เอกสารข้อเท็จจริง: รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส ประกาศข้อริเริ่มใหม่ ๆ เพื่อเสริมสร้างพันธไมตรีสหรัฐฯ-ไทย และสนับสนุนอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

เอกสารข้อเท็จจริง: รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส ประกาศข้อริเริ่มใหม่ ๆ เพื่อเสริมสร้างพันธไมตรีสหรัฐฯ-ไทย และสนับสนุนอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

 

การเดินทางเยือนไทยของรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส จะเสริมสร้างความร่วมมือและพันธไมตรีเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและไทยต่อไปในอีกหลายปีข้างหน้า รองประธานาธิบดีแฮร์ริสกำลังยกระดับความร่วมมือทวิภาคีของเราในด้านต่าง ๆ อาทิ วิกฤตการณ์สภาพภูมิอากาศและการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด การสร้างความพร้อมปรับตัวรับสภาพภูมิอากาศ และการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน

สหรัฐฯ และไทยเน้นย้ำประโยชน์ที่เรามีร่วมกันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเชียงใต้ที่มั่งคั่งและเข้มแข็ง เรากำลังมุ่งสู่เป้าหมายทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและให้ความสำคัญกับสภาพภูมิอากาศ ผ่านกรอบความร่วมมือ Partnership for Global Infrastructure and Investment (PGII) และโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy Model) นอกจากนี้ เรายังเดินหน้ากระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับไทย ซึ่งรวมถึงการดำเนินงานผ่านกรอบเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (IPEF)

เพื่อแสดงถึงความทุ่มเทอันแน่วแน่ของสหรัฐฯ ต่อประเทศไทย ภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในภาพรวม รองประธานาธิบดีแฮร์ริสจึงประกาศข้อริเริ่มต่าง ๆ ดังนี้

การรับมือวิกฤตการณ์สภาพภูมิอากาศและขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด

สหรัฐฯ และไทยมุ่งมั่นเดินหน้านำการแก้ไขวิกฤตการณ์สภาพภูมิอากาศ ขณะที่เรายกระดับเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ เพื่อบรรลุเป้าหมายในการปล่อยแก๊สเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของเรา พร้อมทั้งปลดล็อกการเติบโตทางเศรษฐกิจ เรากำลังดำเนินการร่วมกันเพื่อลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก รวมถึงเสริมสร้างการปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

สหรัฐฯ และไทยจะขยายโอกาสการลงทุน ขับเคลื่อนนวัตกรรม และพัฒนาการดำรงชีพของประชากรผ่าน IPEF และหุ้นส่วนด้านพลังงานแม่น้ำโขงระหว่างญี่ปุ่น-สหรัฐฯ (Japan-U.S. Mekong Power Partnership) สหรัฐฯ ยังมีแผนที่จะให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคด้านการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน เพื่อพัฒนากรอบกฎหมายและระเบียบปฏิบัติในไทย ตลอดจนการดึงดูดการลงทุนภาคเอกชน

