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง โรงแรม ร้านอาหาร และภาคการผลิต รัฐบาลเริ่มความร่วมมือกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาการสำรวจข้อมูลในอนาคตให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล

กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการบังคับใช้กฎหมายและนโยบายว่าด้วยเรื่องแรงงานเด็ก ในปี พ.ศ.2558 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเพิ่มความพยายามในการตรวจสอบสถานที่ทำงานในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการและตรวจพบการละเมิดแรงงานเด็กในหลายลักษณะ เช่น ภาคการบริการอาหารและเครื่องดื่ม ก่อสร้าง การผลิต และแปรรูปอาหารทะเล สืบเนื่องจากการตรวจสอบดังกล่าว เจ้าหน้าที่รัฐสั่งให้เลิกจ้างเด็กจำนวน 22 คนที่ถูกจ้างงานอย่างผิดอย่างกฎหมาย และตรวจพบการละเมิดกฎหมาย เช่น การจ้างแรงงานเด็กที่อายุต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด จำนวนชั่วโมงทำงานไม่เป็นไปตามกฎหมาย และไม่แจ้งกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเมื่อมีการจ้างงานเด็กอายุ 15-17 ปี โทษสูงสุดสำหรับผู้ฝ่าฝืนที่จ้างเด็กทำงานในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตราย หรือในสถานประกอบการที่กฎหมายห้ามภายใต้พระราชบัญฐัติคุ้มครองแรงงานคือ โทษจำคุกหนึ่งปี หรือปรับ 200,000 บาท (5,600 เหรียญสหรัฐ) หรือทั้งจำทั้งปรับ แม้โดยทั่วไปทางการจะลงโทษปรับผู้ละเมิดกฎหมายคุ้มครองแรงงาน แต่บทลงโทษที่ได้รับมักน้อยกว่าบทลงโทษสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด กระทรวงแรงงานดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยการออกกฎกระทรวงที่กำหนดให้ใช้บทลงโทษสูงสุดต่อผู้ละเมิดกฎหมายคุ้มครองแรงงานเด็ก ผู้สังเกตการณ์ตั้งข้อสังเกตว่ามีปัจจัยหลายประการที่ทำให้การบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยแรงงานเด็กมีประสิทธิผลจำกัด ได้แก่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจสอบของกระทรวงแรงงานมีจำนวนไม่เพียงพอ ขาดข้อมูลหรือระบบที่เชื่อมโยงทั่วประเทศในการประเมินสภาพแรงงานเด็ก และวิธีการตรวจสอบที่ไม่มีประสิทธิผลในการจัดการกับภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการหรือสถานที่ประกอบการที่เข้าถึงได้ยาก (เช่น บ้านพักส่วนบุคคล สถานประกอบธุรกิจครอบครัวขนาดเล็ก ไร่นา และเรือประมง) นอกจากนี้ การขาดความตระหนักรู้เกี่ยวกับกฎหมายแรงงานเด็กและมาตรฐานสำหรับการทำงานที่เป็นอันตรายสำหรับเด็ก ได้แก่ อันตรายจากยาฆ่าแมลง ความร้อน และเครื่องจักร เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ยังมีเด็กทำงานอยู่ โดยเฉพาะในภาคการเกษตรและธุรกิจครอบครัว

นายจ้างบางรายจ้างเด็กขึ้นชกมวยไทยโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน มีนายจ้างใช้แรงงานเด็กในการผลิตเสื้อผ้า เพาะปลูกและเก็บเกี่ยวอ้อย และแปรรูปกุ้ง ปลา และอ้อย เด็กที่ทำงานส่วนใหญ่ในพื้นที่เมืองใช้แรงงานในภาคการบริการ ได้แก่ ปั๊มน้ำมัน อุตสาหกรรมขนาดย่อมและร้านอาหาร เด็กจำนวนหนึ่งถูกแสวงหาประโยชน์ทางเพศอันเป็นส่วนหนึ่งของการค้าบริการทางเพศพาณิชย์ นายจ้างบังคับเด็กต่างด้าวทำงานประมง ผลิตเสื้อผ้า ทำงานในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารและอาหารทะเล ทำงานรับใช้บ้าน และขอทานตามถนน เด็กเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากพม่า กัมพูชา และลาว และอยู่ในประเทศอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกแสวงประโยชน์มากขึ้น

