บทความแสดงความคิดเห็นโดยเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ไมเคิล จอร์จ ดีซอมบรี

ในบทความแสดงความคิดเห็นที่เผยแพร่ในสื่อไทยเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2563 เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ไมเคิล จอร์จ ดีซอมบรี เรียกร้องให้สาธารณรัฐประชาชนจีนดูแลชีวิตให้ปลอดภัย ไม่ใช่รักษาหน้าของตนเอง

ครั้งหนึ่งมาร์ก ทเวน นักเขียนชาวอเมริกันผู้มีชื่อเสียง เคยกล่าวไว้ว่า “คำโกหกสามารถเดินทางได้ครึ่งค่อนโลก ขณะที่ความจริงเพิ่งจะเริ่มสวมรองเท้า” คำกล่าวนั้นเป็นจริงอย่างยิ่งในศตวรรษที่ 21 ในยุคสื่อสังคมของโลกปัจจุบัน น่าเศร้าที่เรามักจะเห็นข้อมูลเท็จไปถึงผู้รับสารในวงกว้างผ่านทางอินเทอร์เน็ตในเพียงชั่วพริบตาเดียวอยู่เสมอ แม้กระนั้น เราทั้งหลายควรระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อกระบอกเสียงของรัฐบาลเผยแพร่ข้อมูลทฤษฎีสมคบคิดที่ประสงค์ร้ายและเป็นภัย

เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 13 ที่ผ่านมา เมื่อโฆษกประจำกระทรวงการต่างประเทศของสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวหาสหรัฐอเมริกาอย่างผิดๆ ในเรื่องเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

ข้อเท็จจริงที่ว่าการระบาดเริ่มจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย และที่ว่ารัฐบาลจีนทราบเรื่องนั้นก่อนใคร เป็นความจริงอย่างไม่มีข้อสงสัย เป็นไปได้ว่าไวรัสโคโรนาแพร่กระจายอยู่ในเมืองอู่ฮั่นตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน และรายงานของสื่อที่น่าเชื่อถือระบุว่ารัฐบาลจีนทราบเกี่ยวกับการระบาดในเมืองนั้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายนปีที่แล้ว แพทย์ชาวจีนผู้ปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลพยายามรักษาผู้ป่วยกลุ่มแรกๆ อย่างแข็งขัน ขณะเดียวกันพวกเขาได้แจ้งเจ้าหน้าที่มณฑลและรัฐบาลจีนถึงการอุบัติของเชื้อไวรัส “คล้ายซาร์ส” ชนิดใหม่นี้

รัฐบาลจีนมีหน้าที่รับผิดชอบที่สำคัญในการให้ข้อมูลอย่างโปร่งใสและครบถ้วนเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญของจีนทราบ แม้กระนั้น ทางการจีนกลับแจ้งข้อมูลดังกล่าวกับองค์การอนามัยโลก (WHO) ล่าช้า จึงทำให้การรับมือในระดับโลกล่าช้าออกไปด้วย

และที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ ทางการจีนดำเนินการอย่างเข้มงวดในการตรวจสอบและลงโทษประชาชนชาวจีนผู้กล้าหาญที่พยายามจะบอกความจริง นายหลี่ เหวินเหลียง จักษุแพทย์ผู้ซึ่งติดเชื้อและเสียชีวิตจากไวรัสนี้ในเวลาต่อมา ถูกทางการหูเป่ยซักถามและบังคับให้ลงชื่อสารภาพว่าเขาปล่อย “ข่าวลือที่ไม่จริง” ทางการจีนทำทุกวิถีทางเพื่อปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในขณะที่แพทย์ชาวจีนพยายามช่วยชีวิตผู้คนที่กำลังเจ็บป่วยนับสิบ นับร้อย ไปจนถึงนับพันรายอย่างกล้าหาญในเวลานั้น