  • ข้อริเริ่ม Net Zero World: สหรัฐฯ ยินดีที่ไทยเข้าร่วมข้อริเริ่ม Net Zero World ซึ่งเป็นโครงการที่สหรัฐฯ เป็นผู้นำ และเปิดตัวไปในที่ประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP) ครั้งที่ 26 เพื่อให้องค์กรผู้เชี่ยวชาญจากรัฐบาลสหรัฐฯ องค์กรการกุศลอเมริกัน และชาติภาคีของเรา ได้มาเร่งรัดการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบพลังงานที่ปล่อยแก๊สเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เราจะจับมือกันเสริมสร้างความร่วมมือด้านยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์ และการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อช่วยไทยตอบโจทย์ความต้องการทางพลังงานของประเทศในอนาคต
  • ความร่วมมือในโครงการ FIRST Program: รองประธานาธิบดีเปิดตัวความร่วมมือด้านพลังงานสะอาดใหม่กับไทย เพื่อสร้างศักยภาพด้านการใช้เทคโนโลยีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ล้ำสมัยอย่างมั่นคงและปลอดภัย ภายใต้โครงการ S. Foundational Infrastructure for Responsible Use of Small Modular Reactor Technology (FIRST) Program ซึ่งต่อยอดจากความร่วมมือด้านพลังงานนิวเคลียร์ภาคพลเรือนเกือบ 50 ปีระหว่างสหรัฐฯ และไทย โครงการ FIRST จะมุ่งทำงานกับผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ แวดวงวิชาการ ภาคอุตสาหกรรม และห้องทดลองเชิงปฏิบัติการของไทย เพื่อหาหนทางบรรลุเป้าหมายของไทยในการปล่อยแก๊สเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ผ่านการใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กแบบโมดูลาร์ (SMR) ซึ่งได้มาตรฐานขั้นสูงสุดด้านความปลอดภัย ความมั่นคง และการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ โครงการจะช่วยไทยให้สามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์อันโดดเด่นของเครื่อง SMR ซึ่งผลิตพลังงานตลอดเวลาด้วยความเสถียร ส่งเสริมแหล่งพลังงานสะอาดอื่น ๆ ใช้พื้นที่น้อยในการติดตั้ง และบูรณาการองค์ประกอบด้านความปลอดภัยล้ำสมัย ความร่วมมือภายใต้โครงการ FIRST ยังจะกระชับความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ ส่งเสริมนวัตกรรมพลังงานสะอาด ตลอดจนยกระดับความร่วมมือด้านเทคนิคระหว่างเราสองประเทศ
  • การส่งเสริมภาคเกษตรกรรมให้ตัดสินใจโดยคำนึงถึงสภาพภูมิอากาศ: สหรัฐฯ จะมอบเงินทุน 5 ล้านเหรียญสหรัฐให้แก่โครงการ Food for Progress ซึ่งจะทำงานกับรัฐบาลและเกษตรกรไทยในการพัฒนาศูนย์สภาพภูมิอากาศระดับภูมิภาค (Regional Climate Hub) โดยศูนย์จะเสริมสร้างศักยภาพให้ภาคีภาคเอกชนและภาครัฐเข้าใจ ส่งเสริม และทำการตลาดสำหรับนวัตกรรมที่คำนึงถึงสภาพภูมิอากาศและบริการที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ คาดว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถเข้าถึงบุคคล 30,000 คนและพัฒนาแนวปฏิบัติด้านการบริหารจัดการพื้นที่ 24,000 เฮกตาร์
  • เวิร์กช็อป YSEALI Enviro-Tech Regional Workshop: ไมตรีระหว่างประชากรของเรายิ่งเป็นที่ประจักษ์ด้วยมีศิษย์เก่าชาวไทยกว่า 30,000 คนที่เคยเข้าร่วมการแลกเปลี่ยนซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นผู้ให้ทุนหรือสนับสนุน อันรวมไปถึงโครงการฟุลไบรท์, International Visitor Leadership Program (IVLP) และ Young Southeast Asian Leaders Initiative (YSEALI) และโครงการแลกเปลี่ยนอื่น ๆ ของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยโครงการ YSEALI มีศิษย์เก่าที่เป็นผู้นำในด้านต่าง ๆ ซึ่งสำคัญต่ออนาคตความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ไทย ได้แก่ การศึกษา ประชาธิปไตย การพัฒนาเศรษฐกิจ ฯลฯ เพื่อเสริมสร้างสายสัมพันธ์เหล่านี้ สหรัฐฯ วางแผนที่จะให้ทุนกับเวิร์กช็อป YSEALI Enviro-Tech Regional Workshop ซึ่งมุ่งฝึกอบรมเยาวชนด้านการบรรเทาและปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งรวมถึงการใช้เทคโนโลยีอุบัติใหม่ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ พลังงานสะอาด และเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อรับมือความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
  • การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่คำนึงถึงสภาพภูมิอากาศ เพิ่มการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และทำให้ห่วงโซ่อุปทานมั่นคง: องค์การการค้าและการพัฒนาของสหรัฐอเมริกา (USTDA) ประกาศคำมั่นที่จะมอบเงินทุนกว่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานที่คำนึงถึงสภาพภูมิอากาศ การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และห่วงโซ่อุปทานที่มั่นคงในไทย แผนใหม่เหล่านี้รวมไปถึงทุนสำหรับกระทรวงคมนาคมของไทย ซึ่งจะใช้ทุนกว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐในการเสริมสร้างศักยภาพให้ระบบโลจิสติกส์การคมนาคมและขนส่งสินค้าของไทย โครงการดังกล่าวจะเสริมสร้างเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานผ่านระเบียงคมนาคมสำคัญทั้งในประเทศและภูมิภาค อีกทั้งยังจะช่วยลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก ขับเคลื่อนเป้าหมายด้านโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการคมนาคมและด้านสภาพภูมิอากาศของไทย USTDA ยังประกาศสนับสนุนการสร้างโรงงานรีไซเคิลพลาสติก ซึ่งจะเสริมสร้างการดำเนินงานด้านการจัดการขยะของไทย ตลอดจนลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก โครงการนี้ยังจะช่วยยกระดับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของไทย เพื่อการเติบโตที่ทั่วถึงและยั่งยืน การดำเนินงานเหล่านี้จะต่อยอดจากงานที่ USTDA กำลังทำอยู่ในปัจจุบันร่วมกับภาคีภาคเอกชน เพื่อเพิ่มความช่วยเหลือทางเทคนิคด้านยานยนต์ไฟฟ้าและการกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่