มีรายงานว่า มีเด็กถูกซื้อ ถูกเช่า หรือ ถูกบังคับ “ยืม” จากบิดามารดาหรือผู้ปกครองเพื่อให้มาขอทานกับผู้หญิงตามถนน นอกจากนี้ รายงานยังชี้ว่า มีบิดามารดาจำนวนหนึ่งโดยเฉพาะบิดามารดาที่เป็นบุคคลต่างด้าวส่งบุตรให้ไปขอทานระหว่างปิดภาคเรียน ช่วงเย็นหลังเลิกเรียน หรือช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เพื่อช่วยหารายได้ให้ครอบครัว พระราชบัญญัติควบคุมการขอทานฉบับปรับปรุงซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนกรกฎาคม เพิ่มการคุ้มครองและการช่วยเหลือแก่ผู้ทำการขอทาน และห้ามการใช้ จ้าง วาน สนับสนุน   ยุยงส่งเสริมผู้อื่นให้ทำการขอทาน

การใช้แรงงานเด็กในโรงงานขนาดใหญ่กว่าที่เน้นการผลิตเพื่อส่งออกและโรงงานแปรรูปอาหารและอาหารทะเลในหลายระดับจะเห็นชัดน้อยกว่าแต่ยังคงมีรายงานอยู่ มีรายงานว่า เด็กที่ทำงานบางคนไม่มีเอกสารประจำตัวและไม่มีสัญญาว่าจ้าง หรือทำหนังสือเดินทางหรือบัตรประจำตัวคนต่างด้าวจากทางการโดยระบุอายุที่เป็นเท็จ แม้จะมีกฎหมายคุ้มครอง แต่เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปียังอยู่ในสภาพการทำงานที่เป็นอันตราย เช่น ทำงานกับไฟ ความร้อนหรือแสงแดดแรง ในสถานที่ที่มีความชื้น กลิ่นเหม็นและสกปรก ทำงานเป็นระยะเวลานาน (มากกว่าแปดชั่วโมงต่อวัน) สถานที่ทำงานมีฝุ่นละออง เครื่องมือเป็นอันตราย สภาพแวดล้อมมีอุณหูมิสูงหรือต่ำมาก และทำงานกลางคืน

ยังคงมีรายงานว่า ผู้ก่อความไม่สงบแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงเกณฑ์เด็กมาร่วมก่อการด้วยการให้ลอบวางเพลิงหรือทำหน้าที่เป็นหน่วยสอดแนมหรือหาข่าว หรือให้ร่วมกองกำลังอาสาป้องกันหมู่บ้าน

เด็กต่างด้าวสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนของรัฐได้ กระทรวงศึกษาธิการรายงานว่า มีนักเรียนที่ไม่ใช่สัญชาติไทยลงทะเบียนเรียนในโรงเรียนของรัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 38 จากจำนวน 99,933 คนในปี พ.ศ. 2555 เป็น 138,724 คนในปี พ.ศ.2558 เด็กนักเรียนต่างด้าวต้องเผชิญกับอุปสรรคนานาประการในการเรียน เช่น ข้อจำกัดทางด้านภาษา การโยกย้ายถิ่นที่อยู่บ่อยครั้งเนื่องจากบิดามารดารับจ้างทำงานตามฤดูกาล การขาดความตระหนักถึงสิทธิที่ตนมีในการเข้าถึงการศึกษาที่จัดโดยรัฐบาล การไม่ค่อยได้รับการยอมรับทางวัฒนธรรม และการขาดการเชื่อมโยงกับระบบการศึกษาในประเทศบ้านเกิดของตน เนื่องด้วยข้อจำกัดเหล่านี้ บิดามารดาจึงมักส่งบุตรเข้าเรียนในศูนย์การเรียนรู้เพื่อผู้อพยพที่ดำเนินการโดยองค์การนอกภาครัฐ

กรุณาอ่าน รายงานผลการสำรวจรูปแบบการใช้แรงงานเด็กที่เลวร้ายที่สุด ของกระทรวงแรงงานประกอบด้วยที่ www.dol.gov/ilab/reports/child-labor/findings/

ง. การเลือกปฏิบัติเกี่ยวกับการจ้างงานหรืออาชีพ

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กฎหมายแรงงานไม่ได้ระบุห้ามการเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเชื้อชาติ เพศกำเนิด เพศภาวะ ภาวะทุพพลภาพ ภาษา ความคิดเห็นทางการเมือง ศาสนา อายุ ถิ่นกำเนิดทางสังคม ถิ่นกำเนิดทางด้านชาติหรือสัญชาติ วิถีทางเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศภาวะ สถานะการติดเชื้อเอชไอวีหรือโรคติดต่ออื่น ๆ หรือสถานภาพทางสังคม เมื่อเดือนกันยายน มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2557 ซึ่งกำหนดโทษจำคุกสูงสุดหกเดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท (560 เหรียญสหรัฐ) หรือทั้งจำทั้งปรับผู้กระทำผิดว่าด้วยการเลือกปฏิบัติเนื่องจากเพศ หรืออัตลักษณ์ทางเพศ ซึ่งรวมถึงการตัดสินใจจ้างงานด้วย นอกจากนี้ มีกฎหมายอีกฉบับที่กำหนดให้สถานประกอบการที่มีพนักงานมากกว่า 100 คนจ้างพนักงานที่มีภาวะทุพพลภาพอย่างน้อยหนึ่งคนต่อสัดส่วนพนักงานทุก 100 คน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่ได้บังคับใช้ข้อกฎหมายนี้อย่างมีประสิทธิผลในทุกกรณี