เมื่อเวลาอันมีค่าผ่านไปหลายสัปดาห์และความรุนแรงของการระบาดปรากฏเด่นชัด เจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนจึงเตรียมการอย่างครอบคลุมเพื่อปกป้องประชากรของตนเอง โดยเลือกที่จะให้ข้อมูลเช่น genetic sequence data เพียงบางส่วนเท่านั้น และยังคงบ่ายเบี่ยงเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจากนานาประเทศที่เสนอให้ความช่วยเหลือ ร้องขอการเข้าถึงและต้องการข้อมูลเพิ่มเติม

หากว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้ทำสิ่งที่ถูกต้องและแจ้งเตือนเกี่ยวกับโรคอุบัติใหม่ดังกล่าว ทั้งประเทศจีน และแน่นอนว่าทุกประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย อาจจะไม่ต้องเผชิญกับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับพลเมืองของเราดังเช่นทุกวันนี้

ประชาชนจีนทราบว่า รัฐบาลจีนเป็นสาเหตุทำให้เกิดการระบาดใหญ่ทั่วโลกในครั้งนี้ เมื่อสถานการณ์ทั้งหมดและข่าวเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายแพทย์หลี่เป็นที่ปรากฏ ประชาชนชาวจีนมีปฏิกิริยาในเรื่องนี้อย่างมาก แม้แต่แพลตฟอร์มสื่อสังคมของจีนที่ถูกรัฐบาลตรวจสอบโดยละเอียดอย่าง Weibo ก็เต็มไปด้วยหัวข้อที่สนทนากันอย่างกว้างขวาง เช่น “รัฐบาลอู่ฮั่นต้องขอโทษนายแพทย์หลี่ เหวินเหลียง” และ “เราต้องการเสรีภาพในการพูด” บทสนทนาเหล่านี้มีผู้เข้ามาดูหลายล้านคนก่อนที่จะถูกทางการจีนลบออกไป

แล้วตอนนี้เราจะทำอย่างไรกัน โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แพร่ระบาดจากอู่ฮั่นไปทั่วโลกอย่างไร้พรมแดน เราต้องพยายามเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณในการร่วมมือกันและแบ่งปันข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคนี้อย่างโปร่งใสในเวลาอันรวดเร็ว

ในประเทศไทย รัฐบาลสหรัฐอเมริกากำลังทำหน้าที่ของเราอยู่ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติ (CDC) สหรัฐฯ ซึ่งมีสำนักงานนอกประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดอยู่ที่กรุงเทพฯ ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขของไทยในการติดตามโรคติดเชื้อนี้ในประเทศไทยและให้การสนับสนุนด้านวิชาการอย่างต่อเนื่อง

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) มอบถุงมือ หน้ากากอนามัยและเสื้อกาวน์ หน้ากากพร้อมตัวกรองอนุภาค ถุงคลุมรองเท้าและแว่นตาป้องกันให้กับแพทย์และพยาบาลชาวไทยในเวลาที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ เราจะยังคงทำงานร่วมกับทางการไทยเพื่อกำจัดโรคนี้และปกป้องตนเองและคนที่เรารักไปด้วยกัน

ทว่า เมื่อเหตุการณ์วิกฤตบรรเทาลง เราควรพิจารณาถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด และประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความล้มเหลวในการร่วมมือกันระหว่างประเทศ ผลจากการปกปิดข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงที่สำคัญ ผลกระทบของการบ่ายเบี่ยงที่จะแบ่งปันข้อมูลในช่วงต้นของการระบาด และผลร้ายของการให้ข้อมูลที่บิดเบือนตลอดช่วงเวลาของการระบาดใหญ่ครั้งนี้

แท้จริงแล้ว วีรบุรุษและวีรสตรีของเรื่องนี้คือแพทย์และพยาบาล ซึ่งหลายคนอยู่ในประเทศจีน พวกเขาเสี่ยงชีวิตของตนเองเพื่อหยุดยั้งโรคที่เลวร้ายนี้ และเตือนให้ผู้คนทั่วโลกได้รู้ถึงอันตรายของมัน ข้อมูลที่ถูกต้องจำเป็นต้องได้รับการเผยแพร่อย่างไร้ข้อจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤต หน้าที่อย่างหนึ่งของรัฐบาลคือดูแลชีวิตให้ปลอดภัย ไม่ใช่รักษาหน้าของตนเอง