การเสริมสร้างความร่วมมือทวิภาคีและการเติบโตทางเศรษฐกิจ: โทรคมนาคม สุขภาพโลก ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และการค้ามนุษย์

  • การส่งเสริมความปลอดภัยของเครือข่าย 5G: สถาบัน S. Telecommunications Training Institute จะจัดเวิร์กช็อประดับภูมิภาคในไทยภายใต้หัวข้อความเชื่อมโยงและการใช้แอปพลิเคชัน 5G โดยผู้เชี่ยวชาญจากนานาประเทศจะมาให้คำแนะนำแก่ผู้กำหนดนโยบายในไทยว่าด้วยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ที่ล้ำสมัยอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย นอกจากนี้ USTDA ยังจะต้อนรับคณะผู้แทนทางการค้า 5G Ecosystem Reverse Trade Mission ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่อาวุโสและผู้บริหารธุรกิจของไทยได้ทำความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีอเมริกัน และใช้กรณีศึกษาด้านเครือข่าย 5G ไร้สาย เพื่อเร่งรัดการเปิดใช้เครือข่าย 5G
  • ศูนย์มะเร็งระดับโลก: องค์การการค้าและการพัฒนาของสหรัฐฯ (USTDA) จะมอบทุนเกือบ 600,000 เหรียญสหรัฐเพื่อสนับสนุนศูนย์มะเร็งแห่งใหม่ในระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จังหวัดชลบุรี โดย USTDA จะช่วยพัฒนาเอกสารแผนแม่แบบสำหรับการจัดตั้งศูนย์ดังกล่าว ตั้งแต่รากฐานด้านการเศรษฐกิจและการเงิน ไปจนถึงรายการเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์โดยละเอียด ตลอดจนคุณสมบัติของบุคลากร โครงการดังกล่าวจะช่วยขับเคลื่อนเป้าประสงค์ของไทยที่จะช่วยให้ผู้คนหลายแสนคนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนล่างสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลระดับโลกสำหรับโรคมะเร็งได้
  • การเสริมสร้างความพร้อมรับมือของเครือข่ายข้อมูลสำคัญ: กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ จะยังคงช่วยเสริมสร้างศักยภาพและให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคแก่สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ซึ่งจะรวมไปถึงความช่วยเหลือเพิ่มเติมสำหรับศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ประเทศไทย (ไทยเซิร์ต) ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาแผนรับมือภัยคุกคามและตอบสนองต่อเหตุการณ์ผิดปกติทางไซเบอร์ (Cyber Incident Response Plan) ตลอดจนการส่งเสริมศูนย์ประสานงานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (National Coordination Center) เราวางแผนที่จะร่วมมือกับสกมช. เพื่อผลักดันให้ภาคเอกชนพัฒนาศูนย์ไทยเซิร์ตใหม่ ๆ สำหรับภาคส่วนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ การดำเนินงานเหล่านี้จะช่วยไทยให้พัฒนาระบบนิเวศทางไซเบอร์ที่มั่นคงและพร้อมรับมือยิ่งขึ้น
  • การส่งเสริมความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภาคเอกชน: กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ จะจับมือกับสกมช. เพื่อจัดการฝึกซ้อมแผนบนโต๊ะ ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ผู้กำหนดนโยบายด้านความมั่นคงของชาติ และผู้บริหารธุรกิจ มาร่วมฝึกซ้อมการวางแผนรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินสำหรับภัยคุกคามต่อความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่อาจเผชิญในอนาคต การฝึกดังกล่าวจะช่วยระบุด้านต่าง ๆ ที่อาจต้องการการลงทุนเพิ่มเติม และสร้างสะพานเชื่อมโยงผู้กำหนดนโยบายด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์และผู้บริหารธุรกิจจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลสำคัญ
  • การจัดตั้งโครงการเฝ้าระวังอาชญากรรมไซเบอร์: สำนักงานตำรวจสืบสวนกลางสหรัฐฯ (FBI) จะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่พิเศษด้านไซเบอร์ปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน ร่วมกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยจะมีการให้คำแนะนำและประเมินขีดความสามารถด้านการสืบสวนสอบสวนทางไซเบอร์ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และความต้องการด้านการพิสูจน์หลักฐานทางไซเบอร์
  • ความร่วมมือเพื่อปราบปรามการค้ามนุษย์: สหรัฐฯ และไทยมุ่งมั่นขจัดการค้ามนุษย์ สหรัฐฯ ตระหนักว่าไทยได้เพิ่มความพยายามต่อสู้กับการค้ามนุษย์ ส่งผลให้ได้รับการจัดอันดับอยู่ในกลุ่มที่ 2 ในรายงานการค้ามนุษย์ประจำปี พ.ศ. 2565 สหรัฐฯ จะยังคงทำงานร่วมกับไทยเพื่อยกระดับการต่อต้านการค้ามนุษย์ ด้วยทุนจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ องค์การยุติธรรมนานาชาติ (IJM) กำลังช่วยเหลือไทยคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ โดยการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ด่านหน้าให้บังคับใช้กฎหมายการค้ามนุษย์ของไทยซึ่งรวมไปถึงบทบัญญัติด้านการบังคับใช้แรงงาน

การสนับสนุนภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

สหรัฐฯ และไทยยืนยันความเป็นหุ้นส่วนของเราในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และเห็นพ้องที่จะกระชับความร่วมมือของเราเพื่อส่งเสริมการพัฒนาด้านเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง การเป็นผู้ประกอบการ การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม และความมั่นคงในรูปแบบใหม่ (non-traditional security)

การสนับสนุนชุมชนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

  • การสนับสนุนโครงการ Women Entrepreneurs – (WE) Inspire: สหรัฐฯ จะมอบเงินทุนกว่า 700,000 เหรียญสหรัฐเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการสตรีผ่านโครงการ WE Inspire ซึ่งสร้างทักษะความรู้ทางการเงิน การทำธุรกิจ และการสร้างเครือข่ายให้แก่สตรีชายขอบที่อาศัยอยู่ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ตลอดจนช่วยให้วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และขนาดย่อยที่มีสตรีเป็นเจ้าของได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ประกันภัยสำหรับรายย่อยและผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ ที่จะช่วยจัดลำดับความสำคัญของความจำเป็นด้านธุรกิจและสุขภาพ โครงการ WE Inspire ทำงานร่วมกับองค์กรการเงิน การประกันภัย และภาคีท้องถิ่นในประเทศลุ่มน้ำโขง เพื่อสร้างศักยภาพสตรีในการขยายธุรกิจ เสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และมีพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพที่ดี ซึ่งจะช่วยให้สามารถดูแลครอบครัวของตนได้
  • โครงการ Mekong One Health Innovation Program: สหรัฐฯ จะมอบเงินทุนกว่า 700,000 เหรียญสหรัฐให้แก่โครงการ Mekong One Health Innovation Program ซึ่งมีวัตถุประสงค์สนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างนักวิจัยชาวสหรัฐฯ และนักวิจัยในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงให้แน่นแฟ้นและยั่งยืนยิ่งขึ้น โดยสร้างเครือข่ายที่มีพลวัตเพื่อดำเนินโครงการวิจัยเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ผ่านแนวคิดสุขภาพหนึ่งเดียว (One Health) โครงการ Mekong One Health Innovation Program ช่วยเหลือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงในการออกแบบและดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับการระบุและตอบโต้โรคติดเชื้ออุบัติใหม่ หลังจากทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกันเพื่อเข้าถึงและใช้เครื่องมือด้านสุขภาพแล้ว ผู้เชี่ยวชาญและนักวิทยาศาสตร์ในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงจะได้รับเงินทุนและคำปรึกษาเพื่อดำเนินโครงการวิจัยของตนเอง
  • โครงการ Mekong NextGen Scientists: สหรัฐฯ ให้คำมั่นว่าจะให้เงินทุนกว่า 500,000 เหรียญแก่โครงการ Mekong NextGen Scientists ซึ่งสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนและความมั่นคงด้านน้ำทั่วลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ผ่านการสร้างศักยภาพและแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญรุ่นใหม่ โครงการนี้ให้ความสำคัญกับแนวทางใหม่ ๆ ในการรับมือความท้าทายซับซ้อนหลากหลายด้านซึ่งอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงเผชิญอยู่โดย 1) สนับสนุนทุนวิจัยระยะสั้นสำหรับนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่และผู้เชี่ยวชาญรุ่นใหม่ในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ซึ่งกำลังทำวิจัยที่สหรัฐฯ ให้ทุนอยู่ 2) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมและการฝึกอบรมระดับภูมิภาค เช่น Mekong Research Symposium และ 3) จัดให้มีการเข้าร่วมและนำเสนอผลงานในการประชุมระดับนานาชาติที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ โครงการยังเน้นการมีส่วนร่วมของนักวิทยาศาสตร์สตรีรุ่นใหม่ ซึ่งมักเผชิญกับอุปสรรคมากกว่านักวิทยาศาสตร์ชายในการรับโอกาสทางการศึกษาและการทำงาน
  • โครงการ Mekong-Mississippi Sister Rivers Partnership: สหรัฐฯ ให้คำมั่นว่าจะให้เงินทุน 500,000 เหรียญสหรัฐแก่โครงการ Mekong-Mississippi Sister Rivers Partnership ซึ่งสนับสนุนความร่วมมือข้ามพรมแดนผ่านทาง 1) การแบ่งปันกลยุทธ์และตัวอย่างตามประสบการณ์ของสหรัฐฯ และนานาชาติ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสาธารณชนได้มีส่วนร่วมโดยเกิดประสิทธิผลและโปร่งใส 2) การสร้างเจตนารมณ์ทางการเมืองเพื่อสนับสนุนแนวปฏิบัติที่ดีในการบริหารจัดการและอภิบาลลุ่มน้ำ 3) การส่งเสริมเครื่องมือและเทคนิคต่าง ๆ เพื่อการร่วมมือกันลดความขัดแย้งเกี่ยวกับแหล่งน้ำที่ใช้ร่วมกัน และ 4) การสร้างเสริมศักยภาพในการดำเนินการและจัดการเขื่อนแบบขั้นบันไดหรือความปลอดภัยของเขื่อน