การเลือกปฏิบัติเกี่ยวกับการจ้างงานเกิดขึ้นกับบุคคลกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ แรงงานต่างด้าว และผู้หญิง (ดู หมวด 7.จ.) ระเบียบข้อบังคับทางราชการกำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าแรงและผลประโยชน์แก่ลูกจ้างที่ทำงานเหมือนกันอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่คำนึงว่าเป็นหญิงหรือชาย อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงยังได้รับค่าจ้างต่ำกว่าผู้ชายในการทำงานที่เท่ากันในหลายภาคเศรษฐกิจ นายจ้างหลายรายไม่อนุญาตให้ผู้หญิงทำงานในทุกอุตสาหกรรมเหมือนผู้ชาย   นอกจากนี้ ยังมีการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลทุพพลภาพในเรื่องการจ้างงาน การเข้าถึงงาน และการอบรม จากข้อมูลถึงปี พ.ศ. 2557 รัฐบาลรายงานว่า มีสถานประกอบการ 9,454 แห่งจาก 12,479 แห่ง (ประมาณร้อยละ 76) ปฏิบัติตามข้อบังคับในพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ

แม้จะยังมีความไม่ชัดเจนว่าพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ.2557 มีผลที่นำไปใช้ได้จริงอย่างไร แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศในประเทศไทยมักเผชิญกับการถูกเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน ส่วนหนึ่งเพราะอคติของคนทั่วไปและการไม่มีกฎหมายและนโยบายมารองรับเรื่องการเลือกปฏิบัติ จากรายงานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศฉบับปี พ.ศ. 2557 พบว่ามีการเลือกปฏิบัติในทุกขั้นตอนของกระบวนการการจ้างงาน ไม่ว่าจะเป็นการอบรมให้ความรู้ การเข้าถึงงาน โอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ประกันสังคม และผลประโยชน์ของคู่สมรส

มีรายงานว่า พนักงานที่เป็นบุคคลข้ามเพศต้องเผชิญกับข้อจำกัดหลายประการมากกว่าที่กล่าวมาข้างต้น และทำงานจำกัดอยู่ในสาขาอาชีพเพียงไม่กี่สาขา เช่น ช่างเสริมสวย และผู้ให้ความบันเทิง

จ. สภาพการทำงานที่ยอมรับได้

อัตราค่าแรงรายวันขั้นต่ำของประเทศยังคงอยู่ที่ 300 บาท (8.40 เหรียญสหรัฐ) ทางการคำนวณเส้นความยากจนครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2557 อยู่ที่ 2,647 บาท (74 เหรียญสหรัฐ) ต่อเดือน ในเดือนพฤษภาคม ทางการประกาศค่าแรงมาตรฐานสำหรับแรงงานฝีมืออยู่ระหว่าง 340 ถึง 550 บาท (10-15 เหรียญสหรัฐ) ต่อวัน ทั้งนี้กฎหมายว่าด้วยเรื่องค่าแรงขั้นต่ำไม่ได้ครอบคลุมถึงแรงงานในภาคเกษตรกรรมตามฤดูกาลหรืองานรับใช้ตามบ้าน

กฎหมายกำหนดเวลาทำงานสูงสุดต่อสัปดาห์ คือ 48 ชั่วโมง หรือแปดชั่วโมงต่อวันเป็นเวลาหกวัน และทำงานล่วงเวลาได้ไม่เกิน 36 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ลูกจ้างที่ต้องทำงาน “เสี่ยงอันตราย” เช่น ในอุตสาหกรรมเคมี อุตสาหกรรมเหมืองแร่หรืออุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ต้องเกี่ยวข้องกับเครื่องจักรหนัก ห้ามทำงานเกิน 42 ชั่วโมงต่อสัปดาห์และห้ามทำงานล่วงเวลา พนักงานในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีห้ามทำงานเกิน 12 ชั่วโมงต่อหนึ่งวัน และทำงานต่อเนื่องได้ไม่เกิน 28 วัน ตามกฎหมายแล้วนายจ้างไม่อาจเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการจ้างงานโดยไม่ได้รับการยินยอมจากลูกจ้าง เว้นเสียแต่ว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อลูกจ้าง

กฎหมายกำหนดให้สถานประกอบการต้องมีความปลอดภัยและถูกสุขอนามัย ซึ่งรวมถึงธุรกิจที่ทำที่บ้าน นอกจากนี้ ยังห้ามสตรีมีครรภ์และเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีทำงานในสภาพแวดล้อมที่เป็นอันตราย (ตามรายละเอียดที่ระบุไว้ในกฎกระทรวง) กฎหมายอนุญาตให้หญิงตั้งครรภ์นำใบรับรองแพทย์มายื่นขอเปลี่ยนแปลงหน้าที่รับผิดชอบทั้งก่อนและหลังคลอดบุตร กฎหมายยังกำหนดให้นายจ้างแจ้งลูกจ้างถึงสภาพการทำงานที่เป็นอันตรายตั้งแต่ก่อนจ้างงาน พนักงานไม่มีสิทธิ์พาตัวเองออกจากสถานการณ์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือความปลอดภัยโดยไม่เกิดความเสี่ยงต่อหน้าที่การงาน

กฎหมายคุ้มครองแรงงานไม่ได้ครอบคลุมทุกภาคส่วนอย่างเท่าเทียมกัน ตัวอย่างเช่น กฎกระทรวงให้ความคุ้มครองบางประการแก่แรงงานที่ทำงานรับใช้ตามบ้านในเรื่องเกี่ยวกับวันหยุด วันลาป่วย อายุขั้นต่ำ และการจ่ายค่าแรง แต่ไม่ได้กล่าวถึงค่าแรงขั้นต่ำ ชั่วโมงทำงานปกติ หรือการลาคลอด อัตราค่าแรงขั้นต่ำและระบบประกันสังคมไม่ครอบคลุมถึงแรงงานในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการและงานตามฤดูกาล เช่น เกษตรกรรม เป็นต้น แม้ว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้านมีผลบังคับใช้ในปี พ.ศ.2554 แต่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานยังไม่ได้ออกระเบียบว่าด้วยค่าแรง สภาพการทำงาน และงานเสี่ยงอันตรายที่ต้องห้ามสำหรับผู้รับงานไปทำที่บ้าน

กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมีหน้าที่ตรวจสอบว่านายจ้างปฏิบัติตามข้อกำหนดว่าด้วยค่าแรงขั้นต่ำในภาคแรงงานที่เป็นทางการ ตลอดจนตรวจสอบชั่วโมงทำงาน เวลาพักผ่อน วันหยุดและวันลาป่วย และการจ่ายค่าล่วงเวลา อีกทั้ง ยังบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับแรงงานสัมพันธ์ และความปลอดภัยและ อาชีวอนามัยในการทำงาน กฎหมายกำหนดโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท (2,800 เหรียญสหรัฐ) และจำคุกไม่เกินหกเดือนหากนายจ้างไม่จ่ายค่าแรงขั้นต่ำตามที่กำหนด อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยค่าแรงขั้นต่ำนี้ยังมีความไม่คงเส้นคงวาอยู่ โทษสูงสุดของการฝ่าฝืนข้อบังคับด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยคือ จำคุกไม่เกินหนึ่งปีและปรับไม่เกิน 400,000 บาท (11,200 เหรียญสหรัฐ) ในปี พ.ศ. 2558 มีสถานประกอบการประมาณ 350,961 แห่ง มีลูกจ้างรวมกว่า 8.4 ล้านคน การประเมินนี้ไม่ได้รวมถึงสถานประกอบการอย่างไม่เป็นทางการ เช่น ไร่นาของครอบครัวและธุรกิจที่ทำที่บ้าน     กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเพียง 592 คนทั่วประเทศ จึงไม่เพียงพอต่อการบังคับใช้กฎหมายแรงงาน

พนักงานตรวจสอบของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้ดำเนินการตรวจสอบสถานประกอบการ 44,859 แห่ง ซึ่งมีลูกจ้างราว 1.6 ล้านคนในช่วงปี พ.ศ. 2558 และพบว่ามี 663 แห่งที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน จึงมีการออกคำสั่ง 624 ฉบับ ลงโทษปรับพนักงานเก้าราย และมีนายจ้าง 30 แห่งที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาทางอาญา มีการตรวจสอบสถานประกอบการในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยส่วนใหญ่มุ่งเน้นภาคธุรกิจการค้าปลีกและค้าส่ง (ร้อยละ 37) และภาคการผลิต (ร้อยละ 22) มีการตรวจสอบสถานประกอบการในภาคเศรษฐกิจที่เป็นทางการในสัดส่วนที่น้อยกว่า เช่น ธุรกิจก่อสร้าง (ร้อยละ 6) และผู้ประกอบการด้านเกษตรกรรม (ร้อยละ 2) การฝ่าฝืนกฎหมายที่พบส่วนใหญ่คือ นายจ้างไม่จ่ายค่าแรงตามค่าแรงขั้นต่ำ ค่าล่วงเวลา และค่าจ้างสำหรับวันหยุด ไม่จัดให้มีวันหยุดตามเทศกาลหรือวันลาพักร้อนประจำปี ไม่กำหนดหรือแจ้งกฎระเบียบการทำงาน และไม่จัดเก็บข้อมูลการจ่ายค่าแรงและจำนวนชั่วโมงทำงาน ในปี พ.ศ.2558 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้รับข้อเรียกร้อง 594 กรณีจากพนักงาน 502,976 คน และกรณีพิพาทแรงงาน 114 กรณีซึ่งเกี่ยวข้องกับพนักงาน 104,654 คน ปัจจัยที่ส่งผลให้การตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ไม่มีประสิทธิผล ได้แก่ จำนวนพนักงานตรวจสอบที่จำกัด การจัดสัมภาษณ์พนักงานที่สถานที่ทำงาน วิธีการตรวจสอบที่อิงจากเอกสารเป็นหลัก และการขาดแคลนล่ามร่วมลงพื้นที่กับทีมตรวจสอบ