การสร้างศักยภาพความมั่นคงในรูปแบบใหม่

  • การจัดการชายแดนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนล่าง เพื่อรับมือปัญหาการค้ายาเสพติดและสารตั้งต้น: แม้กลุ่มองค์กรอาชญากรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะขนย้ายยาเสพติดและสารเคมีตั้งต้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่การจับยึดสารเคมีควบคุมกลับคงอยู่ในระดับต่ำทั่วภูมิภาค สหรัฐฯ จะมอบเงินทุน 5 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อพัฒนาศักยภาพของประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนล่างด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่วางไว้อยู่ก่อนแล้วโดยสำนักงานประสานงานชายแดนด้านยาเสพติดและอาชญากรรม (Border Liaison Office) ที่สหประชาชาติสนับสนุน นอกจากนี้ โครงการยังจะส่งเสริมให้ผู้กำหนดนโยบายมีส่วนช่วยผลักดันการตอบสนองในระดับภูมิภาคต่อการค้ายาเสพติดสังเคราะห์ข้ามพรมแดน เพื่อให้แน่ใจว่าแนวทางมีความครอบคลุมและยั่งยืน
  • การเพิ่มประสิทธิภาพการติดตามทรัพย์สิน: สหรัฐฯ จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อติดตาม จับยึด และจัดการรายได้จากการก่ออาชญากรรม ตามคำแนะนำในรายงานประเมิน Financial Action Task Force Mutual Evaluation of Thailand ล่าสุดของไทย สหรัฐฯ ให้คำมั่นว่าจะให้เงินทุนประมาณ 2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการและการฝึกอบรมเพื่อส่งเสริมการติดตามและจัดการทรัพย์สินเพื่อจัดการภัยอาชาญากรรมที่มีอยู่และเกิดขึ้นใหม่ นอกจากนี้ โครงการยังจะส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย อัยการ และภาคเอกชนได้มีส่วนร่วม เพื่อให้แน่ใจว่าแนวทางมีความครอบคลุมและยั่งยืน
  • การร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย: สหรัฐฯ จะสนับสนุนศักยภาพของตำรวจน้ำของไทยในการลาดตระเวนแม่น้ำโขง และแก้ไขปัญหาภัยอาชญากรรมที่เกี่ยวข้อง โดยการบริจาคเรือยางท้องแข็ง(rigid-hull inflatable boat) จำนวน 12 ลำพร้อมเครื่องยนต์และเรือพ่วง