ในด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน เมื่อปี พ.ศ. 2558 กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานตรวจสอบสถานประกอบการ 16,538 แห่งซึ่งมีลูกจ้าง 946,621 คน และพบว่า มีสถานประกอบการ 1,312 แห่ง (ร้อยละ 8) ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบว่าด้วยสุขภาพและความปลอดภัย โดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการไม่จัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลความปลอดภัย ปัญหาเครื่องจักร ปั้นจั่นและหม้อน้ำ การตรวจสุขภาพ ตลอดจนระดับความร้อน แสงและเสียงไม่เหมาะสมในพื้นที่ก่อสร้าง กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานระบุว่า อัตราการฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยของพนักงานพบสูงสุดในอุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจค้าปลีกและค้าส่ง อุตสาหกรรมการก่อสร้าง อุตสาหกรรมโรงแรมและร้านอาหาร การฝ่าฝืนกฎหมายส่วนใหญ่ได้รับการแก้ไขหลังจากที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานออกคำสั่งให้บริษัทดำเนินการแก้ไขแล้ว อย่างไรก็ดี พนักงานฝ่ายตรวจสอบแรงงานฟ้องร้องดำเนินคดีอย่างน้อย 189 คดีหลังจากพบว่านายจ้างไม่ดำเนินการแก้ไขหรือชำระค่าปรับตามที่กำหนด

การเยียวยาพนักงานที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางอุตสาหกรรมมักไม่ทันการและไม่เพียงพอ มีคำพิพากษาจากศาลไม่มากนัก และมีเพียงไม่กี่กรณีที่ผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการที่เป็นฝ่ายแพ้คดี แต่ยังคงมีคดีอื่น ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า ศาลมีอำนาจตามกฎหมายที่จะสั่งให้มีการชดเชยแก่พนักงานที่ได้รับบาดเจ็บ องค์การนอกภาครัฐรายงานหลายกรณีที่รัฐบาลปฏิเสธการจ่ายค่าชดเชยอุบัติเหตุแก่บุคคลต่างด้าวที่จดทะเบียนแล้วเพราะยังไม่ผ่านกระบวนการพิสูจน์สัญชาติ เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2558 ศาลปกครองสูงสุดตัดสินเพิกถอนกฎระเบียบของสำนักงานประกันสังคมที่ศาลเห็นว่าเป็นการกระทำขัดกับกฎหมายและเลือกปฏิบัติต่อแรงงานต่างด้าวและการเข้าถึงกองทุนเงินทดแทนของแรงงานต่างด้าว ศาลพิพากษาว่า แรงงานต่างด้าวที่จดทะเบียนแล้วและได้รับอนุญาตให้ทำงานชั่วคราวในประเทศควรมีสิทธิได้รับเงินชดเชยเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

แรงงานบางส่วนได้รับค่าแรงต่ำกว่าอัตราค่าแรงขั้นต่ำ โดยเฉพาะแรงงานในต่างจังหวัดและในสถานประกอบการที่มีลูกจ้างน้อยกว่า 50 คน สหภาพแรงงานประมาณการว่า มีลูกจ้างราวร้อยละ 30 ได้รับค่าแรงต่ำกว่าอัตราค่าแรงขั้นต่ำ ถึงแม้ว่าการคุ้มครองแรงงานจะครอบคลุมแรงงานที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน แต่นายจ้างหลายรายไม่ได้จ่ายค่าจ้างตามอัตราค่าแรงขั้นต่ำแก่แรงงานต่างด้าวที่ไม่มีเอกสารทั้งคนที่เป็นแรงงานไร้ฝีมือหรือกึ่งไร้ฝืมือ ยังคงมีช่องว่างด้านรายได้เป็นอย่างมากระหว่างการจ้างงานอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ โดยแรงงานนอกภาคเกษตรกรรมได้รับค่าจ้างมากกว่าแรงงานในภาคเกษตรกรรมโดยเฉลี่ยสามเท่า มีรายงานว่า ร้อยละ 55 ของแรงงานทำงานอยู่ในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ เช่น เกษตร ป่าไม้ และประมงโดยได้รับความคุ้มครองอย่างจำกัดภายใต้กฎหมายแรงงานและระบบประกันสังคม

แม้ว่าจะไม่มีสถิติอย่างเป็นทางการของจำนวนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายในประเทศ แหล่งข้อมูลของรัฐและองค์การนอกภาครัฐได้ประมาณตัวเลขแรงงานต่างด้าวทั้งที่เป็นแรงงานที่ขึ้นทะเบียนและแรงงานผิดกฎหมายไว้ที่ 2.5 ถึง 3.9 ล้านคน

ถึงแม้จะมีความพยายามจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวและการต่ออายุใบอนุญาตทำงาน แต่แรงงานต่างด้าวโดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีเอกสารประจำตัวยังคงไม่ได้รับการคุ้มครองหลายประการอย่างที่แรงงานพลเมืองไทยได้รับ และยังคงเป็นกลุ่มที่เปราะบางและไม่สามารถพึ่งพาความช่วยเหลือภายใต้กฎหมายได้ องค์การนอกภาครัฐรายงานว่า สภาพแวดล้อมการทำงานของทั้งแรงงานต่างด้าวที่มีเอกสารประจำตัวและแรงงานที่ไม่มีเอกสารไม่ค่อยดี แรงงานต่างด้าวจำนวนมากทำงานในโรงงานใกล้จุดผ่านแดน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีรายงานว่ามีการละเมิดกฎหมายแรงงานอยู่เป็นประจำ ในเดือนกุมภาพันธ์ รัฐบาลออกนโยบายอนุญาตให้แรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนสามารถต่ออายุใบอนุญาตทำงานได้ทุก ๆ สองปีเป็นเวลาสูงสุดแปดปีโดยที่ไม่ต้องเดินทางกลับประเทศ นโยบายดังกล่าวลดค่าใช้จ่ายและภาระของแรงงานต่างด้าวลงและเพิ่มแรงจูงใจให้พวกเขาอยากขึ้นทะเบียนมากขึ้น กระทรวงแรงงานจ้างคนที่พูดได้สองภาษามาเป็นพนักงานประจำรับโทรศัพท์สายด่วนเก้าคนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 จำนวนครั้งที่แรงงานต่างด้าวโทรศัพท์เข้ามาที่บริการสายด่วนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในปี พ.ศ. 2558 สายด่วนกระทรวงแรงงานรับโทรศัพท์ทั้งหมด 105,505 สาย ในจำนวนนี้ 79,494 สายมาจากคนไทย และ 26,011 สายมาจากชาวต่างชาติ ชาวต่างชาติที่โทรศัพท์มาส่วนใหญ่ถามข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว การเปลี่ยนนายจ้างหรือสถานที่ทำงาน และการต่ออายุใบอนุญาต มีเพียงไม่กี่สายที่โทรศัพท์เข้ามาร้องเรียนเกี่ยวกับการฝ่าฝืนกฎหมายแรงงาน

บริษัทที่ว่าจ้างแรงงานต่างด้าวหักค่าแรงของแรงงานต่างด้าวอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อชดใช้ค่าใช้จ่ายในการลักลอบเข้าเมือง การลงทะเบียนแรงงานต่างด้าว การจัดทำใบอนุญาตทำงาน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แรงงานยังรายงานการกระทำฝ่าฝืนกฎหมายหลายประการของบริษัทที่ทำสัญญา ซึ่งรวมถึงการไม่จ่ายค่าแรงล่วงเวลาในวันหยุด ไม่จัดหาอุปกรณ์ เครื่องแบบพนักงาน หรือน้ำดื่มให้อย่างเพียงพอ หรือไม่จ่ายค่าแรงขั้นต่ำรายวันเมื่อทำงานน้อยกว่าแปดชั่วโมง อีกทั้ง รายงานว่า มีการหักค่าแรงเมื่อลาป่วย และติดสินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้ปล่อยปะละเลยแรงงานที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง

นอกจากนี้ รัฐบาลกำหนดให้นายจ้างในอุตสาหกรรมประมงจัดทำบันทึกอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับลูกจ้างและบันทึกเงินค่าจ้างของลูกจ้าง ตลอดจนใช้สัญญาจ้างงานที่ได้มาตรฐานซึ่งระบุค่าแรง ชั่วโมงทำงาน ผลประโยชน์และสวัสดิการขณะทำงานบนเรือ กฎกระทรวงว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล พ.ศ. 2557 กำหนดให้ค่าแรงของแรงงานภาคการประมง (เงินเดือนขั้นพื้นฐานรวมผลประโยชน์)เท่ากับแรงงานขั้นต่ำของประเทศ อีกทั้ง กฎหมายยังกำหนดช่วงเวลาพัก รวมถึงวันลาพักผ่อนและวันหยุดประจำปี และให้นายจ้างนำลูกจ้างไปรายงานตัวที่กระทรวงแรงงานอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง นอกจากนี้ ยังกำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายเงินอย่างน้อยร้อยละ 50 ของค่าแรงรายวันให้แก่ลูกจ้างตลอดช่วงที่ลูกจ้างอยู่นอกประเทศและไม่สามารถกลับเข้าประเทศได้ กฎหมายฉบับใหม่นี้ยังกำหนดให้นายจ้างเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทางของลูกจ้างที่เดินทางกลับมายังพื้นที่จัดหาแรงงานหากเรือประมงใช้งานไม่ได้ หรือหากลูกจ้างไม่สามารถทำงานได้ หรือหากนายจ้างเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกสัญญาว่าจ้างก่อนสัญญาจะสิ้นสุดลงหรือเมื่อสัญญาสิ้นสุดลง อย่างไรก็ตาม แรงงานในอุตสาหกรรมประมงยังคงขาดการเข้าถึงสวัสดิการประกันสังคมและมักไม่ได้รับเงินชดเชยกรณีอุบัติเหตุ รัฐบาลได้จัดตั้งศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า-ออก 28 แห่งเพื่อตรวจสอบเอกสาร เฝ้าสังเกต และตรวจตราเรือประมงและแรงงานประมงเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายในภาคประมงเป็นไปอย่างมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น ณ สิ้นเดือนกันยายนทีมงานจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำโดยกองทัพเรือตรวจแรงงานประมงทั้งสิ้น 13,504 คนบนเรือประมง 999 ลำ พบว่ามีเรือประมงที่กระทำผิด 25 ลำ ในจำนวนนี้ ทางการได้ออกคำสั่งและลงโทษนายจ้าง 23 ราย และดำเนินคดีฟ้องร้องนายจ้างสองราย

ก่อนหน้านี้ทางการกำหนดให้สำนักงานจัดหางานที่จัดหาแรงงานต่างด้าวมาทำงานในประเทศต้องขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ณ สิ้นเดือนกันยายน มีสำนักงานจัดหางานที่จัดหาแรงงานต่างด้าวมาทำงานในประเทศจดทะเบียนกับกรมการจัดหางานแล้ว 274 แห่ง พระราชกำหนดว่าด้วยการนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศมีผลบังคับใช้ในเดือนสิงหาคม กำหนดให้นายหน้าจัดหาแรงงานต้องแจ้งข้อมูลเรื่องค่าจ้างและสวัสดิการให้แรงงานต่างด้าวทราบ และให้คิดค่าบริการในอัตราไม่เกินร้อยละ 25 ของค่าแรงเดือนแรก นายจ้างต้องเป็นผู้จ่ายค่าบริการ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปและกลับจากประเทศของลูกจ้าง และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นายหน้าจัดหาแรงงานต้องจ่ายค่าธรรมเนียม “การันตี” จำนวนห้าล้านบาท (140,000 เหรียญสหรัฐ) ให้กรมการจัดหางานใช้เป็นกองทุนทดแทนเพื่อช่วยเหลือแรงงานเมื่อจำเป็น

บริษัทนายหน้าจัดหาแรงงานใช้ “ระบบสัญญาจ้างเหมางาน” โดยคนงานจะเซ็นสัญญาเป็นรายปี กฎหมายกำหนดให้บริษัทต้องให้ “ผลประโยชน์และสวัสดิการอย่างยุติธรรมโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ” แก่คนงานที่ทำสัญญาเหมา ไม่ว่าคนงานที่ทำสัญญาเหมานี้จะถูกจ้างในลักษณะเป็นบริการภายนอกและได้รับค่าจ้างจากอีกบริษัทหนึ่งหรือไม่ก็ตาม กฎหมายถือว่า บริษัทที่ทำสัญญาเป็นนายจ้างเป็นนายจ้างโดยภาพรวม และตามกฎหมาย จะต้องจ่ายค่าจ้างและให้สวัสดิการแก่ลูกจ้างปกติและลูกจ้างที่ได้รับการว่าจ้างจากภายนอกอย่างเท่าเทียมกัน แม้คนงานที่ทำสัญญาเหมาจะทำงานประเภทเดียวกันกับคนงานที่ได้รับการว่าจ้างโดยตรง แต่พวกเขามักได้รับค่าจ้างน้อยกว่าและได้สวัสดิการพิเศษอื่น ๆ น้อยกว่าหรือไม่ได้เลย

องค์กรนอกภาครัฐตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าหนี้ในท้องถิ่นซึ่งส่วนมากเป็นเจ้าหนี้นอกระบบ ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยสูงเพื่อให้คนงานนำไปจ่ายค่าหัวคิวซึ่งบางครั้งอาจสูงถึง 500,000 บาท (14,000 เหรียญสหรัฐ) กรมการจัดหางานออกกฎจำกัดค่าธรรมเนียมสูงสุดในการจัดหางาน ทว่า การบังคับใช้ระเบียบดังกล่าวอย่างมีประสิทธิผลเป็นเรื่องยากและทำได้ไม่มากพอเนื่องจากแรงงานไม่เต็มใจให้ข้อมูลและขาดเอกสารหลักฐานทางกฎหมาย (ข้อตกลงการกู้ยืมเงิน หรือสัญญาการให้บริการหรือสัญญากู้ยืมเงินเป็นลายลักษณ์อักษร) เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการจัดหางานใต้ดิน กรมการจัดหางานกำกับดูแลสำนักงานจัดหางานสำหรับคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในไทยและสำหรับคนไทยไปทำงานที่ต่างประเทศ ในปี พ.ศ. 2558 กรมการจัดหางานพบว่ามีการดำเนินการโดยมิชอบในสำนักงานจัดหางานที่จดทะเบียนแล้ว 10 แห่ง ซึ่งทางการได้ระงับใบอนุญาตสำนักงานจัดหางานสามแห่งเป็นการชั่วคราวและยื่นฟ้องคดีอาญากับสำนักงานจัดหางานเจ็ดแห่ง นอกจากนี้ กรมการจัดหางานยังร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนสอบสวนเรื่องร้องเรียน 287 เรื่องจากแรงงานไทยที่ทำงานในต่างประเทศ สำนักงานจัดหางานที่แสวงหาผลประโยชน์จากพลเมืองไทยที่ทำงานในต่างประเทศคิดค่าธรรมเนียมการจัดหางานเป็นจำนวนเงินที่สูงและผิดกฎหมาย ซึ่งมักสูงเทียบเท่ากับรายได้ปีแรกและปีที่สองของการทำงานรวมกัน ตำรวจตั้งข้อหานายหน้าจัดหางานผิดกฎหมาย 68 รายฐานหลอกลวงผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงภายใต้พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน ซึ่งกำหนดบทลงโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 10 ปี และ/หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท (5,600 เหรียญสหรัฐ)

ในปี พ.ศ. 2557 ซึ่งเป็นปีที่มีข้อมูลล่าสุด มีรายงานการเจ็บป่วยและบาดเจ็บในสถานประกอบการ 100,234 ครั้ง ในจำนวนนี้ เป็นการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยเล็กน้อย 68,903 ครั้ง (ลาป่วยไม่เกินสามวัน) และการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยซึ่งทำให้ต้องลาป่วยเกินสามวัน (รวมทั้งการพิการถาวรและการเสียชีวิต)จำนวน 31,331 ครั้ง มีผู้สังเกตการณ์กล่าวว่า มีการรายงานอุบัติเหตุในภาคเศรษฐกิจไม่เป็นทางการและภาคเกษตรกรรม และอุบัติเหตุในกลุ่มแรงงานต่างด้าวน้อยกว่าความเป็นจริง นอกจากนี้ ผู้ที่เจ็บป่วยอันมีสาเหตุเกี่ยวข้องกับงานอาชีพมักไม่ค่อยได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์หรือเงินชดเชยจากนายจ้าง อีกทั้งมีแพทย์หรือคลินิกเฉพาะทางสำหรับโรคเหล่านี้จำนวนน้อยมาก แรงงานต่างด้าวและผู้อยู่ในอุปการะทั้งในภาคเศรษฐกิจที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการมีสิทธิซื้อประกันสุขภาพ แต่อย่างไรก็ตาม แรงงานต่างด้าวบางคนไม่ซื้อประกันสุขภาพเพราะไม่เข้าใจสิทธิของตนซึ่งเป็นผลมาจากอุปสรรคด้านภาษา การขาดแคลนบุคลากรด้านการดูแลสุขภาพ รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ โรงงานขนาดกลางและขนาดใหญ่มักดำเนินการตามมาตรฐานด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยที่ทางการกำหนด แต่การบังคับใช้มาตรฐานด้านความปลอดภัยโดยรวมยังไม่เข้มงวด ในภาคเศรษฐกิจที่ไม่เป็นทางการ การให้ความคุ้มครองด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยยังคงต่ำกว่ามาตรฐาน